ประวัติศาสตร์บูเช็คเทียน (2): หวู่เหม่ยเหนียงเรียกร้องความสนใจจากฮ่องเต้

บูเช็คเทียน (2): หวู่เหม่ยเหนียงเรียกร้องความสนใจจากฮ่องเต้

จากตอนที่แล้ว หวู่เหม่ยเหนียงได้เข้ามาอยู่ในวังมารับตำแหน่งไฉเหยิน หรือ นางปัญญา ซึ่งตำแหน่งนี้เทียบเท่ากับเจ้าจอมอยู่งานของไทย

แต่ก่อนที่ผมจะไปเล่าถึงชีวิตในวังของหวู่เหม่ยเหนียงแล้วนั้น ผมต้องขอเล่าเหตุการณ์ในราชสำนักถังคร่าวๆ เสียก่อน

เหล่านางสนมในสมัยราชวงศ์ถัง

สถานการณ์ในวังถัง

หลังจากเหตุการณ์ที่ประตูเสวียนหวู่ หลี่ซื่อหมินได้ครองราชย์เป็นจักรพรรดิพระองค์ใหม่นามว่า ถังไท่จง

ถังไท่จงเป็นจักรพรรดิตัวอย่างในประวัติศาสตร์จีน และยังก็มีหวงโฮ่ว (ฮองเฮา) ตัวอย่างด้วย นั่นก็คือ จ่างซุนหวงโฮ่ว (長孫皇后, Empress Zhangsun) ผู้เป็นน้องสาวของจ่างซุนหวู่จี้ (长孙无忌Zhangsun Wuji) อัครมหาเสนาบดี และที่ปรึกษาของถังไท่จงตั้งแต่คิดล้มล้างราชวงศ์สุย

จ่างซุนหวงโฮ่วผมีหลายอย่างคล้ายกับหวู่เหม่ยเหนียง นอกจากนางมีหน้าตางดงามแล้ว นางยังได้ศึกษาความรู้แบบเดียวกับหวู่เหม่ยเหนียงและชายชนชั้นสูงทั่วไป ทำให้นางเฉลียวฉลาดและมีความรู้หลายด้าน

อย่างไรก็ตามจ่างซุนหวงโฮ่วอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ทะเยอทะยานเหมือนหวู่เหม่ยเหนียง นางเป็นที่ปรึกษาที่ดีให้กับพระสวามี และนางยังใช้ชีวิตอย่างประหยัดมัธยัสถ์ด้วยทั้งๆที่สืบเชื้อสายมาจากพวกผู้ดีเก่า

ถังไท่จงจึงรักนางมาก แต่นางมีโรคประจำตัวอยู่แล้วคือโรคหอบหืด ในปี ค.ศ. 636 จ่างซุนหวงโฮ่วจึงจากโลกนี้ไปด้วยอายุเพียง 35 ปีเท่านั้น

ก่อนจะสิ้นพระชนม์นางขอให้ถังไท่จงอย่าได้มอบอำนาจให้กับตระกูลจ่างซุน ซึ่งเป็นตระกูลของพระนางเอง จ่างซุนหวงโฮ่วมองว่าญาติของนางมีทรัพย์สินเงินทองและอำนาจจากการที่นางได้เป็นหวงโฮ่วอยู่แล้ว ส่วนงานศพของนางก็ไม่ต้องสร้างสุสานให้ใหญ่โต ขอให้ถังไท่จงนำร่างของนางไปฝังไว้ในเนินเขาสักที่หนึ่งก็เพียงพอแล้ว

ทั้งนี้เพราะจ่างซุนหวงโฮ่วเกรงว่าประชาชนจะต้องถูกเกณฑ์มาสร้างสุสาน ทำให้ได้ทุกข์ได้ยาก และสิ้นเปลืองทรัพยากรเสียเปล่าๆ

ถังไท่จงเสียใจมากกับการจากไปของหวงโฮ่วที่แสนดีนางนี้ ทำให้เหล่าพระสนมเอกต้องทูลแนะนำให้รับสาวงามเข้าวังมาเพิ่มเติม เพราะก่อนหน้านี้ได้มีรับสั่งให้ปล่อยนางสนมในวังออกไปจำนวนมาก นางสนมในวังจึงมีจำนวนน้อย ถังไท่จงอาจจะไม่พึงพอใจนางสนมอื่นๆ ที่เหลืออยู่ ถ้ารับนางสนมเข้ามาใหม่ ถังไท่จงอาจจะสดชื่นขึ้นมาบ้าง

หวู่เหม่ยเหนียงก็คือหนึ่งในนางสนมที่ถูกเกณฑ์เข้ามาใหม่นี่เอง

เรียกร้องความสนใจ

หวู่เหม่ยเหนียงเข้ามาอยู่ในวังหลวงอยู่นานนับปีแต่ยังไม่ได้พบถังไท่จงเสียที แต่นางไม่ได้ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า หวู่เหม่ยเหนียงอ่านหนังสือต่างๆ ต่อไปแบบที่ทำมาตั้งแต่เด็ก

นานวันเข้าหวู่เหม่ยเหนียงก็สัมผัสได้ว่า การจะได้ถวายตัวเป็นสนมไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถังไท่จงเป็นฮ่องเต้ที่เอางานเอาการในราชการแผ่นดินมาก บางครั้งถึงกับยกทัพไปทำสงครามด้วยตนเอง ในปี ค.ศ.645 ถังไท่จงบุกเข้าโจมตีอาณาจักรโกคูรยอ (Goguryeo) แต่ไม่สำเร็จ

การที่ฮ่องเต้ไปทัพ ทำให้ไม่อยู่ในวังหลวงเป็นเวลานาน บางครั้งก็นานนับปี พวกสาวสนมกำนัลจะหาโอกาสไปปรนนิบัติรับใช้ได้อย่างไร โดยเฉพาะพวกนางสนมใหม่อย่างหวู่เหม่ยเหนียงที่ฮ่องเต้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน

ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่หาได้ยากมาถึง เหล่านางสนมย่อมแก่งแย่งกันว่าผู้ใดจะได้ปรนนิบัติฮ่องเต้

การปรนนิบัติมีหลายแบบตั้งแต่ปรนนิบัติง่ายๆ เช่นคอยพัดให้ฮ่องเต้ นั่งอยู่ข้างๆ รอฮ่องเต้ทรงเรียกใช้ หรือว่าแบบร่วมนอน

แบบสุดท้ายเป็นสิ่งที่นางสนมหน้าใหม่ทุกคนต้องการ เพราะตัวเองจะมีโอกาสได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ถ้าเกิดตนเองตั้งท้องขึ้นมา นางสนมผู้นั้นอาจจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับ “เฟย” หรือ ระดับพระราชเทวีเลยทีเดียว

มีอยู่วันหนึ่งหวู่เหม่ยเหนียงได้รับโอกาสให้ไปปรนนิบัติถังไท่จง แต่จะเรียกว่าเป็นการปรนนิบัติก็ไม่เชิง เพราะนางแค่ถูกเรียกตัวให้เป็นหนึ่งในนางสนมที่คอยเตรียมตัวรับใช้ ระหว่างที่ถังไท่จงชมม้างามตัวหนึ่งที่ได้รับมาจากต่างแดน

ในพงศาวดารว่าม้าตัวนี้มีขนเหมือนสิงโต

ทั้งนี้ถังไท่จงขี่ม้าออกรบตั้งแต่ยังหนุ่ม ถึงแม้จะอายุ 40 กว่าปีแล้วก็ยังชื่นชอบในการศึก ถังไท่จงจึงสนใจม้างามตัวนี้มาก

แต่ว่าม้าตัวนี้กลับพยศมากจนทำให้ครูฝึกม้าบาดเจ็บไปหลายคน ถังไท่จงจึงกล่าวกับพวกขุนนางและที่ปรึกษาว่าผู้ใดสามารถปราบมันได้บ้าง

ทุกคนเงียบสนิทไปเพราะขนาดครูฝึกม้ายังเอาไม่อยู่ แล้วใครจะไปเอาอยู่กันเล่า แต่แล้วกลับมีเสียงนิ่มๆ จากนางสนมที่นั่งอยู่ด้วยขันอาสา

นางคนนี้คือหวู่เหม่ยเหนียงนั่นเอง นางกล่าวว่าขอให้ถังไท่จงมอบโอกาสให้นางทดลองดู

ถังไท่จงฮ่องเต้รู้สึกสนใจจึงถามว่านางมีวิธีการใด หวู่เหม่ยเหนียงตอบว่า

หม่อมฉันขอให้พระองค์พระราชทานแส้เหล็ก ค้อนเหล็ก และมีดสั้นให้หม่อมฉัน เริ่มแรกหม่อมฉันจะใช้แส้เฆี่ยนม้านี้ก่อน ถ้ายังไม่เชื่อฟังก็จะใช้ค้อนเหล็กทุบมัน ถ้าสุดท้ายมันยังคงไม่ฟังหม่อมฉันก็จะใช้มือสั้นเชือดคอมันเสีย เพราะม้าที่ไม่เชื่อฟังก็ใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้

เมื่อถังไท่จงฟังจบก็ยิ้มเล็กน้อย แต่ในใจของเขามีความรู้สึก 2 อย่างที่ต่อสู้กัน นั่นคือรู้สึกชื่นชมว่านางเฉลียวฉลาด กับรู้สึกเกรงกลัวว่านางโหดร้าย

หลังจากนั้นพงศาวดารว่าไว้ขัดกัน ฉบับแรกว่าถังไท่จงไม่โปรดปรานหวู่เหม่ยเหนียงเลย และรับใช้เป็นครั้งคราวเท่านั้น

ถังไท่จง

ในอีกเล่มว่าไว้ตรงกันข้าม โดยกล่าวว่าถังไท่จงโปรดปรานหวู่เหม่ยเหนียง และให้นางปรนนิบัติในห้องนอน ต่อมาหวู่เหม่ยเหนียงก็เป็นที่โปรดปรานของถังไท่จง

โดยส่วนตัวผมมองว่าน่าจะเป็นเคสแรกมากกว่า เพราะถ้าโปรดปรานจริงๆ ก็น่าจะมีเลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งกันบ้าง

แม้ว่าจะว่าไว้ขัดกัน แต่ที่ตรงกันแน่ๆ คือ ถังไท่จงไม่เลื่อนตำแหน่งให้นางเป็นมากกว่าไฉเหยิน และนางก็ไม่มีบุตรธิดากับถังไท่จง ดังนั้นโอกาสก้าวหน้าฝ่ายในของนางจึงยังไม่สมคิด

นานวันเข้าหวู่เหม่ยเหนียงเริ่มรู้ว่าโอกาสที่นางจะไต่เต้าในรัชกาลของถังไท่จงท่าทางจะยากเสียแล้ว สายตาของนางจึงเริ่มไปอยู่ที่ลูกๆ ของถังไท่จงแทน โดยเฉพาะรัชทายาทที่จะได้สืบบัลลังก์ฮ่องเต้ต่อไป

แต่เรื่องนี้ยังเป็นไปไม่ได้ ในเวลานั้นถังไท่จงยังไม่ได้แต่งตั้งรัชทายาท เพราะยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะใช้ครองบัลลังก์ต่อไป

เรื่องจะดำเนินต่อไปอย่างไรแน่ ติดตามในตอนหน้าครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!