ลั่วหยาง (Luoyang, 洛阳) เป็นเมืองสำคัญในมณฑลเหอหนาน ซึ่งคนไทยที่เคยอ่านนิยายสามก๊กน่าจะรู้จักกันดีในนามเมือง “ลกเอี๋ยง” เมืองหลวงของราชวงศ์ฮั่นตะวันออก และราชวงศ์เฉาเว่ยที่โจผี บุตรชายของโจโฉก่อตั้งขึ้นมานั่นเอง
แม้ว่าในปัจจุบันลั่วหยางจะไม่ได้มีความสำคัญใกล้เคียงกับในอดีต แม้กระทั่งเมืองหลวงของมณฑลก็ไม่ได้เป็น แต่ภายในเมืองก็ยังหลงเหลือร่องรอยของความยิ่งใหญ่อยู่
ในโพสนี้เราจะไปดูกันครับว่าลั่วหยางมีสถานที่ท่องเที่ยวไหนบ้างที่น่าสนใจ แต่ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักเมืองลั่วหยางโดยคร่าวๆ ก่อนครับ
แนะนำลั่วหยาง (Luoyang)
ลั่วหยาง (Luoyang) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ในมณฑลเหอหนาน และอยู่ในบริเวณตอนกลางของประเทศจีน ชัยภูมิของลั่วหยางถือว่าดีเยี่ยม เพราะว่าตั้งอยู่ระหว่างแม่น้ำลั่วและแม่น้ำอี้ ทำให้พื้นที่บริเวณนี้อุดมสมบูรณ์ การค้าขายแถบนี้จึงรุ่งเรืองมาตั้งแต่ครั้งอดีตกาลแล้ว
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่พื้นที่เมืองลั่วหยางจะเป็นเมืองหลวงมาตั้งแต่อดีตกาล ตำนานเล่าว่าราชวงศ์เซี่ย ราชวงศ์แรกของจีนตั้งเมืองหลวงอยู่ที่เมืองเจินซวิน นักประวัติศาสตร์บางส่วนสันนิษฐานว่าเจินซวินคือแหล่งโบราณคดีเอ้อหลี่โถวที่เพิ่งถูกค้นพบใกล้กับเมืองลั่วหยาง แต่ในปัจจุบันเรายังไม่ได้ข้อสรุปในเรื่องดังกล่าว
ความสำคัญของลั่วหยางเริ่มปรากฏชัดในหน้าประวัติศาสตร์จีนเมื่อโจวกง (จีตั้น) ผู้สำเร็จราชการคนสำคัญในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตกได้มีคำสั่งให้สร้างเมืองลั่วหยาง สถานะของลั่วหยางจึงใกล้เคียงกับคำว่าเมืองหลวงแห่งที่สองของอาณาจักร ทั้งนี้ในช่วงเวลานั้นชาวจีนเรียกเมืองลั่วหยางว่า “ลั่วอี้”
ในช่วงปี 771 BC (ก่อนคริสตกาล 771 ปี) พวกอนารยชนเผ่าเฉียนหรงตีเมืองหลวงเฮ่าจิง (ใกล้กับซีอานในปัจจุบัน) แตก โจวผิงหวาง กษัตริย์ราชวงศ์โจวเห็นว่าเมืองหลวงเดิมทรุดโทรมมากไม่สามารถตั้งอยู่ได้ พระองค์จึงเสด็จมาตั้งเมืองหลวงใหม่ที่ลั่วอี้ และสถาปนาราชวงศ์โจวตะวันออกขึ้น
การที่เมืองหลวงย้ายมาตั้งที่ลั่วหยาง ทำให้ตัวเมืองเจริญขึ้นมาก แต่ราชสำนักกลับอ่อนแอลง เพราะสูญเสียที่มั่นอันอุดมสมบูรณ์ที่เขตซีอานเดิม เจ้าผู้ครองแคว้นทั้งหลายจึงไม่มีใครฟังคำสั่งของกษัตริย์ราชวงศ์โจวอีกต่อไป พวกเขาต่างสู้รบกันเองเป็นเวลานานหลายร้อยปี จนกระทั่งแคว้นฉินที่เข้มแข็งสามารถมีชัยเหนือแคว้นอื่นทั้งหมด รวมไปถึงแคว้นของกษัตริย์โจวด้วย
สถานะเมืองหลวงของลั่วหยางจึงสิ้นสุดลงตั้งแต่บัดนั้น แต่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ลั่วหยางกลับมาเป็นเมืองหลวงอีกครั้งหนึ่ง มีการก่อสร้างพระราชวังอันยิ่งใหญ่มากมาย รวมไปถึงวัดวาอารามต่างๆ ด้วย เพราะในช่วงนี้ศาสนาพุทธเริ่มแพร่หลายเข้ามาสู่ประเทศจีน
ในปี ค.ศ.190 ตั๋งโต๊ะ (ต่งจัว) ได้สั่งให้ปล้นสะดมเมืองลั่วหยางระหว่างที่ถอยหนีกองทัพพันธมิตรที่มาขับไล่ตน การทำลายครั้งนั้นทำให้ลั่วหยางเสียหายยับเยิน และกลายเป็นเมืองร้าง จนกระทั่งในปี ค.ศ.220 โจผีที่ชิงราชสมบัติพระเจ้าเหี้ยนเต้ได้สำเร็จจึงสั่งให้ซ่อมแซมเมืองลั่วหยาง และย้ายเมืองหลวงกลับมาตั้งที่นี่ ราชวงศ์จิ้นของสุมาเอี๋ยนที่มาแทนที่ราชวงศ์เว่ยได้ตั้งเมืองหลวงที่ลั่วหยางสืบต่อมา
ต่อมาภายใต้ความวุ่นวายของยุคเหนือใต้ ลั่วหยางถูกทำลายอย่างยับเยินโดยกองทัพซงหนู และกองทัพอื่นกองแล้วกองเล่า ลั่วหยางต้องรอจนถึงสมัยราชวงศ์ถังถึงกลับมารุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง จักรพรรดิราชวงศ์ถังได้สร้างลั่วหยางเป็นเมืองหลวงที่สอง ในช่วงนี้ลั่วหยางมีพลเมืองถึงหนึ่งล้านคน
แต่แล้วลั่วหยางกลับถูกทำลายอีก เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าลั่วหยางเป็นเมืองที่อาภัพ เพราะถูกปล้นสะดมและทำลายอย่างไม่หยุดหย่อน ลั่วหยางถูกทำลายจนเกือบราบเป็นหน้ากลองในช่วงที่มีการกบฏอันลู่ซานในสมัยราชวงศ์ถัง ตามมาด้วยสมัยราชวงศ์หยวน และหมิง
การทำลายในสมัยปลายราชวงศ์หมิงทำให้อดีตเมืองที่ยิ่งใหญ่เหลือประชากรไม่ถึง 100,000 คนเท่านั้น และไม่เคยรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ในอดีตกลับมาได้อีกเลย
ในสมัยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ จีนได้พัฒนาลั่วหยางให้เป็นเมืองอุตสาหกรรมหนัก แรงงานจำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้ามาทำงานที่นี่ ปัจจุบันลั่วหยางจึงเป็นเมืองที่มีประชากรในเขตเมืองประมาณสองล้านคน ซึ่งถือว่าน้อยถ้าเทียบกับเมืองอื่นๆ ของจีน
แม้ว่าจะถูกทำลายหลายต่อหลายครั้ง แต่สิ่งก่อสร้างสวยๆ หลายแห่งอันยิ่งใหญ่รอดพ้นการทำลายมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ เราไปดูกันดีกว่าครับว่า เมืองลั่วหยางเหลือที่ไหนให้ไปเที่ยวบ้าง
1. Longmen Grottoes
Longmen Grottoes หรือถ้ำหลงเหมินเป็นปูชนียสถานในศาสนาพุทธขนาดยักษ์ที่ถูกแกะสลักเข้าไปในภูเขา ภายในตัวภูเขามีพระพุทธรูปและรูปปั้นพระโพธิสัตว์มากมายนับแสนองค์ ขนาดของพระพุทธรูปมีตั้งแต่สูง 25 มิลลิเมตรไปจนถึง 17 เมตรเลยครับ ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นมรดกโลกและเป็นที่เที่ยวที่คุณห้ามพลาดเมื่อเดินทางมายังลั่วหยาง
ผมมองว่าถ้าการมาชมที่นี่เพียงแห่งเดียวก็คุ้มแล้วสำหรับการนั่งรถไฟความเร็วสูงจากซีอานมาลั่วหยางครับ
ถ้ำแห่งนี้มีอายุนานกว่า 1,500 ปีแล้ว ตัวถ้ำเริ่มก่อสร้างในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือ (เป่ยเว่ย) และได้รับการสร้างต่อเติมอย่างมากในสมัยราชวงศ์ถัง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลพระนางบูเช็คเทียน ในปัจจุบันส่วนใหญ่ของตัวถ้ำที่คุณเห็นก็สร้างในสมัยถังครับ
นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าใบหน้าของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ (ในรูปด้านบน) ได้ถูกแกะสลักตามใบหน้าของพระนางบูเช็คเทียนอีกด้วย เนื่องจากพระนางเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญในการก่อสร้างถ้ำแห่งนี้
ถ้าคุณมาชมในช่วงเย็นหรือค่ำจะมีการเปิดสปอตไลท์ฉายที่องค์พระพุทธรูปด้วยนะครับ ซึ่งมีความงดงามมากเลยทีเดียว
2. Baima Temple
Baima Temple หรือ White Horse Temple (วัดม้าขาว, ไป๋หม่าซื่อ) เป็นวัดในพระพุทธศาสนาแห่งแรกที่สร้างขึ้นในจีน โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.68 ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก
สาเหตุที่วัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าวัดม้าขาวเพราะพระสงฆ์อินเดียที่ฮ่องเต้เชิญมาที่จีนได้เดินทางมาพร้อมกับพระสูตรบนหลังม้าสีขาว ฮ่องเต้จึงตั้งชื่อวัดแห่งนี้ว่าวัดม้าขาวครับ บริเวณหน้าวัดจะมีรูปปั้นม้าสีขาวซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของวัดตั้งอยู่
ปัจจุบันวัดม้าขาวยังมีอาคารเก่าแก่ที่มีพระพุทธรูปที่สวยงามตั้งอยู่ รวมไปถึงเจดีย์ใหญ่ตรงกลางวัดด้วย แต่สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ล้วนแต่สร้างในยุคหลังทั้งสิ้น และสร้างขึ้นตามศิลปะในยุคหลัง (หมิง-ชิง) ไม่ใช่ตามแบบสิ่งก่อสร้างดั้งเดิมในสมัยฮั่นที่ถูกทำลายไปแล้วครับ
3. Guanlin Temple
Guanlin Temple หรือวัดกวนหลินเป็นวัดที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1596 หรือในสมัยราชวงศ์หมิง ตำนานเล่าว่าวัดแห่งนี้สร้างขึ้นบนจุดที่ศีรษะของกวนอูถูกฝังไว้หลังจากที่ซุนกวนส่งไปให้โจโฉ วัดแห่งนี้จึงเป็นวัดที่อุทิศให้กับกวนอู คุณจะได้เห็นรูปปั้นของกวนอูอยู่ตรงกลางวัด รวมไปถึงกวนเป๋ง บุตรเลี้ยงของกวนอู และจิวฉอง ทหารคนสนิทครับ
ดังนั้นใครที่ชอบสามก๊ก โดยเฉพาะจ๊กก๊ก อย่าพลาดที่จะมาเยือนที่นี่ครับ เพราะบรรยากาศไม่ต่างจากศาลเจ้าสามก๊กที่เฉิงตูเลย
4. Luoyang Museum
เนื่องจากลั่วหยางเป็นหนึ่งในเมืองที่ร่ำรวยประวัติศาสตร์ การเดินทางมาชมพิพิธภัณฑ์ที่นี่จึงน่าสนใจอย่างมาก พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เก็บรักษาโบราณวัตถุเก่าแก่มากมาย และล้วนแต่มีอายุมากกว่าหนึ่งพันปีทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตราทองคำ เครื่องปั้นดินเผา รูปปั้น และของใช้ที่สวยงามล้ำค่าอีกจำนวนมากครับ
5. Museum of Luoyang Eastern Zhou Royal Horse and Chariot Pits
Museum of Luoyang Eastern Zhou Royal Horse and Chariot Pits เป็นพิพิธภัณฑ์ที่พิเศษมากๆ เพราะว่าสร้างครอบแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน นั่นคืออดีตเมืองลั่วอี้ เมืองหลวงของจีนในยุคราชวงศ์โจวตะวันออก (ชุนชิวจ้านกว๋อ) นั่นเองครับ
ไฮไลท์ของที่นี่คือ แอ่งที่มีการพบซากรถศึกและโครงกระดูกของม้าที่ถูกบูชายัญเป็นจำนวนมาก สิ่งเหล่านี้แสดงถึงความเชื่อโบราณของจีน และยังเป็นโบราณวัตถุขนาดใหญ่ที่มีอายุเกือบสามพันปี ซึ่งยากที่จะหาโบราณวัตถุใดในประเทศจีนมาเทียบได้ครับ
นอกจากนี้คุณยังจะได้เห็นข้าวของอื่นๆ ที่ถูกค้นพบที่นี่อีกด้วย ซึ่งมีอายุเก่าแก่ไม่แพ้เหล่ารถศึกเลยครับ
6. Luoyang Ancient Art Museum
Luoyang Ancient Art Museum เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ตั้งอยู่บนดินและใต้ดิน บริเวณบนดินไม่มีอะไรมากนัก นอกจากประตูและอาคารแบบราชวงศ์ฮั่นไม่กี่หลัง ไฮไลท์ของที่นี่คือใต้ดินครับ
บริเวณใต้ดินของพิพิธภัณฑ์คือสุสานเก่าแก่ในสมัยราชวงศ์โบราณต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นราชวงศ์ฮั่น จิ้น เว่ยเหนือ ถัง ซ่ง และจิน ภายในสุสานใต้ดินมีการตบแต่งผนังและกำแพงอย่างสวยงามมาก ซึ่งถือว่าเป็นทั้งผลงานชิ้นเอกทางด้านศิลปะ และหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ที่แสดงให้เห็นว่าคนในสมัยนั้นใช้ชีวิตอย่างไรด้วยครับ
7. สถานที่เที่ยวอื่นๆ
ลั่วหยางยังมีสถานที่เที่ยวอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกหลายแห่งด้วยกัน อาทิเช่น
- China National Flower Garden – หนึ่งในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มีดอกไม้ให้ชมถึง 500,000 ดอกเลยทีเดียว
- Wangcheng Park – สวนสาธารณะที่เคยเป็นที่ตั้งของเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์โจว
ไปเที่ยวลั่วหยางอย่างไรดี
แม้ว่าจะมีการคมนาคมที่ไม่ได้สะดวกเหมือนกับซีอาน แต่คุณสามารถเที่ยวลั่วหยางด้วยตนเองได้ไม่ยาก โดยการใช้แท็กซี่หรือรถบัสในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ครับ
ผมแนะนำว่าให้คุณไปเที่ยวลั่วหยางในทริปเดียวกับที่ไปซีอาน เนื่องจากเมืองทั้งสองอยู่ไม่ไกลจากกันนัก และสามารถเดินทางไปมาได้อย่างไม่ยากโดยใช้รถไฟความเร็วสูง ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆ เท่านั้นเองครับ
[sc name=”travelthai” ][/sc]