ประวัติศาสตร์ตระกูลเกาแห่งเป่ยฉี ตอนที่ 13: วาระสุดท้ายของเป่ยฉี

ตระกูลเกาแห่งเป่ยฉี ตอนที่ 13: วาระสุดท้ายของเป่ยฉี

ก่อนที่ผมจะเล่าถึงการศึกที่ผิงหยางนั้น ผมขอเล่าสถานการณ์ในราชสำนักเป่ยฉีเพื่อให้หลายคนอาจจะมองเห็นภาพว่า ทำให้ถึงเกิดหายนะที่ผิงหยางที่นำไปสู่การล่มสลายของเป่ยฉีได้ครับ

หลังจากที่เกาเหว่ยสังหารหูลี่ว์กวงและเกาฉางกงแล้วนั้น อำนาจในราชสำนักก็อยู่ในมือของจู๋ถิ่ง ซึ่งจู๋ถิ่งนั้นเป็นคนโกงกินก็จริง แต่ก็ไม่ใช่กังฉินแบบดำสนิท เขาพยายามปรับปรุงราชสำนักที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น รวมไปถึงกำจัดอำนาจของพวกขันที แต่การกระทำเช่นนั้นก็ไปขัดกับกลุ่มของมู่ถีโผ และหลู่หลิ่งซวน สองแม่ลูกเข้าอย่างจัง ทำให้จากเดิมที่เคยเป็นพันธมิตรกันก็แตกคอกันในที่สุด

ท้ายที่สุดจู๋ถิ่งก็ถูกใส่ความแบบเดียวกับที่ตนเองที่ทำกับหูลี่ว์กวง แต่เคราะห์ดีที่เกาเหว่ยเคยให้คำมั่นว่าจู๋ถิ่งทำอะไรผิดก็จะไม่ฆ่า เพราะฉะนั้นจึงโดนอัปเปหิไปเป็นเจ้าเมืองชายแดน และหมดอำนาจในราชสำนักไปอย่างถาวร

นับตั้งแต่บัดนั้นจนสิ้นราชวงศ์ อำนาจในราชสำนักก็อยู่ในมือของมู่ถีโผและหลู่หลิ่งซวน สองแม่ลูก มู่ถีโผนั้นเป็นขุนนางที่ประจบสอพลอและมีทัศนคติที่ทำลายล้างอาณาจักรอย่างร้ายกาจยิ่ง โดยเขามักจะสนับสนุนให้เกาเหว่ยร่ำสุรานารีต่อไป ไม่ว่าศัตรูจะคุกคามเมืองไหน ถ้าเสียแล้วก็ช่างมัน

อย่างตอนที่กองทัพราชวงศ์เฉินบุกมาตีเมืองระหว่างแม่น้ำแยงซีและแม่น้ำไฮว้ไปได้ทั้งหมด เขาก็ทูลเกาเหว่ยว่าชีวิตคนเรามันสั้นนัก จะมัวแต่พะวงเรื่องเสียเมืองไปทำไม ถ้าเหลือแค่เมืองเดียวก็ยังอยู่ได้ หลังจากนั้นก็ชวนฮ่องเต้ให้เสวยสุขต่อไป แต่พอลับหลังเกาเหว่ย ตนเองกับมารดาก็ขายตำแหน่งขุนนางในราชสำนักเพื่อรับส่วยและสินบนเข้ากระเป๋าตนเองจนอิ่มหมีพีมัน

อีกหนึ่งขุนนางที่เรืองอำนาจในช่วงนี้คือเกาอาน่ากง เขาเคยเป็นทหารในกองทัพ และมีฝีมือในการศึกพอตัว แต่ไม่เท่าฝีปากในการประจบประแจงให้ได้ตำแหน่งสูง หรือพูดง่ายๆ คือความสามารถพอมี แต่ไม่ควรกับตำแหน่งสูงที่ได้รับ

สำหรับตัวของเกาเหว่ยนั้น ในช่วงนี้เขาลุ่มหลงเฝิงเสี่ยวเหลียน สนมคนใหม่ซึ่งเคยเป็นนางกำนัลมาก่อนอย่างหัวปักหัวปำ ถึงขนาดที่ว่าทั้งสองตัวติดกันอยู่ตลอด และสาบานต่อฟ้าว่าจะถ้าจะตายก็ขอให้ตายด้วยกัน ในช่วงนี้เกาเหว่ยก็หาเหตุทุบวังเก่าและให้สร้างใหม่ ท้องพระคลังของเป่ยฉีที่มีน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งลดถอยลงไปอีก

สรุปแล้วราชสำนักเป่ยฉีในช่วงปี ค.ศ.576 ซึ่งจะเกิดศึกที่ผิงหยางนั้นอยู่ในสภาวะที่ใกล้เคียงกับคำว่าเละเทะ แต่เท่านี้ยังไม่จบเพราะการคอรัปชั่นที่พุ่งสูงทะลุฟ้าด้วยผลงานของมู่ถีโผและพวกขันทีที่รับสินบนทุกสิ่ง และรวมไปถึงกระบวนการตัดสินของศาลด้วย (มีเงินจ่ายได้ลดโทษ ไม่มีเงินก็โดนประหาร) ราษฎรเป่ยฉีจึงทุกข์ยากแสนสาหัส ดังนั้นไม่น่าแปลกใจที่โจวหวู่ตี้จะดำริว่าเป็นโอกาสที่จะทำลายเป่ยฉีให้ย่อยยับไปเสียที

การศึกที่ผิงหยาง

โจวหวู่ตี้ทรงให้ยกทัพไปตีเป่ยฉีโดยใช้แผนสายฟ้าฟาด โดยมุ่งหน้าไปยังเมืองผิงหยาง จุดยุทธศาสตร์สำคัญ ปรากฏว่าฝ่ายเป่ยฉีไม่ทันตั้งตัวทำให้เมืองแตกอย่างรวดเร็ว จริงๆ แล้วม้าเร็วได้ถูกส่งไปยังเย่เฉิงเพื่อขอกำลังสนับสนุนตั้งแต่ก่อนที่เมืองจะแตก แต่ปรากฏว่าเกาอาน่ากงกลับไม่เอาความขึ้นทูลต่อเกาเหว่ย เพราะเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะฮ่องเต้กำลังล่าสัตว์อยู่ ทำให้ผิงหยางไม่ได้รับการช่วยเหลือจนเมืองแตก

เกาเหว่ยที่ได้ทราบข่าวก็ตกตะลึง เขาจึงให้เตรียมกองทัพยกไปตีเมืองกลับคืน แต่สนมเฝิงเสี่ยวเหลียนต้องการจะล่าสัตว์อีกสักรอบหนึ่งก่อนที่จะไป เกาเหว่ยกลับเห็นดีเห็นงามด้วย ทำให้เสียเวลาไปอีกหลายวันกว่าที่กองทัพจะได้ถูกจัดตั้งขึ้น

ฝ่ายโจวหวู่ตี้ทรงเห็นว่ากองทัพเป่ยฉีเพิ่งจะยกมาส่วนกองทัพเป่ยโจวเหน็ดเหนื่อยกับการเข้าตีเมืองก่อนหน้านี้ ดังนั้นพระองค์จึงให้กองทัพหลวงถอยไปปรับกระบวนทัพก่อน แล้วทิ้งให้แม่ทัพเหลียงชื่อเยี่ยนรักษาเมืองเอาไว้

กองทัพเป่ยฉีที่นำมาโดยเกาเหว่ยนั้นเข้าตีเมืองอย่างหนักจนกำแพงเมืองเกิดเป็นช่อง ทำให้กองทัพเป่ยฉีจวนจะเข้าเมืองได้ แต่ปรากฏว่าเกาเหว่ยสั่งให้หยุดการโจมตีเพราะต้องการให้สนมเฝิงเสี่ยวเหลียนได้เห็นกองทัพของตนยกเข้าเมืองด้วยชัยชนะ ซึ่งกว่าสนมผู้นี้จะเดินทางมาก็ใช้เวลาไปหลายวัน ทำให้กองทัพเป่ยโจวเร่งอุดจุดที่เสียหาย พอกองทัพเป่ยฉีเข้าตีอีกก็ปรากฏว่าตีอย่างไรก็ตีไม่แตกแล้ว

ฝ่ายโจวหวู่ตี้ที่เสด็จถอยไปปรับกระบวนทัพนั้น พระองค์ทรงเห็นเป็นโอกาสที่จะตีกระหนาบกองทัพเป่ยฉีที่กำลังสาละวนตีเมืองผิงหยาง โจวหวู่ตี้จึงเสด็จนำกองทัพหลวงมาด้วยพระองค์เองเพี่อทำศึกชี้ขาดกับเกาเหว่ย

ในค่ายเป่ยฉีนั้นแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกนำโดยเกาอาน่ากง เสนอให้ถอยทัพเพราะกองทัพหลวงของเป่ยโจวที่ยังสดได้เข้ามาใกล้แล้ว แถมกองทัพเป่ยฉียังต้องเผชิญศึกหน้าหลัง ส่วนพวกขันทีนั้นเสนอให้เข้าปะทะกับกองทัพเป่ยโจวโดยตรง

เกาอาน่ากงนั้นแม้ว่าจะไม่ค่อยมีความสามารถและโกงกิน แต่เขาก็เคยเป็นทหารมาก่อน ซึ่งการวินิจฉัยในครั้งนี้ของเขาก็ถูกต้อง แต่เกาเหว่ยกลับไม่เชื่อถือและสั่งให้กองทัพเข้าทำศึกใหญ่กับเป่ยโจว

ระหว่างการรบนั้นเอง กองทัพเป่ยโจวและเป่ยฉีเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด ปรากฏว่าปีกด้านหนึ่งของเป่ยฉีถูกผลักดันอย่างหนักจนต้องถอยกลับมา แต่แกนกลางของเป่ยฉียังไม่ได้รับความเสียหาย ทว่าสนมเฝิงเสี่ยวเหลียนกับมู่ถีโผกลับตื่นตระหนก และทูลให้เกาเหว่ยถอยทัพ พอคนใกล้ตัวตกใจ เกาเหว่ยก็ตกใจไปด้วย และสั่งให้กองทัพทั้งหมดถอนกำลังระหว่างที่สู้รบติดพันกันอยู่ กองทัพเป่ยโจวจึงเข้าตีกระหน่ำจนกองทัพเป่ยฉีแตกกระจัดกระจาย กำลังทหารที่มีฝีมือที่สุดในอาณาจักรจึงถูกทำลายสิ้น

หลบหนี

เกาเหว่ยหนีไปที่เมืองจิ้นหยาง เมืองใหญ่ที่มีสถานะเป็นเมืองหลวงที่สองของอาณาจักรรองจากเย่เฉิง ซึ่งจิ้นหยางนั้นเป็นป้อมปราการที่แข็งแกร่ง และถ้าตั้งรับดีๆ กองทัพเป่ยโจวตีไม่ได้ก็อาจจะถอยไปเอง แต่เกาเหว่ยกลับหวาดกลัวขึ้นมาเสียอย่างนั้น ตัวเขาตั้งใจว่าจะหนีไปพึ่งพวกทูเจี๋ยทั้งๆ ที่ทั้งจิ้นหยางและเย่เฉิงยังไม่ได้ถูกคุกคามต่อศัตรู แม้ว่าจะได้รับการทัดทานอย่างหนักจากขุนนางและเชื้อพระวงศ์ที่เห็นว่าเป่ยฉียังต่อสู้ได้อยู่ แต่เกาเหว่ยก็ไม่สนใจ เขาหนีกลับไปยังเย่เฉิงเพื่อเตรียมจะหนีกองทัพเป่ยโจวต่อไปอีก

เมื่อกองทัพเป่ยโจวมาถึงจิ้นหยางนั้น ปรากฏว่าทหารเป่ยฉีที่จิ้นหยางต่อสู้อย่างแข็งแกร่ง จนโจวหวู่ตี้เกือบจะสวรรคตในที่รบ และทหารเป่ยโจวก็ล้มตายมากมาย แต่ด้วยความที่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ทำให้ท้ายที่สุดเมืองจิ้นหยางก็แตก ซึ่งถ้าเกาเหว่ยยืนหยัดต่อสู้ไม่หลบหนี และเรียกกองทัพสนับสนุนเข้ามาช่วย เมืองก็อาจจะยังไม่แตกก็ได้

หลังจากที่จิ้นหยางแตก มู่ถีโผเกิดกลัวตายขึ้นมา เขาจึงแอบหนีไปยอมจำนนต่อเป่ยโจวเสียดื้อๆ ส่วนหลู่หลิ่งซวนผู้เป็นมารดาก็ปลิดชีพตนเอง ส่วนเกาเหว่ยที่หนีกลับไปเย่เฉิง เมืองหลวงของเป่ยฉีนั้นก็พยายามหาชายฉกรรจ์มาเป็นทหารในกองทัพ แต่เขาไม่อยากจะเจียดเงินส่วนตัวของตนเอง แถมยังพูดจาไม่ดีต่อพวกแม่ทัพที่ต่อสู้เพื่อตระกูลเกา ท้ายที่สุดทหารก็หาไม่ได้ แถมพวกแม่ทัพก็ไม่มีใครอยากจะสู้รบ

ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังอย่างที่สุด เกาเหว่ยจึงหันไปหาพวกพ่อมดหมอผี พวกเขาทูลให้เกาเหว่ยปัดเคราะห์ร้ายด้วยการสละบัลลังก์ให้กับเกาเหิง บุตรชายวัย 7 ขวบ ซึ่งเกาเหว่ยก็ทำตามนั้น เกาเหิง บุตรชายจึงได้เป็นฮ่องเต้ ซึ่งจะเป็นคนสุดท้ายของเป่ยฉี

กลางปี ค.ศ.577 กองทัพเป่ยโจวยกเข้ามาใกล้เมืองเย่เฉิง เกาเหว่ยไม่มีทางออกจึงตัดสินใจหลบหนีไปจี้โจว เพื่อต่อสู้กับเป่ยโจวต่อไป หลังจากที่เกาเหว่ยหลบหนีไปได้ไม่นาน เย่เฉิงก็เสียให้กับเป่ยฉี ทำให้ในทางปฏิบัตินั้นเป่ยฉีสิ้นชาติไปแล้วเรียบร้อย

หลังจากนั้นเกาเหว่ยก็พยายามหลบหนีต่อไปพร้อมกับสนมเฝิงเสี่ยวเหลียน แต่เกาอาน่ากง คนสนิทของเกาเหว่ยที่แอบติดต่อกับเป่ยโจววางแผนจะเอาตัวรอดด้วยการส่งมอบเกาเหว่ยให้กับเป่ยโจว เพื่อที่ตนเองจะได้รับการไว้ชีวิต เกาอาน่ากงจึงแจ้งข้อมูลผิดๆ ให้กับเกาเหว่ย ทำให้แผนการที่เกาเหว่ยจะหนีลงใต้ไปยอมจำนนต่อราชวงศ์เฉินนั้นพังทลาย ท้ายที่สุดเกาเหว่ยพร้อมด้วยคนสนิทและเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดก็ถูกจับกุมที่เมืองชิงโจว และทั้งหมดก็ถูกนำตัวไปยังฉางอาน เมืองหลวงของเป่ยโจว

เชื้อพระวงศ์เป่ยฉีคนอื่นๆ พยายามต่อต้านกองทัพเป่ยโจว แต่เมื่ออำนาจรัฐจบสิ้นไปแล้วทำให้ปราศจากกำลังสนับสนุน เมืองของเป่ยฉีที่เหลืออยู่ก็เสียให้กับเป่ยโจว ทำให้เป่ยโจวและเป่ยฉีรวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งหนึ่งภายใต้กำมือของตระกูลอวี่เหวิน แทนที่จะเป็นตระกูลเกาตามเจตนารมณ์ของเกาฮวน

วาระสุดท้ายของตระกูลเกา

โจวหวู่ตี้แต่งตั้งให้เกาเหว่ยเป็นเหวินโหว และให้เกียรติเกาเหว่ยและเชื่อพระวงศ์เป่ยฉีอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ในพระทัยไม่คิดเช่นนั้น เพราะพระองค์ดำริว่าตระกูลเกาน่าจะสร้างปัญหาในไม่ช้า หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน โจวหวู่ตี้ทรงอ้างว่าเกาเหว่ยคบคิดกับมู่ถีโผจะเป็นกบฏ ดังนั้นพระองค์จึงบีบบังคับเกาเหว่ยและคนในตระกูลเกาเกือบทั้งหมดให้ปลิดชีพตนเอง (ยกเว้นน้องชายสองคนของเกาเหว่ยที่พิการที่ถูกเนรเทศไปยังเสฉวน)

วาระสุดท้ายของตระกูลเกาที่เคยยิ่งใหญ่จึงจบลงด้วยประการฉะนี้ ร่างของตระกูลเกานั้นไม่รับการทำพิธีศพและทำการฝังอย่างถูกต้องตามประเพณี จนกระทั่งในอีกสามปีต่อมาที่หยางเจียนกุมอำนาจเหนือราชสำนักเป่ยโจว เกาเหว่ย เกาเหิง และสมาชิกตระกูลเกาคนอื่นๆ ถึงได้รับการจัดงานศพอย่างสมเกียรติ

เชื้อพระวงศ์หญิงคนอื่นๆ ที่แต่งงานเข้าตระกูลเกานั้นได้ถูกแต่งให้กับขุนนางเป่ยโจว และใช้ชีวิตอยู่ดีมีสุขในสมัยราชวงศ์สุยจนกระทั่งล่วงลับไปโดยที่ไม่ได้ต้องอาญาแต่อย่างใด

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!