ซุนหวู่ น่าจะเป็นนักการทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกก็ว่าได้ เขาได้รับการยอมรับทั้งในโลกตะวันออกและตะวันตกว่าเป็นเจ้าแห่งกลยุทธ์และการสงคราม
หากแต่ว่าท่านทราบหรือไม่ว่า มีนักการทหารแซ่ซุนอีกคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงอย่างมากในยุคจ้านกว๋อ นักประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเขาเป็นชนรุ่นหลังของซุนวู
เขาผู้นั้นคือ ซุนปิ้น หรือ ซุนโป๋หลิง
แต่ทว่าซุนปิ้นผู้นี้กลับมีชื่อเกี่ยวข้องกับ ผังเจวียน ศิษย์น้องร่วมสำนักของเขาในทำนอง “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด”
เราดูกันในโพสนี้ครับว่าใครจะทรยศใคร

สองพี่น้องร่วมสำนัก
ซุนปิ้นมีชื่อเดิมว่าซุนโป๋หลิง แต่เพราะเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขาต่อไปในภายภาคหน้า ทำให้เขาเปลี่ยนชื่อเป็นซุนปิ้น
แต่จะเป็นเหตุการณ์อะไรผมขออุบไว้ก่อน
ซุนปิ้นเป็นผู้ที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ตั้งแต่เด็กเขาเป็นเด็กกำพร้า เขาจึงถูกเลี้ยงดูและให้การศึกษาจากอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ ปราชญ์แห่งหุบผาปีศาจ เจ้าสำนักจ้งเหิงเจีย หรือ โรงเรียนการทูต (纵横家, School of Diplomacy)
กุ๋ยกู่จื่อเป็นปราชญ์ผู้รอบรู้ทุกด้าน แต่เขากลับเลือกที่จะมาอยู่ในป่าเขาเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายแห่งยุคจ้านกว๋อ บ้างว่าเพื่อแสวงหาความสุขนิรันดร์
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อรักซุนปิ้นมาก เพราะซุนปิ้นเป็นเด็กที่ฉลาดและขยัน อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงบอกกับศิษย์คนอื่นว่าให้ดูซุนปิ้นเป็นตัวอย่าง
ซุนปิ้นมีเพื่อนสนิทที่เป็นพี่น้องร่วมสาบานชื่อว่า ผังเจวียน ทั้งสองได้ศึกษาตำราพิชัยสงครามร่วมกันกับอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อร่วมกันอยู่นานหลายปี
จนกระทั่งวันหนึ่ง ผังเจวียนคิดว่าตนเองเรียนรู้จากอาจารย์หมดสิ้นแล้ว เขาปรารถนาจะลงเขาไปรับราชการเพื่อให้มีชื่อเสียงและดำรงตำแหน่งใหญ่โตเสียที ในเวลานั้นแคว้นเว่ยกำลังรับสมัครผู้มีความสามารถเข้ารับราชการ ผังเจวียนยิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นไปอีก
แค่มองหน้าอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อก็รู้แล้วว่าผังเจวียนคิดอะไร เขาจึงหัวเราะแล้วกล่าวกับผังเจวียนว่า
เมื่อเจ้าเห็นโอกาสรุ่งเรืองแล้ว เจ้าก็จงไปเถิด แต่ก่อนจะไปนั้น ข้าขอให้เจ้าไปหาดอกไม้ในป่ามาหนึ่งดอก ข้าจะทำนายดวงชะตาให้เจ้าว่าเป็นเช่นไร
ผังเจวียนออกจากบริเวณที่พักอาศัยเพื่อเดินหาดอกไม้ในป่าด้วยความลิงโลดใจ ในเวลานั้นเป็นเดือนหก ซึ่งเป็นฤดูร้อนในประเทศจีน ผังเจวียนหาดอกไม้อยู่นานมากก็หาไม่ได้ จนกระทั่งเขามาเห็นดอกหญ้าอยู่ดอกหนึ่ง เขาเลยกระชากมันขึ้นมาทั้งต้นแล้วนำไปให้อาจารย์
ระหว่างรอพบอาจารย์นั้น ผังเจวียนกลับคิดว่า ดอกหญ้าเป็นดอกไม้ชั้นเลว นำไปมอบให้อาจารย์คำทำนายก็ไม่น่าจะดี เขาเลยตัดสินใจโยนมันทิ้งไป แล้วไปหาดอกไม้ใหม่อยู่นานสองนาน แต่ก็ไร้ผล เพราะเขาไม่สามารถหาดอกไม้ใดๆ ได้เลย
ผังเจวียนจำต้องกลับมาหยิบดอกหญ้าที่ตัวเองโยนทิ้งแล้วเดินเข้าไปหาอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ
สำหรับผังเจวียนแล้ว เขายังไม่ยินดีในดอกไม้นั้นสักเท่าใดนัก เขาจึงซ่อนดอกไม้นั้นไว้ในเสื้อและหลอกอาจารย์ว่าเขาหาดอกไม้ไม่ได้
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อตวาดเขาทันทีว่าแล้วในแขนเสื้อของเขามันคือดอกอะไรกันเล่า ผังเจวียนจึงไม่สามารถโกหกได้อีกต่อไป เขาจำต้องนำดอกหญ้าออกมามอบให้อาจารย์แต่โดยดี อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อหยิบมาดูแล้วกล่าวว่า
ดอกไม้ของผังเจวียนจะออกดอกครั้งละสิบสองดอก แต่ละดอกจะเป็นจำนวนปีที่ผังเจวียนจะมั่งคั่งรุ่งเรือง แต่ผังเจวียนเป็นคนชอบโกหกหลอกลวง ในวันหน้าเขาจะไปหลอกลวงคนอื่น และกรรมจะตามสนองเขาในที่สุด
นอกจากนี้อาจารย์ยังฝากคำเตือนว่า
พบแพะจะรุ่งโรจน์ พบอาชาจะเหนื่อยหน่าย
ผังเจวียนไม่ได้ใส่ใจคำเตือนของอาจารย์มากนัก เพราะว่ามัวแต่ดีใจว่าจะได้ลาภยศ ผังเจวียนรีบลงจากเขาไปทันทีหลังจากร่ำลาอาจารย์แล้ว
ซุนปิ้นทราบว่าน้องร่วมสาบานกำลังจะไป เขาจึงเดินมาส่งน้องร่วมสาบานด้วยตนเองถึงเชิงเขา ก่อนจะลาไปผังเจวียนบอกกับซุนปิ้นว่า ถ้าเขาได้มีตำแหน่งสูงในแคว้นเว่ยแล้วจะเสนอชื่อซุนปิ้นต่อเว่ยหวางให้ไปรับราชการด้วยกัน
ซุนปิ้นดีใจมาก เขาจึงถามว่าผังเจวียนพูดจริงหรือไม่
ผังเจวียนตอบว่า
ถ้าน้องพูดไม่จริง ขอให้ตายอยู่ในลูกเกาทัณฑ์นับหมื่นดอก
หลังจากผังเจวียนจากไปแล้ว ซุนปิ้นก็มีน้ำตาก็ไหลนอง เขาเดินกลับมาหาอาจารย์ที่บ้านพัก
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อเห็นคราบน้ำตาของซุนปิ้นจึงถามว่าเขาเสียใจที่น้องร่วมสาบานจากไปหรืออย่างไร ซุนปิ้นตอบว่าใช่ แต่อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อไม่ได้สนใจคำตอบของเขามากนัก อาจารย์กลับถามต่อไปว่าซุนปิ้นคิดว่าผังเจวียนจะเป็นแม่ทัพใหญ่ได้หรือไม่
ซุนปิ้นจึงตอบอาจารย์ว่าน่าจะเป็นได้เพราะอาจารย์ได้สอนเขามาเป็นอย่างดี
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงสบถขึ้นทันทีว่า “ไม่ได้!” ถึงสามครั้ง
ซุนปิ้นถามอาจารย์ว่าเพราะอะไร แต่อาจารย์กลับไม่ตอบ จนกระทั่งวันหนึ่ง
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อเรียกซุนปิ้นเข้าไปในห้อง แล้วหยิบตำราหนึ่งออกมา แล้วกล่าวกับซุนปิ้นว่า
นี่เป็นตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่ บรรพบุรุษของเจ้า ซุนหวู่ได้ถวายตำราสิบสามบทนี้กับอู๋หวางเหอหลี่ว์ ผู้ที่ทำลายแคว้นฉู่จนย่อยยับในเวลาต่อมา อู๋หวางทรงหวงหนังสือเล่มนี้มากจึงสั่งให้เก็บไว้ในตู้เหล็กซ่อนไว้บนขื่อของปราสาทกูซู เมื่อทหารแคว้นเยว่เผาปราสาทนั้น เล่มที่ซุนหวู่ถวายให้อู๋หวางจึงมอดไหม้ไปกับไฟ หากแต่ว่าข้ากับซุนหวู่ปู่ของเจ้าเป็นเพื่อนกัน ข้าจึงได้ขอหนังสือเล่มนี้มาจากเขา และขยายความมันด้วยตัวเอง ดังนั้นความลับของการทำสงครามให้ได้ชัยชนะจึงอยู่ในเล่มนี้ ข้าหวงแหนมันยิ่งนักจึงไม่เคยนำออกมาให้ผู้ใดดู แต่สำหรับเจ้า ข้าเห็นเจ้าเป็นผู้มีความเมตตาสูงส่ง ข้าเลยจะมอบให้เจ้าเป็นพิเศษ
หมายเหตุ: ซุนหวู่เกิดปี 544 BC ตายปี 496 BC ส่วนซุนปิ้นมีชีวิตอยู่ในช่วงปี 400 BC-316 BC นั่นเท่ากับว่ากุ๋ยกู่จื่อต้องมีอายุอย่างน้อย 100 ปีขึ้นไป เพื่อที่จะเกิดทันเป็นเพื่อนของซุนหวู่ และเป็นอาจารย์ผู้เลี้ยงดูซุนปิ้นจนเป็นหนุ่ม อาจจะดูน่าเหลือเชื่อหน่อยที่คนโบราณจะอายุยืนได้เพียงนั้น
ซุนปิ้นตกใจที่อาจารย์มาให้ของสำคัญมากกับตนเองกลางดึก เขาถามว่าทำไมอาจารย์ถึงมอบมันให้กับเขา แต่ไม่มอบให้กับผังเจวียน
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงกล่าวว่า
ผู้ที่สมควรแก่หนังสือเล่มนี้ต้องเป็นวิญญูชนที่มีคุณธรรม จะได้เกิดประโยชน์ต่อแผ่นดิน ผังเจวียนไม่ใช่วิญญูชน ข้าจะมอบให้ได้อย่างไร เจ้าจงไปอ่านมันมาให้ดีเถิด ข้าจะทดสอบเจ้าในเวลาอันสั้น
ซุนปิ้นนำหนังสือกลับไปอ่านทั้งกลางวันและกลางคืน และท่องรายละเอียดทั้งสิบสามบทที่ซุนหวู่เขียนไว้ ภายในสามวัน อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อมาทดสอบซุนปิ้น ปรากฏว่าซุนปิ้นสามารถจำตำราของซุนหวู่ได้จนหมดสิ้นโดยไม่ผิดเพี้ยน
ผังเจวียนปลิ้นปล้อน
ฝ่ายผังเจวียนเดินทางมาถึงอันยี่ เมืองหลวงของแคว้นเว่ย เพื่อมาสมัครเป็นแม่ทัพแคว้นเว่ย
ถึงแม้แคว้นเว่ยเคยเป็นแคว้นสามจิ้นมาก่อน แต่หลังจากแบ่งดินแดนจิ้นร่วมกับแคว้นจ้าว แคว้นหานแล้ว แคว้นเว่ยทวีความเข้มแข็งขึ้นจากการปฏิรูป เจ้าผู้ครองแคว้นจึงสถาปนาตนเองขึ้นเป็นหวาง หรือ กษัตริย์ เทียบเท่ากับกษัตริย์ราชวงศ์โจว
เว่ยฮุ่ยหวาง กษัตริย์แคว้นเว่ยจึงมีรับสั่งให้ผังเจวียนเข้าเฝ้าเพื่อจะทดสอบสติปัญญา
ระหว่างที่ผังเจวียนรอเว่ยฮุ่ยหวางเรียกเข้าพบ เขาเหลือบไปเห็นพ่อครัวกำลังนำเนื้อแพะต้มมาให้เว่ยฮุ่ยหวาง ผังเจวียนดีใจยิ่งนัก เพราะอาจารย์ได้กล่าวว่า “พบแพะจะรุ่งโรจน์”
หลังจากไม่นาน เว่ยฮุ่ยหวางก็เรียกผังเจวียนเข้าพบ ผังเจวียนได้ทีจึงโอ้อวดว่า
“ถ้าต้าหวางให้ข้าพระองค์เป็นแม่ทัพ ข้าพระองค์จะทำให้ต้าหวางรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้โดยง่ายอย่างกับลัดนิ้วมือ
ไม่รู้ว่าเว่ยฮุ่ยหวางคิดอะไร แต่เขากลับหลงเชื่อ และแต่งตั้งผังเจวียนเป็นแม่ทัพใหญ่
ผังเจวียนนำความรู้ที่ตนมีอยู่มาฝึกทหารเว่ย แล้วเปิดฉากรุกรานแคว้นเล็กๆก่อน เช่นแคว้นซ่ง เจิ้ง ลู่ เวย เป็นต้น ต่อมาก็สร้างความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ด้วยการบดขยี้กองทัพฉีที่มารุกรานเขตแดนได้อย่างเด็ดขาด
ผลงานของผังเจวียนทำให้เว่ยฮุ่ยหวางพอใจมาก ทำให้เขามีสถานะเป็นคนโปรด ไม่ว่าจะทูลอะไรก็เชื่อไปทั้งหมด
ระหว่างที่ผังเจวียนสร้างชื่ออยู่ในแคว้นเว่ย มีชายผู้หนึ่งชื่อฉินหัวหลีได้มาเยี่ยมเยียนอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อที่หุบเขาปีศาจ ฉินหัวหลีได้พบกับซุนปิ้นและพูดคุยกัน ฉินหัวหลีชื่นชมในสติปัญญาของซุนปิ้นเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงถามซุนปิ้นว่าทำไมถึงไม่ลงไปรับราชการสร้างชื่อเสียง
ซุนปิ้นตอบว่าผังเจวียน น้องร่วมสาบานได้สัญญาว่าถ้าเมื่อใดรุ่งเรืองแล้วจะแนะนำเขาต่อเว่ยหวาง จนถึงบัดนี้เขาก็รออยู่
ฉินหัวหลีจึงพูดขึ้นว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แปลก เพราะผังเจวียนได้เป็นแม่ทัพใหญ่แคว้นเว่ยอยู่นานแล้ว เขาขออาสาไปดูว่าผังเจวียนคิดอย่างไรกันแน่
เมื่อฉินหัวหลีมาถึงแคว้นเว่ย เขาสืบทราบว่า ผังเจวียนคุยโวโอ้อวดไว้มากมาย และไม่เคยคิดจะแนะนำซุนปิ้นแก่เว่ยฮุ่ยหวางตามที่ได้ให้สัญญาไว้แต่อย่างใด
สาเหตุที่ผังเจวียนไม่ทำเช่นนั้น เพราะเขาอิจฉาซุนปิ้นนั่นเอง เขารู้ดีว่าซุนปิ้นฉลาดกว่าเขา เก่งกว่าเขาทุกอย่าง ถ้าแนะนำซุนปิ้นต่อเว่ยหวาง ตัวเขาก็จะกลายเป็นหมาหัวเน่า
ฉินหัวหลีจึงเดินทางไปเข้าเฝ้าเว่ยฮุ่ยหวางโดยตรง ตัวฉินหัวหลีเป็นปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เว่ยฮุ่ยหวางจึงให้การต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อได้จังหวะเหมาะๆ ฉินหัวหลีทูลว่า
ข้าพระองค์ได้ทราบว่าในหุบเขาปีศาจมีหลานของท่านซุนหวู่แห่งอู๋ เขามีสติปัญญาล้ำเลิศสมควรเป็นแม่ทัพใหญ่ เหตุใดต้าหวางถึงไม่เรียกตัวมารับราชการ
เว่ยฮุ่ยหวางได้ฟังก็รู้สึกสนใจ เขาจึงถามฉินหัวหลีว่า เขาผู้นั้นกับผังเจวียนใครจะมีสติปัญญามากกว่ากัน
ฉินหัวหลีจึงกล่าวว่า
ถึงแม้จะศึกษามาจากสำนักเดียวกัน แต่ซุนปิ้นได้ศึกษาตำราของซุนหวู่เพียงผู้เดียว อย่าว่าแต่ผังเจวียนเลย ทั่วทั้งแผ่นดินก็ไม่มีใครจะสามารถต่อสู้กับซุนปิ้นได้
หลังจากนั้นฉินหัวหลีจึงลาเว่ยฮุ่ยหวางไป
เว่ยฮุ่ยหวางรีบเรียกผังเจวียนมาพบทันที แล้วไต่ถามว่าทำไมเขาถึงไม่แนะนำซุนปิ้น พี่ชายร่วมสาบานของเขาที่มีวิชาดี ได้ศึกษาตำราพิชัยสงครามของซุนหวู่
ผังเจวียนตัวเย็นเฉียบ แต่ก็มิวายแถว่า
ข้าพระองค์ตั้งใจจะแนะนำเขาอยู่แล้ว แต่ติดอยู่ที่เขาเป็นชาวฉี ข้าพระองค์เกรงว่า เขาจะคิดถึงแคว้นฉีมากกว่าแคว้นเว่ย เลยตัดสินใจไม่แนะนำให้พระองค์
เว่ยฮุ่ยหวางกล่าวย้อนไปว่า
ในสมัยโบราณ ขุนนางหลายแคว้นก็จงรักภักดียอมตายให้แคว้นอื่นที่ไม่ใช่แคว้นบ้านเกิดของตนเองกันทั้งนั้น แล้วทำไมข้าจะใช้คนแคว้นอื่นมิได้เล่า”
ผังเจวียนไม่สามารถขัดได้ เขาจึงส่งจดหมายไปมาซุนปิ้นตามคำสั่งทันที
ในใจของผังเจวียนไม่อยากให้ซุนปิ้นมาแคว้นเว่ยเลยสักนิดเดียว เพราะในตอนนี้ผังเจวียนเป็นใหญ่คุมกำลังทหารทั้งหมดในแคว้น ถ้าซุนปิ้นมาถึง เขาต้องมาแย่งหน้าที่และความโปรดปรานไปจากตน เพราะฉะนั้นเขาจึงพยายามปิดบังเรื่องนี้มาตลอด แต่เพราะฉินหัวหลี ความลับจึงแตก
เมื่อเว่ยฮุ่ยหวางได้รับจดหมายที่เขียนโดยผังเจวียนแล้วจึงใช้ให้ทูตนำจดหมายดังกล่าวไปเชิญซุนปิ้น พร้อมด้วยรถเทียมม้าสี่ตัว พร้อมทองคำแผ่นหยกขาวมากมาย ไปเชิญซุนปิ้นที่หุบเขาปีศาจ
ในจดหมายนั้น ผังเจวียนได้เขียนว่า
ถึงท่านพี่ซุนปิ้น ข้าผังเจวียนผู้น้องได้อาศัยท่านพี่มาตลอดระหว่างที่ศึกษา บัดนี้ข้าได้รับราชการปฎิบัติหน้าที่สำคัญเป็นแม่ทัพใหญ่ ข้าจึงต้องการทำตามสัญญาที่ได้ให้ไว้กับท่านพี่ ข้าเลยได้เสนอท่านกับเว่ยหวางเป็นพิเศษ ขอให้ท่านพี่รีบมาแคว้นเว่ยกับขุนนาง เพื่อร่วมสร้างผลงานด้วยกันเถิด
ซุนปิ้นนำจดหมายของผังเจวียนไปให้อาจารย์ดู อาจารย์กุ๋ยกู่จื่ออ่านดูแล้วก็พบว่า ผังเจวียนได้ดิบได้ดีแล้ว เขาส่งจดหมายมาเชิญซุนปิ้น แต่ในจดหมายไม่พูดถึงอาจารย์เลยสักคำเดียว อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงมั่นใจว่าผังเจวียนลืมรากเหง้าของตนตามที่คิดไว้
ในใจอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงเป็นห่วงซุนปิ้นมาก เพราะเกรงว่าจะโดนผังเจวียนทำร้าย แต่เมื่อซุนปิ้นต้องการที่จะไป อาจารย์จึงไม่อยากขัดขวางความก้าวหน้าของลูกศิษย์
เช่นเดียวกับผังเจวียน อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อใช้ให้ซุนปิ้นไปหาดอกไม้ในหุบเขามาหนึ่งดอกเพื่อเสี่ยงทาย
ซุนปิ้นหาดอกไม้ไม่เจอเช่นเดียวกับผังเจวียน แต่เขาเห็นโต๊ะของอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อมีดอกเบญจมาศอยู่ดอกหนึ่ง เขาจึงนำมาให้อาจารย์ แล้วปักลงบนแจกันตามเดิม
อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อพยากรณ์ว่า
ดอกไม้กิ่งนี้ถึงแม้จะเหี่ยว อยู่ในสภาพที่ไม่สมบูรณ์ แต่มันมีคุณสมบัติที่ต้านทานความหนาวเย็นในฤดูหนาวได้ทุกปี ถึงแม้มันจะเผชิญกับพายุหิมะมันก็ไม่ตาย การเหี่ยวของมันจึงไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายนัก นอกจากนั้นดอกไม้ดอกนี้อยู่ในแจกันอันเป็นที่รักของข้า แจกันนี้ห่อหุ้มด้วยทองคำ ซึ่งเป็นโลหะที่ใช้ทำกระถางธูปโบราณ ผลสุดท้ายจะต้านทานหิมะอันหนาวเย็นได้ แต่เจ้าได้นำดอกนี้ออกมาจากแจกันแล้วหนึ่งครั้งก่อนที่จะนำกลับไปที่แจกัน ดังนั้นข้าทำนายว่า เจ้าจะประสบความสำเร็จในบั้นปลายและเป็นที่รักของผู้คนที่ดินแดนเก่าของเจ้า แต่ก่อนหน้านั้นเจ้าจะต้องเผชิญกับความลำบากเสียก่อน
นอกจากนั้นอาจารย์ยังให้ซุนปิ้นเปลี่ยนชื่อจากซุนโป๋หลิง เป็น ซุนปิ้น คำว่าปิ้นนี้แปลว่ากระดูกสะบ้าหัวเข่า เชื่อกันว่าอาจารย์พยายามเตือนเขาถึงอนาคตที่กำลังจะเกิดขึ้น
ก่อนที่ซุนปิ้นจะไป อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อกลับดึงตัวไว้และมอบถุงแพรไว้ให้ซุนปิ้นหนึ่งใบ แล้วจึงสั่งไว้ว่าให้เปิดออกในสภาวะคับขัน ซุนปิ้นรับคำแล้วจึงอำลาอาจารย์ไป
อุบายของผังเจวียน
เมื่อซุนปิ้นมาถึงแคว้นเว่ยก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผังเจวียน น้องร่วมสาบานของตนที่มารับอย่างหน้าชื่นตาบาน ผังเจวียนพาซุนปิ้นมาอาศัยในวังของตนเองก่อนที่จะไปพบเว่ยฮุ่ยหวาง
พอซุนปิ้นมาพบกับผังเจวียนหลังจากที่จากกันมานานนั้น ก็เล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟังมากมาย รวมไปถึงชื่อของตนเองที่อาจารย์ตั้งให้ด้วย ผังเจวียนได้ฟังก็ตกใจถามว่าทำไมซุนปิ้นถึงยอมเปลี่ยนชื่อ คำว่าปิ้นไม่ใช่คำที่ดีงามเลย
ซุนปิ้นบอกแค่ว่ามันเป็นคำสั่งของอาจารย์ เขาไม่กล้าขัด
ผังเจวียนรู้สึกแปลกใจแต่ก็ไม่ว่าอะไร วันรุ่งขึ้นเขาพาซุนปิ้นไปเฝ้าเว่ยฮุ่ยหวาง
เว่ยฮุ่ยหวางดีใจมากจนถึงกับเสด็จลงจากบันไดมาต้อนรับ เว่ยฮุ่ยหวางปรารถนาจะตั้งให้ซุนปิ้นเป็นรองแม่ท้พ แต่ผังเจวียนคัดค้านโดยกล่าวว่า
ข้าพระองค์มิอาจจะให้พี่ชายมาอยู่ภายใต้ข้าพระองค์ผู้เป็นน้องชาย ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นขุนนางอาคันตุกะไปก่อน เมื่อมีความดีความชอบแล้วจึงมาแทนตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ข้าพระองค์ก็ยอมสละให้ได้
เว่ยฮุ่ยหวางจึงให้ซุนปิ้นเป็นขุนนางอาคันตุกะตามคำแนะนำของผังเจวียนทันที
ทั้งนี้ผังเจวียนทราบมาว่าซุนปิ้นได้ศึกษาตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ เขาจึงเชิญซุนปิ้นมากินเลี้ยง แล้วชวนซุนปิ้นถามตอบเรื่องตำราพิชัยสงคราม ไม่ว่าผังเจวียนจะถามถึงกลศึกอะไร ซุนปิ้นก็สามารถหาวิธีมาแก้กลศึกของผังเจวียนได้หมด ในขณะที่เมื่อซุนปิ้นถามผังเจวียนกลับบ้าง ผังเจวียนไม่สามารถหาวิธีมาแก้ได้ ผังเจวียนจึงถามขึ้นว่านั่นเป็นสิ่งที่ตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ว่าไว้ใช่หรือไม่
ซุนปิ้นเป็นคนซื่อ เขาไม่ได้คิดว่าผังเจวียนจะหลอกถาม เขาจึงบอกไปตามตรงว่าเป็นตำราของซุนหวู่ ผังเจวียนจึงขอซุนปิ้นดูตำราดังกล่าว
ซุนปิ้นปฏิเสธเพราะว่าตัวเขาไม่ได้มีตำราดังกล่าวอยู่ที่ตัว เพราะอาจารย์ให้ดูเพียงสามวันก็นำกลับคืนไปทันที แต่ตัวเขายังจำได้อยู่เล็กน้อย ผังเจวียนจึงอยากให้ซุนปิ้นถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับตนเองบ้าง แต่ก็ยังไม่สามารถเอ่ยปากขอได้
หลังจากนั้นไม่นาน เว่ยฮุ่ยหวางต้องการอยากทดสอบสติปัญญาของซุนปิ้น เขาจึงบัญชาให้ผังเจวียนและซุนปิ้นมาที่สนามฝึกยุทธ์ และให้ทั้งสองตั้งกระบวนสู้รบกัน
ไม่ว่าผังเจวียนจะตั้งกระบวนอะไรก็ตาม ซุนปิ้นสามารถหาวิธีมาทำลายได้ในบัดดล แต่เมื่อซุนปิ้นตั้งกระบวนรบบ้าง ผังเจวียนไม่รู้เลยว่ากระบวนดังกล่าวเป็นกระบวนอะไรจนถึงกับนิ่งอึ้งไป
เนื่องจากกลัวจะเสียหน้าต่อหน้าเจ้านาย ผังเจวียนจึงแอบไปถามซุนปิ้นว่ามันเป็นกลศึกอะไรกันแน่ ด้วยความมีน้ำใจ ซุนปิ้นบอกผังเจวียนว่าเป็นกระบวนพยุหะแปดทิศ ถ้าข้าศึกโจมตีก็จะเปลี่ยนเป็นขบวนงูยาวได้
เมื่อได้คำตอบแล้ว ผังเจวียนรีบไปทูลเว่ยฮุ่ยหวางก่อน เว่ยฮุ่ยหวางจึงถามซุนปิ้นว่าใช่หรือไม่ ซุนปิ้นตอบว่าใช่ เว่ยฮุ่ยหวางจึงพูดขึ้นมาว่าทั้งสองคนมีสติปัญญาเท่าเทียมกัน
ในขณะนั้นความอิจฉาริษยาได้เข้าครอบงำจิตใจของผังเจวียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผังเจวียนคิดจะกำจัดซุนปิ้นตั้งแต่นั้นมาเพราะซุนปิ้นมีความสามารถมากกว่าตนเองมากมาย ถ้าซุนปิ้นอยู่ในราชสำนักเว่ยนานไปจะกลายมาเป็นคู่แข่งกับตนเอง และตนเองจะไม่รุ่งเรืองทางราชการเสียเปล่าๆ
ผังเจวียนจึงคิดอุบายได้แผนหนึ่ง
มีอยู่วันหนึ่ง ผังเจวียนไปถามซุนปิ้นว่าญาติพี่น้องของซุนปิ้นอยู่ที่ใด ทำไมถึงไม่เชิญมายังแคว้นเว่ย
ซุนปิ้นจึงกล่าวโดยไม่คิดอะไรว่า
น้องเราลืมไปแล้วหรือ ข้าเป็นคนกำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก มีแต่ท่านอาเท่านั้น ท่านอาของข้าเป็นขุนนางของ ฉีคังกงเจ้าผู้ครองแคว้นฉีสายตระกูลเจียง หากแต่ว่าหลังจากตระกูลเถียนยึดอำนาจแคว้นฉีได้แล้วก็ได้ขับไล่และสังหาร กวาดล้างขุนนางฝ่ายตระกูลเจียงจนหมดสิ้น ท่านอาและลูกพี่ลูกน้องของข้าจึงต้องหนีไปแคว้นโจว ในปีนั้นเกิดภัยพิบัติแห้งแล้งครั้งใหญ่ ข้าจึงพลัดพรากจากท่านอาและลูกพี่ลูกน้องไป ภายหลังข้าได้ทราบว่าท่านอาจารย์มีความรู้สูง และมีคุณธรรม ข้าจึงมาขออาศัยอยู่ด้วย ดังนั้นข้าจะไปหาญาติพี่น้องจากที่ใดได้อีก
ผังเจวียนไต่ถามอีกว่าซุนปิ้นยังจำได้หรือไม่ว่าฮวงซุ้ยของบรรพบุรุษอยู่ที่ใด ซุนปิ้นกล่าวว่าเขายังจำได้ แต่ในบัดนั้นเขาเป็นขุนนางแคว้นเว่ยแล้ว เรื่องนั้นไม่อยากจะพูดถึงอีก
ต่อมาอีกสักครึ่งปี มีชายผู้หนึ่งมาพบซุนปิ้น เขาอ้างตัวว่าเป็นพ่อค้าชาวฉี เขาได้เคยได้เดินทางไปแคว้นโจว และพบกับอาของซุนปิ้นโดยบังเอิญ หลังจากนั้นเขาจึงเดินทางไปที่หุบผาปีศาจเพื่อหาซุนปิ้น แต่ไม่พบซุนปิ้นเลยต้องเดินทางมาที่นี่เพื่อนำจดหมายของอาซุนปิ้นมามอบให้ เนื้อความมีดังนี้
น้องซุนปิ้น ข้าคือซุนผิง ญาติผู้พี่ของเจ้าเอง ตั้งแต่ครอบครัวเราเผชิญกับหายนะ ข้าก็ต้องหนีไปอยู่แคว้นซ่ง เป็นคนสวนให้กับเขา หลังจากนั้นท่านอาของเจ้าก็เสียชีวิต ข้าได้รับความเหนื่อยยากมากมาย แต่โชคดีตอนนี้ ฉีหวางพระองค์ใหม่ทรงเลิกอาฆาตมาดร้ายบรรดาขุนนางเก่าของตระกูลเจียง พระองค์ส่งคนมาหาข้าและชักชวนให้กลับแคว้นเรา ข้าได้ทราบว่าน้องท่านได้ร่ำเรียนกับอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อผู้เมธา น่าจะกลับมาทำประโยชน์มากให้แคว้นเราได้มาก น้องท่านจะตัดสินใจอย่างไรก็ขอให้เขียนจดหมายตอบกลับและส่งให้พ่อค้าผู้นี้เลย ข้ากับเจ้าจะได้พบกันอีก
ซุนปิ้นรู้สึกสะเทือนอารมณ์จึงเขียนจดหมายตอบไปว่า
ข้าได้เป็นขุนนางแคว้นเว่ยแล้ว จะทำอะไรก็คงไม่ง่าย ขอให้ข้าได้ตั้งตัวแล้วจึงค่อยคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไปเถิด
พ่อค้าผู้นั้นจึงนำจดหมายตอบกลับของซุนปิ้นกลับไป แต่ซุนปิ้นนั้นไม่รู้เลยว่าตนเองนั้นได้ติดกับดักเสียแล้ว
กับดักนี้จะเป็นอะไร ติดตามได้ในตอนหน้าครับ