ในตอนที่แล้ว ซุนปิ้นไม่รู้เลยว่าเขากำลังประสบกับเคราะห์หนักที่สุดในชีวิต เพราะเขากำลังถูกเพื่อนและน้องร่วมสาบานทรยศ
ตัวซุนปิ้นไม่เคยปองร้ายกับใคร เขาจึงไม่คิดว่าใครจะทำอันตรายเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เขารักเหมือนพี่น้องอย่างผังเจวียน
เรามาดูกันครับว่าซุนปิ้นประสบเคราะห์กรรมอย่างไร
เคราะห์กรรมเริ่มต้น
ย้อนกลับไปวันที่ผังเจวียนมาหาซุนปิ้นนั้น เขามาเพื่อมาล้วงข้อมูลเรื่องญาติของซุนปิ้นนั่นเอง เพื่อนำไปใช้วางแผนกำจัดซุนปิ้น
หลังจากที่ได้ข้อมูลแล้ว ผังเจวียนให้คนสนิทของตนเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่งโดยใช้ข้อมูลที่ผังเจวียนล้วงมาได้ ต่อมาผังเจวียนทิ้งเวลาไว้นานถึงครึ่งปีเพื่อให้ซุนปื่นลืมเรื่องที่ผังเจวียนถามในวันนั้นทั้งหมดเพื่อไม่ให้เขาระแวงสงสัย
เมื่อเวลาผ่านไป ผังเจวียนให้คนรับใช้ของตนปลอมตัวเป็นพ่อค้าโดยอ้างว่ามาจากแคว้นฉี และนำจดหมายมาให้ซุนปิ้น ตัวซุนปิ้นไม่ได้เจอญาติมานานกว่าสิบปี ลายมือก็จำไม่ได้แล้ว ซุนปิ้นเลยเชื่อสนิทใจและเขียนจดหมายตอบกลับไปว่าในใจก็อยากกลับแคว้นฉี
ผังเจวียนหมายใจว่าจะใช้จดหมายเป็นหลักฐานมัดตัวซุนปิ้นว่าไม่ซื่อสัตย์กับแคว้นเว่ย แต่แผนการก็ไม่สำเร็จเพราะซุนปิ้นเขียนจดหมายในทำนองแบ่งรับแบ่งสู้ คือไม่ตอบรับ และไม่ปฎิเสธเช่นเดียวกัน
ผังเจวียนต้องจัดการปลอมแปลงจดหมายด้วยตัวเองอีก
น้องเป็นขุนนางอยู่แคว้นเว่ย แต่ใจก็อยู่ที่แคว้นเรา อีกไม่นานก็คงได้วางแผนกลับแคว้นฉี ไม่น่าเชื่อว่าฉีหวางจะทรงไม่ทอดทิ้งข้า ข้าจะต้องกลับไปถวายบังคมให้จงได้
ผังเจวียนนำจดหมายปลอมไปถวายเว่ยฮุ่ยหวาง และกล่าวหาซุนปื่นว่า
ซุนปิ้นคิดทรยศแคว้นเรา เขาลอบติดต่อกับแคว้นฉีผ่านทางขุนนางมานานแล้ว ข้าพระองค์ได้จับคนส่งจดหมายในที่หน้าเมืองนี่เอง นี่คือจดหมายดังกล่าว ขอต้าหวางทรงทอดพระเนตร
เว่ยฮุ่ยหวางทรงรับจดหมายมาทอดพระเนตรดูแล้วถามว่าซุนปิ้นคิดจะกลับแคว้นฉีเพราะเหตุใด
ผังเจวียนกล่าวสมทบว่า
ซุนหวู่ ปู่ของซุนปิ้นเป็นขุนนางแคว้นอู๋ ภายหลังก็กลับไปแคว้นฉี ผู้ใดจะไปลืมเลือนแคว้นบ้านเกิด ได้ ถ้าต้าหวางทรงให้ตำแหน่งสูงแก่ซุนปิ้น แล้วซุนปิ้นฝักใฝ่แคว้นฉีเล่า เขาก็ต้องคิดถึงแคว้นฉีก่อนแคว้นเว่ย สติปัญญาซุนปิ้นไม่ได้ด้อยกว่าข้าพระองค์ ถ้าแคว้นฉีได้เขาไปใช้ก็ต้องแย่งชิงความเป็นใหญ่กับแคว้นเรา ข้าพระองค์จึงขอพระบรมราชานุญาตให้สังหารซุนปิ้นเถิดพระเจ้าข้า
ผังเจวียนช่างโหดเหี้ยมเสียจริงๆ สามารถสังหารได้แม้แต่พี่น้องร่วมสาบานแม้แต่ตัวเอง
เว่ยฮุ่ยหวางยังไม่ทรงเชื่อในคำกล่าวหาของผังเจวียนทั้งหมดแต่แค่สงสัยเท่านั้น เว่ยฮุ่ยหวางจึงคิดจะปล่อยไปพลางก่อน
ผังเจวียนกล่าวว่า
ข้าพระองค์ขอนำพระราชโองการไปเลื่อนตำแหน่งเขา ถ้าซุนปิ้นยอมอยู่กับแคว้นเว่ย ไม่พูดถึงแคว้นฉี ก็ขอให้ต้าหวางทรงเลื่อนตำแหน่งเขาให้สูงขึ้น ถ้าไม่ได้เป็นตามนี้ ขอให้ต้าหวางทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ไปลงโทษเขาเถิด
เว่ยฮุ่ยหวางจึงทรงอนุญาตไปตามนั้น
แต่พอผังเจวียนหาซุนปิ้น เขากลับตีสองหน้าเป็นอีกแบบหนึ่ง ผังเจวียนไม่ได้เอ่ยถึงราชโองการแต่ประการใด เขากล่าวว่า ซุนปิ้นจากบ้านมานานคงอยากกลับไปเยี่ยมเยือนบ้าง ทำไมไม่ขอเว่ยฮุ่ยหวางให้กลับไปเยี่ยมบ้าน
ซุนปิ้นปฏิเสธเพราะเขาเกรงว่าเว่ยฮุ่ยหวางจะสงสัย ผังเจวียนรีบคะยั้นคะยอให้ซุนปิ้นทูลเว่ยฮุ่ยหวางว่าขอกลับบ้าน หลังจากนั้นผังเจวียนก็รีบวิ่งไปทูลเว่ยฮุ่ยหวางทันที
ผังเจวียนทูลเว่ยฮุ่ยหวางว่า
ข้าพระองค์ได้ไปว่ากล่าวนำพระราชโองการไปมอบให้แก่ซุนปิ้นแล้ว แต่ใจซุนปิ้นไม่ปรารถนาการเลื่อนตำแหน่ง หนำซ้ำยังไม่พอใจแคว้นเว่ยเรา ถ้าเขามาทูลขอไปลาพักกลับแคว้น ขอให้ต้าหวางทรงเอาผิดกับเขาเถิด
นี่แหละครับ แผนการตีสองหน้าของผังเจวียน
ด้านหนึ่งไปบลัฟซุนปิ้นให้ลองขอกลับบ้าน อีกด้านหนึ่งก็ไปเสนอให้เว่ยฮุ่ยหวางทรงเอาผิดซุนปิ้นถ้ามีการขอกลับบ้าน ช่างเป็นแผนการที่แนบเนียนแต่สามานย์จริงๆ
ในวันรุ่งขึ้น ซุนปิ้นที่ไม่ได้สงสัยอะไรเลยก็มาถวายฎีกาขอกลับบ้านไปแคว้นฉี เว่ยฮุ่ยหวางโกรธจัดจึงมีรับสั่งให้นำตัวซุนปิ้นไปให้ผังเจวียนลงโทษ
ทหารองครักษ์จึงนำตัวซุนปิ้นไปวังของผังเจวียนทันที
ตัดกระดูกสะบ้าหัวเข่า
พอผังเจวียนเห็นซุนปิ้นโดนลากตัวมาก็ทำเป็นตกใจ และถามทหารที่นำตัวซุนปิ้นมาว่าเกิดอะไรขึ้น
หัวหน้าทหารองครักษ์จึงนำพระบรมราชโองการของเว่ยฮุ่ยหวางมามอบให้ผังเจวียนดู ผังเจวียนทำเป็นเศร้าสร้อยแล้วกล่าวกับซุนปิ้นว่า ซุนปิ้นถูกปรักปรำอย่างไม่เป็นธรรม ตัวจะไปทูลให้เว่ยฮุ่ยหวางทราบความจริงเอง
แต่พอกลับไปถึงท้องพระโรง ผังเจวียนกลับใส่ไฟว่า
ทูลต้าหวาง ความผิดของซุนปิ้นไม่ถึงตาย ขอให้ต้าหวางทรงลงโทษเขาโดยการสักหน้า และถอดลูกสะบ้าที่หัวเข่าออกเสีย เขาจะเป็นคนพิการที่ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไปในแคว้นเว่ย ขอให้ต้าหวางทรงอนุญาตด้วยเถิด
เว่ยฮุ่ยหวางทรงอนุญาตตามนั้น ส่วนผังเจวียนกลับมาพบซุนปิ้นด้วยหน้าเศร้าๆ
ผังเจวียนช่างเล่นละครเก่งเสียจริงๆ ระดับออสการ์ก็ยังไม่สามารถเทียบได้!
ผังเจวียนกล่าวว่า
ต้าหวางพิโรธมากต้องการประหารชีวิตท่านพี่เสีย แต่เดชะบุญได้น้องขอร้องเอาไว้ ต้าหวางจึงทรงตัดสินใจไม่ประหาร แต่พระองค์ก็สั่งให้ลงโทษท่านพี่ด้วยการถอนสะบ้าที่หัวเข่า และสักหน้า
ซุนปิ้นนั้นยังไม่รู้เท่าทันความเลวของผังเจวียนจึงกล่าวขอบคุณที่ช่วยให้รอดชีวิต
ผังเจวียนสั่งให้นำตัวซุนปิ้นไปตัดกระดูกสะบ้าที่หัวเข่าออกและ สักหน้าคำว่า “ลอบติดต่อกับแคว้นอื่น” ตามรับสั่ง
การถูกตัดกระดูกสะบ้าที่หัวเข่าจึงสอดคล้องกับคำว่า “ปิ้น” ที่อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อให้ซุนปิ้นเปลี่ยนชื่อไว้อย่างน่าอัศจรรย์!
จริงๆ แล้วผังเจวียนจะฆ่าซุนปิ้นก็ได้ แต่ยังตัดสินใจไม่ทำ เพราะผังเจวียนยังอยากให้ซุนปิ้นถ่ายทอดตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ให้กับตน ผังเจวียนจำเป็นต้องหลอกลวงซุนปิ้นต่อไป
หลังจากได้รับการลงโทษแล้ว ซุนปิ้นก็พบว่าผังเจวียนนั่งดูแลตนเองอยู่อย่างใกล้ชิดโดยเขาช่วยรักษาบาดแผลอย่างดี นำอาหารมาให้รับประทานจนซุนปิ้นหายดี ทำให้ซุนปิ้นซึ้งในน้ำใจของผังเจวียนมาก
ผังเจวียนจึงฉวยโอกาสขอร้องให้เขียนตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ที่ซุนปิ้นจำได้อย่างแม่นยำให้กับตน ซุนปิ้นไม่ขัดข้องเพราะเกรงใจผังเจวียนที่ดูแลตนเองอย่างดีมาตลอด เขาจึงเริ่มเขียนมันตามคำขอร้องของผังเจวียน
ทราบความจริง
ระหว่างที่ซุนปิ้นเขียนตำราพิชัยสงครามซุนหวู่อยู่นั้น ผังเจวียนได้ส่งคนรับใช้อายุมากผู้หนึ่ง ชื่อว่าเฉิงยี่ มาดูแลซุนปิ้นแต่ที่จริงมีจุดประสงค์เพื่อมาควบคุม ทุกๆวันผังเจวียนจะเรียกตัวเฉิงยี่ไปถามว่าซุนปิ้นเขียนได้เท่าไรแล้ว เฉิงยี่มักจะตอบว่าซุนปิ้นเขียนได้ไม่เท่าไรนักเพราะเดินเหินไม่สะดวก
เฉิงยี่เป็นคนมีคุณธรรม เขารู้สึกสงสารซุนปิ้นที่ต้องมารับความผิดในสิ่งที่ตนเองไม่ได้กระทำ
มีอยู่วันหนึ่ง เฉิงยี่ได้ไปพูดคุยกับคนรับใช้ของผังเจวียน เขาผู้นั้นได้บอกเฉิงยี่ว่า
ท่านผังเจวียนอิจฉาริษยาและเกลียดชังซุนปิ้นมาก ต้องการจะฆ่าให้ตายเสีย แต่ต้องการตำราพิชัยสงครามซุนหวู่จากเขาเสียก่อน หลังจากซุนปิ้นเขียนเสร็จ วันตายของซุนปิ้นก็จะมาถึง
เฉิงยี่ทราบความจึงรีบไปบอกซุนปิ้นเรื่องนี้ทันที ซุนปิ้นถึงกับตกตะลึงอย่างยิ่งกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงเริ่มระลึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับตนว่าทุกอย่างเป็นแผนการของผังเจวียน!
แกล้งบ้าพ้นภัย
ซุนปิ้นอยู่ในภาวะคับขัน ไม่ว่าจะไปทางใด ผังเจวียนก็จะหาทางสังหารตนเองทั้งสิ้น ระหว่างที่ซุนปิ้นคิดไม่ตก เขานึกไปถึงสิ่งของสิ่งหนึ่งที่อาจารย์ให้ไว้ก่อนออกเดินทางมา
สิ่งนี้คือถุงแพรของอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อผู้ชาญฉลาด อาจารย์ได้สั่งไว้ว่าให้ซุนปิ้นเปิดไว้ในภาวะคับขันเท่านั้น
ซุนปิ้นรีบนำถุงแพรนั้นมาเปิดดู พบว่าเป็นผ้าแพรสีเหลืองผืนหนึ่ง บนผ้าแพรเขียนอักษรไว้เพียงสามตัว
นั่นก็คือ “มารแสร้งบ้า”
ซุนปิ้นเข้าใจความหมายในสิ่งที่อาจารย์ได้สื่อไว้ทันที และพยักหน้าด้วยดวงตาที่วาวโรจน์
เย็นวันนั้นระหว่างที่ซุนปิ้นกำลังกินข้าว จู่ๆเขาเป็นลมล้มพับไป พอฟื้นขึ้นมาก็อาเจียนอย่างหนักแล้วก็เสียจริตไปทันที
ซุนปิ้นเบิกตากว้างแล้วร้องตะโกนว่า “เจ้าเอายาพิษมาทำร้ายข้า!!”แล้วก็เทกับข้าวทิ้ง และโยนจานชามจนแตกไปหมด นอกจากนี้ยังคลานไปนำแผ่นไม้ที่กำลังเขียนตำราพิชัยสงครามซุนหวู่ไปเผาทิ้งเสียอีกด้วย ปากก็ด่าทอไม่หยุด
เฉิงยี่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เขารีบไปเรียนต่อผังเจวียน ตัวผังเจวียนเลยรีบมาดูด้วยตนเอง
สิ่งที่ผังเจวียนได้พบเห็นก็คือ ซุนปิ้นน้ำลายฟูมปากเยี่ยงสุนัข ตัวเขานอนอยู่ที่พื้น หัวเราะเสียงดัง สลับกับร้องไห้ใหญ่โต
ผังเจวียนทำเป็นถามว่าซุนปิ้นเป็นอะไร ซุนปิ้นไม่สามารถให้คำตอบได้ เขาได้แต่เพียงพูดจาเลอะๆเทอะๆ เหมือนกับเป็นคนบ้าเท่านั้น
ต่อมาซุนปิ้นแหงนหน้ามองผังเจวียนแล้วคลานเข้าไปหา และร่ำร้องเรียกราวกับว่าผังเจวียนเป็นอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ ผังเจวียนจึงให้คนใช้มาลากตัวซุนปิ้นออกไป
ผังเจวียนเป็นจอมวายร้าย เขาจึงยังไม่เชื่อซุนปิ้นเสียทีเดียว เขายังคิดว่าซุนปิ้นแกล้งบ้าอยู่ ผังเจวียนจึงต้องการทดสอบดูว่าซุนปิ้นบ้าจริงหรือไม่
วันต่อมาผังเจวียนจึงใช้ให้คนใช้อุ้มซุนปิ้นไปที่เล้าที่มีขี้หมูเต็มไปหมด
เมื่อซุนปิ้นถึงเล้าหมู เขาสยายผมยาวออกแล้วจึงล้มตัวลงนอนบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยขี้หมูเต็มไปหมด ตัวซุนปิ้นคลุกตัวกับขี้หมูไปมา แล้วก็หัวเราะบ้าง ร้องไห้บ้างสลับกันไป
ผังเจวียนให้คนใช้ของตนไปถามซุนปิ้นว่าต้องการน้ำและอาหารหรือไม่ ถ้าซุนปิ้นยอมพูดจาและคุยด้วย ก็จะได้พิสูจน์ว่าซุนปิ้นแกล้งบ้า
ในรอบนี้ซุนปิ้นไม่หลงกลเหมือนครั้งก่อน เขาปัดน้ำและอาหารที่คนใช้นำมาทิ้งลงพื้นทั้งหมด แล้วหยิบขึ้หมูขึ้นมากิน แล้วก็หัวเราะเหมือนคนเสพกัญชา เขาด่าคนรับใช้ของผังเจวียนว่านำยาพิษมาให้ตนกิน
ผังเจวียนเริ่มวางใจว่าซุนปิ้นเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หลังจากนั้นจึงปล่อยให้ซุนปิ้นอยู่ในเล้าหมูเช่นนั้นโดยไม่ไปยุ่งอีก
ซุนปิ้นเร่ร่อนไปทั่วเมืองอันยี่ เมืองหลวงแคว้นเว่ย ซุนปิ้นไปนอนที่ตลาดบ้าง กลับไปนอนกับหมูที่เล้าหมูบ้าง ชาวเมืองอันยี่บางคนสงสารเลยซื้ออาหารดีๆให้กิน ซุนปิ้นกินบ้างไม่กินบ้าง ส่วนใหญ่เขาใช้เวลาไปกับการพูดคนเดียวและ หัวเราะบ้าคลั่งไปทั่ว เป็นที่น่าเวทนาของคนทั่วไปยิ่งนัก
ซุนปิ้นจะรอดพ้นเคราะห์นี้ได้อย่างไรกันแน่
ซุนปิ้นพ้นเคราะห์
ฝ่ายฉินหัวหลีได้ท่องเที่ยวไปแคว้นฉี เขาได้พบปะกับลูกศิษย์ที่เพิ่งออกมาจากแคว้นเว่ย ฉินหัวหลีจึงพูดคุยสอบถามว่าซุนปิ้นเป็นอย่างไรบ้าง ลูกศิษย์จึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง
ฉินหัวหลีถึงกับถอนใจแล้วกล่าวว่า
ตัวข้ามีความผิดที่ไปแนะนำซุนปิ้นให้เว่ยหวาง ทำให้ผังเจวียนอิจฉาริษยา จนนำพาภัยร้ายไปมอบให้ซุนปิ้น ข้าจำต้องช่วยเหลือเขาถึงจะสมควร
ฉินหัวหลีรีบไปพบกับเถียนจี้ เชื้อพระวงศ์สูงศักดิ์ของแคว้นฉีทันที เพื่อขอให้กราบทูลต่อฉีเวยหวางให้ทรงช่วยเหลือซุนปิ้น โดยเถียนจี้ทูลว่า
แคว้นฉีเรามี ซุนปิ้น ผู้เป็นปราชญ์มีสติปัญญาสามารถ แต่กลับต้องตกระกำลำบากที่แคว้นอื่น ขอให้ต้าหวางทรงช่วยเหลือด้วยเถิด
ฉีเวยหวางถามว่าจะช่วยเหลือซุนปิ้นได้อย่างไร เถียนจี้จึงทูลแผนการของตนให้ฉีเวยหวางฟัง
ฉีเวยหวางเห็นด้วยกับแผนการดังกล่าว เขาสั่งให้ขุนนางผู้ใหญ่นำราชสาส์นไปถวายเว่ยฮุ่ยหวาง แล้วให้ฉินหัวหลีติดตามไปด้วย เพื่อไปนำซุนปิ้นออกมาจากแคว้นเว่ย
เมื่อฉินหัวหลีพอมาถึงแคว้นเว่ย เขารีบไปหาซุนปิ้นที่เล้าหมูโดยฉวยโอกาสที่ขุนนางแคว้นฉีกำลังนำราชสาส์นไปให้เว่ยหวาง ซุนปิ้นยังคงแกล้งเป็นบ้าไม่ยอมพูดด้วย ฉินหัวหลีจึงต้องแอบลอบมาหาซุนปิ้นที่เล้าหมูในเวลากลางคืน
ฉินหัวหลีกล่าวกับซุนปิ้นว่าฉีหวางโปรดให้ตัวเขามานำซุนปิ้นออกไปจากที่นี่ ซุนปิ้นถึงกับร้องไห้ด้วยความดีใจ ฉินหัวหลีจึงแจ้งให้ซุนปิ้นทราบว่าพรุ่งนี้เขาจะมารับซุนปิ้นออกไปจากเล้าหมู
ในวันรุ่งขึ้น เว่ยหวางทรงจัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับทูตแคว้นฉี ฉินหัวหลีจึงให้คนรับใช้ของตนปลอมตัวเป็นซุนปิ้น แล้วนำโคลนทาหน้าเพื่อทำให้ผู้ดูแลไม่สงสัย แล้วจึงเข้าไปอยู่ในเล้าหมูแทน ส่วนตนเองก็นำซุนปิ้นออกไป
หลังจากงานเลี้ยงเสร็จ เว่ยหวางมอบของมีค่าจำนวนมากตอบแทนที่แคว้นฉีส่งทูตเจริญสัมพันธไมตรี ขุนนางแคว้นฉีและฉินหัวหลีจึงนำซุนปิ้นใส่รถของมีค่าและเดินทางออกไปจากแคว้นฉี
ตัวขุนนางแคว้นฉีไม่รีบร้อน เขาชวนผังเจวียนพูดคุยอยู่นานสองนานเพื่อถ่วงเวลาและไม่ให้ฝ่ายเว่ยสงสัย จนกระทั่งรถของซุนปิ้นออกไปไกลแล้วจึงลากลับ
ผังเจวียนรีบไปตรวจสอบดูว่าซุนปิ้นยังอยู่ในเล้าหมูหรือไม่ ผู้ดูแลเห็นคนใส่เสื้อผ้าสกปรกอยู่ในเล้าหมูก็คิดว่าเป็นซุนปิ้น เขาจึงรายงานไปว่าซุนปิ้นยังอยู่ดี ผังเจวียนเลยไม่ได้ใส่ใจอะไรต่อไป
สองวันต่อมา คนดูแลกลับมาบอกผังเจวียนว่าซุนปิ้นหายตัวไป ผังเจวียนคิดว่าซุนปิ้นกระโดดลงบ่อน้ำฆ่าตัวตาย แต่งมเท่าไรก็ไม่พบศพ ผังเจวียนเกิดกลัวว่าเว่ยฮุ่ยหวางจะทรงลงโทษ เขาจึงไปรายงานว่าซุนปิ้นจมน้ำตายโดยที่ไม่คิดว่าซุนปิ้นจะหนีไปแคว้นฉีแล้วแต่อย่างใด
ส่วนซุนปิ้นพอได้มาถึงแคว้นฉีแล้ว เขาก็อาบน้ำแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ แล้วจึงเข้าไปเมืองหลินจือ เมืองหลวงของแคว้นฉีเพื่อเข้าเฝ้าฉีเวยหวาง เถียนจี้ถึงกับออกนอกเมืองมาต้อนรับด้วยตนเอง แล้วพาไปเข้าเฝ้าฉีเวยหวาง
ซุนปิ้นพูดคุยเรื่องการเมืองและการสงครามกับฉีเวยหวาง ซุนปิ้นแสดงความสามารถออกมาจนฉีเวยหวางประทับใจ เขาจึงต้องการตั้งซุนปิ้นเป็นขุนนาง แต่ซุนปิ้นปฎิเสธโดยกล่าวว่า
ข้าพระองค์ไม่ได้มีผลงานอะไรสักอย่างเดียว ยังมิกล้ารับตำแหน่งนี้ แล้วอีกประการหนึ่ง ผังเจวียนยังไม่ทราบว่าข้าพระองค์มาอยู่ที่แคว้นฉี ข้าพระองค์จึงขอทูลให้ต้าหวางทรงปกปิดเรื่องนี้ไว้เสียก่อน
ฉีเวยหวางเห็นซุนปิ้นมีคุณธรรม และมีเหตุผลจึงอนุมัติให้ตามคำขอของซุนปิ้น
บัดนี้ซุนปิ้นมาอยู่แคว้นฉีแล้ว คำทำนายของอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อส่วนแรกที่ว่า ซุนปิ้นจะลำบากก็ได้เป็นความจริงแล้ว แล้วส่วนหลังที่ว่าซุนปิ้นจะรุ่งเรืองที่บ้านเกิดเมืองนอนจะเป็นจริงหรือไม่ ติดตามได้ตอนหน้าครับ