ในตอนที่แล้วแม้ว่าถังเจาจงจะกำจัดพวกขันทีที่เป็นบ่อนทำลายราชสำนักมานานนับร้อยปีได้สำเร็จ แต่ว่าพระองค์ก็ต้องอยู่ในการควบคุมของจูเฉวียนจงโดยสมบูรณ์ ซึ่งจูเฉวียนจงผู้นี้เป็นขุนศึกที่กักขฬะ กระหายอำนาจ ไร้คุณธรรม และโหดเหี้ยมยิ่งกว่าขุนศึกคนใดๆ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือจูเฉวียนจงใฝ่ฝันจะเป็นฮ่องเต้อย่างชัดเจน ต่างจากขุนศึกคนอื่นๆ ที่ต้องการเป็นใหญ่ในดินแดนของตนเพียงเท่านั้น
ช่วงนั้นเองชุยยิ่นที่ได้ชักนำจูเฉวียนจงเข้ามาในเมืองหลวงจึงได้ประจักษ์ว่า ตนเองได้วางหมากผิดพลาดเสียแล้ว เกิดเป็นสถานการณ์หนีเสือปะจระเข้ที่ยากลำบากที่สุด ตอนนั้นเองชุยยิ่นจึงได้พยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว โดยอาศัยที่ตัวจูเฉวียนจงไม่ได้อยู่ที่ฉางอาน
สิ่งที่ชุยยิ่นทำคือ ฉวยโอกาสที่ตนเองได้ขึ้นเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารองครักษ์เร่งสร้างกองกำลังของตนขึ้นมาอย่างช้าๆ นัยว่าเพื่อคานอำนาจกับกองทหารสองหมื่นนายที่จูเฉวียนจงทิ้งไว้นั่นเอง
แต่แล้วเหตุการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น
กวาดล้างขุนนาง
จูเฉวียนจงที่อยู่ที่ต้าเหลียง เมืองหลวงของตนนั้นได้ข่าวว่าชุยยิ่นสร้างกองทหารขึ้นมาอย่างลับๆ ก็เกิดสงสัยขึ้นมา จริงอยู่ว่าเขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากมาก่อนกับชุยยิ่น แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เขาก็ดูออกไม่ยากเลยว่าอะไรเป็นอะไร ทำให้ทั้งสองเริ่มบาดหมางกันตั้งแต่บัดนั้น
ในปลายปี ค.ศ.903 เรื่องที่ทำให้ทั้งสองกลายเป็นศัตรูกันอย่างทางการก็มาถึง กล่าวคือจูโหย่วหลุน หลานชายของจูเฉวียนจงที่ได้รับคำสั่งที่ให้คุมกำลังสองหมื่นคนในเมืองฉางอานนั้นเสียชีวิตอย่างลึกลับระหว่างที่เล่นโปโล (หม่าฉิวในภาษาจีน) นั่นทำให้จูเฉวียนจงสงสัยว่าชุยยิ่นเป็นผู้ลงมือสังหารหลานชายของตน

หลังจากนั้นจูเฉวียนจงจึงสั่งให้คนของตนจำนวนมากแทรกซึมเข้าไปสมัครเป็นทหารของชุยยิ่น เขาจะได้ทราบว่าอดีตพันธมิตรคนนี้ทำอะไรทุกฝีก้าว ไม่เพียงกี่เดือนต่อมาจูเฉวียนจงก็ตัดสินใจลงมือ
เขาถวายฎีกาต่อถังเจาจงว่าชุยยิ่นและพรรคพวกนั้นเป็นกบฏ ขอให้ฮ่องเต้ลงพระอาญาประหารชีวิต ถังเจาจงนั้นทราบดีว่าอะไรเป็นอะไร แต่พระองค์ขัดจูเฉวียนจงไม่ได้ สิ่งที่พระองค์ทำได้คือพยายามรักษาชีวิตของชุยยิ่นเอาไว้ ดังนั้นพระองค์จึงถอดชุยยิ่นออกจากตำแหน่งทั้งหมด และให้เป็นพระอาจารย์ของรัชทายาทเท่านั้น โดยพระองค์หวังว่าการลงโทษนี้จะทำให้จูเฉวียนจงรามือได้
หากแต่ว่าการถอดชุยยิ่นไม่เพียงพอที่จะทำให้จูเฉวียนจงพอใจได้ ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ทหารของเขาบุกไปล้อมบ้านของชุยยิ่นและพรรคพวก หลังจากนั้นก็บุกเอาตัวเข้าไปประหารชีวิต ขุนนางที่มีความจงรักภักดีแต่ไม่รอบคอบผู้นี้จึงถึงจุดจบเพราะแผนการของตนเองที่ดึงจูเฉวียนจงเข้ามาจัดการพวกขันที
ย้ายเมืองหลวง
นับตั้งแต่บัดนั้นเรียกได้ว่าถังเจาจงไม่มีอำนาจที่จะต่อกรกับจูเฉวียนจงอีกต่อไป ในช่ววนั้นเองก็มีข่าวมาถึงจูเฉวียนจงว่า ขุนศึกกลุ่มต่างๆ จะมาตีเมืองฉางอานและชิงฮ่องเต้ไปจากการควบคุมของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลี่เม่าเจิน ขุนศึกที่ตั้งอยู่ใกล้ที่สุด
ด้วยเหตุนี้จูเฉวียนจงจึงเห็นว่าฉางอานนั้นอยู่ไกลจากฐานที่มั่นของตน และถ้าปล่อยให้ฮ่องเต้อยู่ที่นี่ ขุนศึกกลุ่มต่างๆ อาจจะชิงพระองค์ไปได้ง่าย ดังนั้นเขาจึงบังคับให้ถังเจาจงย้ายเมืองหลวงจากฉางอานไปยังลั่วหยาง ซึ่งใกล้กับต้าเหลียง (หรือเปียนเหลียง) เมืองหลวงของจูเฉวียนจงมากกว่า
ถังเจาจงไม่มีทางเลือกจึงต้องยินยอมทำตาม ซึ่งจูเฉวียนจงก็ไม่ได้สั่งให้พระองค์เสด็จไปผู้เดียว แต่ให้ย้ายไปด้วยทั้งเมืองในรูปแบบเดียวกับที่ตั๋งโต๊ะทำในยุคสามก๊ก แต่การย้ายนั้นสลับกัน เพราะครั้งนี้เป็นการย้ายจากฉางอานสู่ลั่วหยาง ขณะที่ในยุคสามก๊กเป็นลั่วหยางสู่ฉางอาน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หลังจากที่ผู้คนย้ายออกไปแล้วน่าจะเกิดการปล้นสะดมหรือแม้กระทั่งการเผาทำลายเมืองเกิดขึ้น ทำให้เมืองฉางอานได้รับความเสียหายยับเยินอย่างที่ไม่สามารถฟื้นฟูได้อีก นับตั้งแต่บัดนั้นฉางอานไม่เคยมีสถานะเป็นเมืองหลวงของประเทศจีนอีกเลย อาคารต่างๆ ถูกทิ้งร้างจนถูกป่าไม้รกชัฎปกคลุม ผู้คนที่อาศัยอยู่ก็น้อยนิด จนกระทั่งตัวเมืองได้รับการสร้างใหม่ในนามซีอานในช่วงราชวงศ์หมิง และกลายเป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของจีนในปัจจุบัน แต่ความยิ่งใหญ่นั้นยังไม่สามารถเทียบได้กับในอดีตแม้แต่น้อย
ระหว่างที่โดนนำตัวไปยังฉางอานนั้น ถังเจาจงทรงพยายามขอความช่วยเหลือจากภายนอก พระองค์ส่งพระบรมราชโองการลับขอให้ขุนศึกต่างๆ เช่นหลี่เค่อย่งมาช่วยเหลือพระองค์ แต่กลับไม่มีขุนศึกคนใดตอบสนองเลย สาเหตุหนึ่งคือกำลังของจูเฉวียนจงนั้นแข็งแกร่งมาก
อย่างหลี่เค่อย่งนั้น จูเฉวียนจงเพิ่งจะเอาชนะกองทัพของหลี่เค่อย่งก่อนหน้านั้นไม่นาน แถมยังยกไปล้อมไท่หยวน เมืองหลวงของหลี่เค่อย่งอีกด้วย กำลังของหลี่เค่อย่งจึงร่อยหรอและไม่มีศักยภาพที่จะต่อสู้กับจูเฉวียนจงได้เลยในเวลานั้น ส่วนขุนศึกคนอื่นก็อยู่ไกลเกินไปเกินกว่าที่จะมาช่วยเหลือฮ่องเต้ได้ หรือว่าไม่อยากจะหาเรื่องใส่ตัว ฯลฯ
เข้าใกล้วาระสุดท้าย
อย่างไรก็ดีมีข่าวว่าถังเจาจงถูกบังคับให้ไปประทับที่ลั่วหยาง และอยู่ในการควบคุมอย่างแน่นหนา เหล่าขุนศีกคนต่างๆ จึงออกประกาศร่วมกันให้ทั้งแผ่นดินขับไล่จูเฉวียนจง และถวายอำนาจคืนสู่ฮ่องเต้ แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างเป็นแค่คำประกาศ เพราะว่าไม่มีใครยกทัพไปช่วยเหลือฮ่องเต้เหมือนกับในยุคสามก๊กที่ร่วมมือกันขับไล่ตั๋งโต๊ะเลย ขุนศึกแต่ละคนในยุคปลายราชวงศ์ถังนั้นเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเกินไปที่จะทำเช่นนั้น
การออกประกาศเช่นนี้ทำให้จูเฉวียนจงนั้นหวาดระแวงในตัวถังเจาจงมากขึ้น เขารู้ดีว่าพระองค์ไม่ใช่คนโง่เขลาที่ไร้ความสามารถ หรือว่าเป็นทรราชที่ไม่ใส่ใจราชการแผ่นดิน แต่พระองค์เป็นฮ่องเต้ที่เอางานเอาการคนหนึ่ง ดังนั้นระหว่างที่ตนไปทำศึกกับพวกขุนศึก ฮ่องเต้อาจจะวางแผนอะไรบางอย่างเพื่อกำจัดตนเสียก็ได้
ในช่วงปี ค.ศ.904 จูเฉวียนจงจึงตัดสินใจทดสอบถังเจาจงอย่างหนึ่ง นั่นคือเขาได้ถวายฎีกาให้ถังเจาจงลงอาญาหลี่ยี่ว์ รัชทายาทของพระองค์โทษฐานที่หลี่ยี่ว์เคยขึ้นเป็นฮ่องเต้โดยพลการตอนที่พวกขันทีถอดถังเจาจงออกจากตำแหน่ง
จุดประสงค์ของจูเฉวียนจงนั้นดูออกไม่ยากเลย เขาต้องการที่จะเป็นฮ่องเต้ ดังนั้นเขาจึงต้องการเชื้อพระวงศ์ถังที่เหลืออยู่สิ้นชีวิตเสียให้หมด แต่พงศาวดารว่าจูเฉวียนจงเกลียดชังหลี่ยี่ว์เป็นพิเศษ เพราะหลี่ยี่ว์หน้าตาหล่อเหลา และมีสติปัญญา มีแนวโน้มว่าจะเป็นจักรพรรดิสืบต่อราชวงศ์ที่ดี นั่นทำให้หลี่ยี่ว์เป็นอุปสรรคสำคัญของจูเฉวียนจง
ตอนที่เขายังเป็นพันธมิตรกับชุยยิ่นนั้น เขาถึงกับกล่าวว่าหลี่ยี่ว์เคยนั่งบัลลังก์มาแล้ว จะปล่อยให้มีชีวิตต่อไปได้อย่างไร ชุยยิ่นได้นำเรื่องนี้ไปทูลฮ่องเต้ และทำให้ถังเจาจงต้องเรียกจูเฉวียนจงมาต่อว่าแล้วครั้งหนึ่ง
ในครั้งนี้เขาจึงหวังจะยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว กล่าวคือถ้าถังเจาจงยอมลงอาญาหลี่ยี่ว์ ตนเองก็จะได้กำจัดรัชทายาทผู้นี้ไปโดยที่มือไม่ต้องเปื้อนเลือด แต่ถ้าถังเจาจงไม่ยอม นั่นก็แสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ยังเหลือความพยายามที่จะต่อต้านตนอยู่
ผลที่ออกมาคือ บิดาอย่างถังเจาจงไหนเลยจะยอมสังหารหลี่ยี่ว์ได้ พระองค์ถึงกับตรัสกับขุนนางที่จูเฉวียนจงสั่งให้ควบคุมพระองค์ว่า
เต๋อหวาง (หลี่ยี่ว์) เป็นโอรสรักของเรา ไยเฉวียนจงถึงพยายามให้เขาตายเล่า?
ด้วยการต่อต้านอย่างสุดกำลังของถังเจาจง ทำให้หลี่ยี่ว์รอดชีวิตไปได้ แต่ถังเจาจงไม่รู้เลยว่ามัจจุราชนั้นคืบคลานเข้าใกล้พระองค์แล้ว
วันสุดท้ายของฮ่องเต้
จากกรณีหลี่ยี่ว์ จูเฉวียนจงเห็นว่าการที่มีฮ่องเต้ผู้ใหญ่ที่รู้เรื่องรู้ราวอย่างถังเจาจงนั้นไม่ดีเท่าไรสำหรับตนที่ต้องการครองบัลลังก์ ถ้าฮ่องเต้เป็นแค่เด็กวัยเยาว์ เขาจะควบคุมทุกอย่างได้อย่างเบ็ดเสร็จ และกำจัดความเสี่ยงทุกอย่างออกไป ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลงมือปลงพระชนม์ฮ่องเต้
ในวันที่ 22 กันยายน ค.ศ.904 จูเฉวียนจงสั่งให้กองทหารของตนบุกเข้าวังหลวง และบุกเข้าไปปลงพระชนม์ถังเจาจงได้เป็นผลสำเร็จ ไม่ปรากฏว่าถังเจาจงสวรรคตอย่างไร ฮ่องเต้ที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในการหลบหนีและโดนควบคุมมีอายุเพียง 37 ปีเท่านั้นเมื่อสวรรคต
หลังจากนั้นจูเฉวียนจงก็ได้แต่งตั้งหลี่จั้ว โอรสวัยเยาว์คนหนึ่งของถังเจาจงเป็นฮ่องเต้ ต่อมาไม่นานก็ให้สังหารโอรสของถังเจาจง ตลอดจนเชื้อพระวงศ์และขุนนางคนสำคัญในราชสำนักแทบทั้งหมด เมื่อไม่เหลือผู้ใดเป็นก้างขวางคอแล้ว จูเฉวียนจงจึงตั้งตนเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์โฮ้วเหลียงในที่สุด
อย่างไรก็ดีฟ้าก็ไม่ได้เข้าข้างคนผิด จูเฉวียนจงได้เป็นฮ่องเต้เพียง 5 ปีเท่านั้นก็ถูกสังหารโดยบุตรชายของตนเอง ส่วนราชวงศ์โฮ้วเหลียงก็ถูกทำลายด้วยน้ำมือของหลี่ฉุนสี่ว์ บุตรชายของหลี่เค่อย่ง
References:
- Zizhi Tongjian
- Old Book of Tang
- New Book of Tang