ตลอดประวัติศาสตร์กว่าสี่พันปีของประเทศจีนนั้นมีราชวงศ์หลายสิบราชวงศ์ แต่ถ้าให้จัดว่าราชวงศ์ไหนที่มีกลิ่นคาวเลือดมากที่สุด ผมเชื่อว่าราชวงศ์หลิวซ่ง (Liu Song Dynasty) ต้องติดห้าอันดับแรกอย่างแน่นอน
ราชวงศ์นี้มีอายุเพียง 59 ปีเท่านั้น และไม่มีโอกาสปกครองแผ่นดินจีนทั้งผืนเหมือนกับราชวงศ์ทั่วไปด้วยซ้ำไป แต่เรื่องความดุเดือดเลือดพล่านนั้นกลับอยู่ในอันดับท้อป และสร้างรอยด่างในหน้าประวัติศาสตร์อย่างที่แทบไม่มีราชวงศ์อื่นใดทำได้
เรามาดูกันครับว่าเกิดอะไรในช่วงเวลานั้นบ้าง
หลิวยี่ว์
ปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์หลิวซ่งคือหลิวยี่ว์ (Liu Yu, 劉裕) เขาเกิดในปี ค.ศ.363 ที่เมืองจิงโข่ว เมืองเล็กๆ ในราชวงศ์จิ้นตะวันออก ซึ่งในเวลานั้นปกครองดินแดนภาคใต้ของแผ่นดินจีน
ราชวงศ์นี้หลายคนน่าจะคุ้นเคยดี เป็นของตระกูลซือหม่า (สุมา) ที่รวมแผ่นดินสำเร็จในยุคสามก๊ก แต่เพราะจลาจลแปดหวางที่ปะทุขึ้นเพราะผลงานของเจี๋ยหนานเฟิงได้ทำให้รากฐานของราชวงศ์เสียหาย และเปิดโอกาสให้กองทัพชนเผ่าต่างๆ บุกเข้ายึดครองภาคเหนือและภาคกลางของแผ่นดินจีน
เชื้อพระวงศ์จิ้นจึงหนีศึกลงใต้ และมาตั้งศูนย์กลางการปกครองใหม่ที่เมืองเจี้ยนคัง (นานกิง) และปกครองดินแดนภาคใต้สืบต่อมา
พงศาวดารหลิวซ่งได้บันทึกไว้ว่าจริงๆ แล้วหลิวยี่ว์เป็นเชื้อพระวงศ์ฮั่น โดยเป็นชนรุ่นหลังที่ 20 ของหลิวเจียว น้องชายของฮั่นเกาจู่ หลิวปัง เรื่องนี้จะจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครทราบ ว่าพงศาวดารหลิวซ่งเองก็เขียนหลังจากเหตุการณ์จริงหลายร้อยปี แต่ที่แน่ๆ หลิวยี่ว์ร่วมแซ่กับเชื้อพระวงศ์ฮั่นอย่างไม่มีข้อสงสัย
หลิวเฉียวบิดาของหลิวยี่ว์นั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ (น่าจะชั้นผู้น้อย) ส่วนมารดานั้นว่ากันว่าเป็นบุตรสาวของผู้ว่าราชการจังหวัด ด้วยความที่ชาติตระกูลของมารดาเหมือนจะสูงส่ง ทำให้หลิวยี่ว์น่าจะมีชาติกำเนิดที่ดี แต่ในทางตรงกันข้าม พงศาวดารกลับบันทึกไว้ว่า ครอบครัวของหลิวยี่ว์ยากจนพอตัว ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าบิดาและมารดาของหลิวยี่ว์อาจจะไม่ได้แต่งงานกันด้วยการยอมรับของผู้ใหญ่ (ซึ่งก็เป็นไปได้เพราะสถานะของบิดามารดาต่างกันมากอยู่)
มารดาของหลิวยี่ว์นั้นล่วงลับไปเพราะให้กำเนิดหลิวยี่ว์ ทำให้เด็กน้อยกำพร้าใหม่ตั้งแต่เด็ก และไม่มีใครเลี้ยงดู ด้วยสาเหตุนี้เองหลิวเฉียวผู้เป็นบิดาจึงคิดที่จะทิ้งเด็กคนนี้เสีย เคราะห์ดีที่ป้าของเขาที่เพิ่งให้กำเนิดบุตรเข้ามาขวางไว้ และเข้าช่วยเหลือด้วยการเลี้ยงดูเด็กทารกผู้นี้แทน
ต่อมาหลิวเฉียวได้แต่งงานใหม่กับเซียวเหวินโซ่ว และมีบุตรด้วยกันสองคน อย่างไรก็ดีมารดาเลี้ยงได้ดูแลหลิวยี่ว์เหมือนกับเป็นลูกของเธอเอง หลิวยี่ว์เองก็รักและเคารพมารดาเลี้ยงมากเหมือนกับแม่ของเขาเอง
ว่ากันว่าอุปนิสัยในวัยเด็กและหนุ่มของหลิวยี่ว์นั้นเป็นคนใจกล้าและมีจิตใจที่เข้มแข็ง แต่ไม่ค่อยรักการเรียนหนังสือเท่าไรนัก หลิวยี่ว์อ่านหนังสือออกเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น ด้วยความที่ไม่ได้เป็นปัญญาชน หลิวยี่ว์จึงหาเลี้ยงชีพด้วยการทอรองเท้าขาย แต่เงินที่ได้มาก็ไม่ได้เก็บหอมรอมริบอะไร เพราะหมดเงินไปกับการพนันเสียหมด
ดังนั้นชาวบ้านในหมู่บ้านเดียวกันล้วนแต่ดูถูกหลิวยี่ว์ว่าเป็นคนโง่ จน และไม่เอางานเอาการ เขาไม่มีแววว่าจะได้เป็นปฐมจักรพรรดิของราชวงศ์ใหม่เลยสักนิดเดียว เพราะแค่บอกว่าคนๆ นี้จะเป็นใหญ่เป็นโตก็น่าจะโดนหัวเราะอย่างยกใหญ่แล้ว
ชะตาชีวิตผกผัน
ไม่มีใครรู้เลยว่าชะตาชีวิตของหลิวยี่ว์จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ และไม่มีใครตามทัน
เรื่องแปลกเรื่องแรกคือหลิวยี่ว์ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้น้อย (น่าจะเป็นตำรวจ) เหมือนกับบิดา ทั้งๆ ที่เป็นคนสำมะเลเทเมาคนหนึ่ง นี่จึงเป็นเรื่องน่าแปลกอย่างยิ่งที่คนอย่างหลิวยี่ว์ได้เข้ารับราชการ แต่ตามธรรมชาติของสังคมจีนแล้วนั้น การใช้เส้นสายรวมไปถึงคอรัปชันเป็นเรื่องปกติ การที่หลิวยี่ว์น่าจะใช้ช่องทางนี้ก็น่าจะเป็นไปได้ เพราะบิดาของเขาก็เคยเป็นตำรวจมาก่อน
ในปี ค.ศ.399 ราชวงศ์จิ้นตะวันออกเผชิญกับการกบฏครั้งใหญ่ของซุนเอิน หลิวยี่ว์จึงได้ติดสอยห้อยตามไปปราบกบฏด้วย โดยร่วมอยู่กับกองทัพของหลิวเหลาจือ ระหว่างที่อยู่ในกองทัพนั้น หลิวยี่ว์ได้คบหาเป็นเพื่อนกับลูกชายแม่ทัพอย่างหลิวจิ้งเสวียน ทำให้เขามีแบ็กที่ดีในกองทัพไปโดยปริยาย
มีอยู่วันหนึ่งหลิวยี่ว์ได้รับคำสั่งให้นำทหารหลายสิบคนออกไปลาดตระเวน แต่กลับเผชิญกับกองทัพระดับกลางของพวกกบฏ หลิวยี่ว์ได้ต่อสู้อย่างกล้าหาญ แต่น้ำน้อยก็แพ้ไฟ ทหารที่หลิวยี่ว์นำไปถูกสังหารเรียบ เหลือแต่เพียงหลิวยี่ว์แต่เพียงผู้เดียว
หลิวยี่ว์กลับไม่ยอมแพ้ ตัวเขาหนีไปยืนริมฝั่งแม่น้ำ และต่อสู้กับทหารกบฏที่รายล้อมเข้ามาอย่างดุเดือด จนสุดท้ายหลิวจิ้งเสวียนส่งกำลังทหารมาช่วยเหลือ หลิวยี่ว์จึงรอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด
ความกล้าหาญของหลิวยี่ว์ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงเลื่องลือในกองทัพ นอกจากนี้เขายังแบ็กที่ดีอย่างหลิวจิ้งเสวียน ทำให้เขาได้ตำแหน่งสูงขึ้นในกองทัพอย่างรวดเร็ว จนสุดท้ายก็ได้รับตำแหน่งเป็นขุนพลคนหนึ่งของหลิวเหลาจือ
เมื่อได้เป็นขุนพลแล้ว หลิวยี่ว์ก็ได้รับหน้าที่นำกองทัพไปปะทะกับพวกกบฏอีกหลายครั้ง แม้ว่าจะไม่รู้หนังสือสักตัว ตำราพิชัยสงครามก็ไม่น่าจะเคยอ่าน แต่หลิวยี่ว์เป็นคนเก่งกาจเรื่องการทำสงครามอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะนิสัยใจกล้าบ้าบิ่นและคาดเดาไม่ได้ของตัวหลิวยี่ว์เอง ทำให้แม้ว่าพวกกบฏจะมีกำลังมากกว่า แต่กลับไปแพ้หลิวยี่ว์ติดๆ กัน
ชัยชนะของหลิวยี่ว์ส่งผลให้พวกกบฏอ่อนแอลงมาก ราชสำนักจิ้นตะวันออกจึงตอบแทนความดีความชอบด้วยการปูนบำเหน็จหลิวยี่ว์เป็นผู้ว่าจังหวัดเซี่ยพี ตำแหน่งที่ไม่มีใครคิดว่าคนไม่เอาถ่านอย่างหลิวยี่ว์จะไขว่คว้ามาได้
กลับเป็นสามัญชนอีกครั้ง
แม้ว่าจะได้ตำแหน่งเป็นผู้ว่าแล้ว แต่ในทางปฏิบัติแล้วหลิวยี่ว์ยังเป็นขุนพลของหลิวเหลาจือ ตำแหน่งที่ได้ก็เป็นเพียงตำแหน่งในนามเท่านั้น จนกระทั่งวันหนึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์สำคัญขึ้น
เรื่องมีอยู่ว่าในราชสำนักจิ้นได้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างซือหม่าหยวนเสี่ยนกับหวนเสวียน โดยคนแรกนั้นเชื้อพระวงศ์และผู้สำเร็จราชการแทนฮ่องเต้ ส่วนคนหลังเป็นแม่ทัพและเสนาบดีที่เรืองอำนาจมากในราชสำนัก ชนิดที่ว่าบัลลังก์ฮ่องเต้ก็อยู่แค่เวลาเท่านั้นว่าจะเป็นของเขาเมื่อใด
ด้วยความที่เกรงว่าหวนเสวียนจะแย่งราชสมบัติจิ้นในไม่ช้า ซือหม่าหยวนเสี่ยนจึงประกาศว่าหวนเสวียนเป็นกบฏ และออกพระบรมราชโองการให้กองทหารในอาณาจักรทุกกองโจมตีหวนเสวียน แต่ด้วยความที่ฝ่ายหลังก็มีอำนาจและบารมีมาก ผู้สนับสนุนของเขาจึงมีไม่น้อย แม่ทัพจิ้นจึงแตกออกเป็นสองฝ่ายว่าจะเข้าข้างใครดี ซึ่งนั่นก็คือหลิวเหลาจือด้วย
หลิวเหลาจือจึงเลือกที่จะเพลย์เซฟด้วยการนำกองทัพของตนไปยังเจี้ยนคัง เพื่อให้ผู้คนมองว่าตนเองไม่ได้เป็นกบฏด้วยการสนับสนุนหวนเสวียน แต่เมื่อหลิวยี่ว์ขออนุญาตจะเข้าโจมตีหวนเสวียน หลิวเหลาจือกลับห้ามไว้ กองทัพของหลิวเหลาจือจึงตั้งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เข้าช่วยเหลือฝ่ายใดในการรบ
ฝ่ายหวนเสวียนเห็นเป็นโอกาสจึงส่งทูตมาเจรจากับหลิวเหลาจือเป็นการลับว่าให้ย้ายข้างมาสนับสนุนตนเอง ซึ่งการเกลี้ยกล่อมเป็นแบบใดก็ไม่ทราบ แต่หลิวเหลาจือย้ายไปเข้าข้างหวนเสวียนจริงๆ แม้ว่าบุตรชายอย่างหลิวจิ้งเสวียนและหลิวยี่ว์เองจะค้านหัวชนฝาก็ตาม
ด้วยเหตุนี้หวนเสวียนจึงเข้าเมืองหลวงเจี้ยนคังได้ และสังหารซือหม่าหยวนเสี่ยนกับผู้ที่ต่อต้านตนเองทั้งเมือง พอคุมอำนาจได้เสร็จสรรพแล้ว หวนเสวียนเองกลับต้องการกำจัดหลิวเหลาจือทิ้งอีกคนหนึ่ง เพราะรู้สึกไม่ไว้ใจ ประกอบกับหลิวเหลาจือเองก็หมดประโยชน์สำหรับตนเองแล้ว เข้าทำนองกระต่ายปราดเปรียวตายหมดป่า จับสุนัขล่าเหยื่อต้มกิน
ในชั่วพริบตา หวนเสวียนออกฏีกาปลดหลิวเหลาจือออกจากทุกตำแหน่ง ซึ่งหลิวเหลาจือนั้นไม่ยินยอม เขาหันมาปรึกษากับหลิวยี่ว์และหลิวจิ้งเสวียนว่าจะทำอย่างไรดี โดยหลิวเหลาจือต้องการจะขัดคำสั่งและนำกองทัพต่อสู้กับหวนเสวียน
สำหรับหลิวยี่ว์นั้น เขามองว่าหลิวเหลาจือนั้นจบสิ้นแล้ว กำลังของหลิวเหลาจือไม่อาจจะทานหวนเสวียนได้ การต่อสู้กับหวนเสวียนจึงไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตาย หลิวเหลาจือเองกลับยืนกรานจะไม่ยอมแพ้ สุดท้ายหลิวยี่ว์จึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งในกองทัพหลิวเหลาจือ เขากลับไปเป็นสามัญชนอีกครั้งหนึ่ง และเดินทางกลับเมืองจิงโข่ว อันเป็นบ้านเกิดเมืองนอน
การตัดสินใจของหลิวยี่ว์นั้นถูกต้อง เพราะทหารในกองทัพเองก็ไม่อยากไปตายกับหลิวเหลาจือ สุดท้ายหลิวเหลาจือจึงต้องปลิดชีพตนเอง ส่วนหลิวจิ้งเสวียนหนีขึ้นเหนือไปสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์โฮ้วฉิน
เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ