ในตอนที่แล้ว หลิวยี่ว์ หรือซ่งหวู่ตี้ ได้ขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หลิวซ่ง (Liu Song Dynasty) และครอบครองดินแดนทั้งหมดทางภาคใต้ สถานะของราชวงศ์จัดว่ามั่นคง เพราะหลิวยี่ว์มีบารมี และประสบความสำเร็จในการทำศึกมาอย่างมากมาย
ช่วงต้นรัชกาลจึงไม่มีเหตุการณ์สำคัญใดๆ นอกจากแต่งตั้งญาติวงศ์ของตนเองขึ้นเป็นเชื้อพระวงศ์ (รวมไปถึงมารตาเลี้ยงที่ได้เลี้ยงดูหลิวยี่ว์มาเป็นอย่างดี) และถอนรากถอนโคนราชวงศ์จิ้นให้สิ้นซากไปเท่านั้น
การถอนรากถอนโคนราชวงศ์จิ้น
แม้ว่าราชวงศ์จิ้นจะล่มสลายไปแล้ว แต่ซ่งหวู่ตี้ยังเกรงว่าซือหม่าเต๋อเหวิน (หรือจิ้นกงตี้) อาจจะก่อรัฐประหารแย่งบัลลังก์กลับไปอยู่เนืองๆ ดังนั้นเพื่อกำจัดความเสี่ยงนี้ทิ้งเสีย การปลงพระชนม์ซือหม่าเต๋อเหวินอย่างลับๆ จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด
ซ่งหวู่ตี้จึงสั่งให้ข้าเก่าของซือหม่าเต๋อเหวินเป็นผู้ลงมือ แต่ไม่มีอยากได้ชื่อว่าปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครให้ความร่วมมือเท่าไรนัก ข้าเก่าคนหนึ่งที่ได้รับคำสั่งถึงกับฆ่าตัวตายเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงการมีส่วนเกี่ยวข้อง
ด้วยความที่ยังสังหารซือหม่าเต๋อเหวินไม่ได้ ซ่งหวู่ตี้จึงสั่งให้พี่ชายสองคนของฉู่หลิงหยวน ภรรยาเอกของซือหม่าเต๋อเหวินคอยวางยาพิษลอบสังหารทารกชายทุกคนที่น้องสาวแท้ๆ ของตนเอง รวมไปถึงสนมคนอื่นๆ ของซือหม่าเต๋อเหวินให้กำเนิด เพื่อเป็นการรับประกันว่าตระกูลซือหม่าจะไม่มีทายาทสายตรงที่มีสิทธิ์ครองบัลลังก์ต่อไปอีก
นี่เป็นความเหี้ยมโหดของซ่งหวู่ตี้ ซึ่งก่อนหน้านี้เขาไม่ได้แสดงออกมาเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าเพื่ออำนาจและความมั่นคงของตัวเองแล้ว เขาสามารถทำได้ทุกสิ่งเช่นเดียวกัน
สำหรับซือหม่าเต๋อเหวินแล้วนั้น เขามองขาดว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับตนเอง ตัวอย่างในประวัติศาสตร์นั้นก็ปรากฏให้เห็นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วว่าฮ่องเต้ที่เสียบัลลังก์จะประสบกับเคราะห์กรรมเช่นไร เพราะฉะนั้นเขาจึงระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า ตัวเขาและฉู่หลิงหยวนนั้นปฏิเสธให้คนรับใช้ทำอาหารให้ และลงมือทำอาหารด้วยตนเอง นอกจากนี้ฉู่หลิงหยวนยังเลือกซื้อวัตถุดิบด้วยตัวเองอีกด้วย
ด้วยการป้องกันเช่นนี้ ทำให้เป็นเรื่องยากมากสำหรับมือสังหารที่จะวางยาพิษสังหารซือหม่าเต๋อเหวิน เพราะหาโอกาสลงมือไม่ได้เลย
แต่เรื่องแค่นี้ไม่อาจหยุดความต้องการของซ่งหวู่ตี้ได้ ซ่งหวู่ตี้จึงสั่งให้พี่ชายสองคนของฉู่หลิงหยวนแสร้งทำไปเยี่ยมน้องสาว และหาทางพาน้องส่าวไปอีกอาคารหนึ่งของวัง และทิ้งให้ซือหม่าเต๋อเหวินอยู่แต่เพียงผู้เดียว
ในช่วงเวลาสั้นๆ นั้นเอง กลุ่มมือสังหารก็ถูกส่งเข้าไป และบีบบังคับให้ซือหม่าเต๋อเหวินดื่มยาพิษ แต่ซือหม่าเต๋อเหวินปฏิเสธ โดยอ้างว่าตนเองนับถือพุทธอย่างเคร่งครัด ถ้าตนเองเลือกฆ๋าตัวตาย ชาติหน้าจะตกนรก พวกมือสังหารจึงต้องลงมือซือหม่าเต๋อเหวินเองด้วยการรัดคอ
การตายของซือหม่าเต๋อเหวินได้ทำให้ราชวงศ์จิ้นสิ้นสุดลงเป็นการถาวร และเป็นการปิดฉากบทบาททางการเมืองของตระกูลซือหม่าที่เริ่มต้นจากสุมาอี้ไปอย่างสมบูรณ์
ปัญหาเรื่องรัชทายาท
ในตอนที่ซ่งหวู่ตี้ได้บัลลังก์นั้น พระองค์ทรงมีอายุมากถึง 57 ปีแล้ว ซึ่งถือว่าชรามากในยุคนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องรัชทายาทจึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะต้องจัดการ
ซ่งหวู่ตี้ได้แต่งตั้งหลิวอี้ฝูเป็นรัชทายาท หลิวอี้ฝูผู้นี้เป็นโอรสที่เกิดจากพระสนม แต่เป็นโอรสคนแรกของหลิวยี่ว์ ดังนั้นเขาจึงรักโอรสคนนี้มากเป็นพิเศษ ก่อนที่ซ่งหวู่ตี้จะนั่งบัลลังก์ หลิวอี้ฝูเป็นหนึ่งในขุนพลในกองทัพ และมักจะได้รับมอบหมายให้อยู่รักษาเมืองหลวงเจี้ยนคัง แต่พฤติกรรมของหลิวอี้ฝูนั้นเป็นชายหนุ่มเจ้าสำราญ เขาไม่ค่อยจะสนใจการบ้านการเมืองเท่าไรนัก และใช้เวลาไปกับการแสวงหาความสุขไปวันๆ เท่านั้น
อีกหนึ่งตัวเลือกที่ซ่งหวู่ตี้มองไว้คือ หลิวอี้เจิน ซึ่งเป็นขุนพลในกองทัพเช่นเดียวกัน แต่ผลงานไม่ค่อยจะได้เรื่องเท่าไรนัก กล่าวคือเขาได้รับมอบหมายจากบิดาของเขาให้ป้องกันฉางอานไว้ให้ได้ หลังจากที่กองทัพส่วนใหญ่ถอยไป แต่หลิวอี้เจินกลับล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะเสียกองทัพทั้งหมดไปพร้อมกับเมืองฉางอานอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีโอรสอีกคนหนึ่งด้วย เขามีนามว่าหลิวอี้หลง ถ้าเทียบกับอีกสองคนแล้ว โอรสคนนี้ถือว่าดีที่สุด เพราะว่าขยันหมั่นเพียร เอางานเอาการ และยังเป็นปัญญาชนที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออีกด้วย
ดังนั้นถ้าเทียบกันตัวต่อตัวแล้ว หลิวอี้หลงมีภาษีดีที่สุด แต่เขากำพร้ามารดาตั้งแต่เด็ก (ซ่งหวู่ตี้ให้สังหารนางอย่างไม่ทราบสาเหตุ) ดังนั้นจึงไม่มีฐานกำลังฝ่ายแม่คอยดันและสนับสนุน แถมยังมีพี่ชายที่เป็นขุนพลอีกถึงสองคนอีกด้วย หลิวอี้หลงจึงไม่คิดเรื่องจะไปแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทเท่าไรนัก
ในช่วงปี ค.ศ.422 ซ่งหวู่ตี้เริ่มประชวรกระเสาะกระแสะ แต่กลับได้ทราบรายงานจากเซี่ยฮุ่ย ขุนนางคนสนิทว่าหลิวอี้ฝูนั้นไม่เคยเอาใจใส่การงานเลย แต่ใช้เวลาไปกับการเล่นสนุกกับกลุ่มเพื่อนที่เป็นอันธพาลไปวันๆ เท่านั้น ซ่งหวู่ตี้จึงให้หลิวอี้เจิน บุตรชายคนที่สองเข้ามาพบเพื่อทดสอบสติปัญญา และให้เซี่ยฮุ่ยคอยช่วยพระองค์ดูท่าทีของเขาด้วย
ปรากฏว่าหลิวอี้เจินนั้นไม่ได้ฉลาดอะไรมากกว่าหลิวอี้ฝู หรือแม้กระทั่งแย่กว่าเสียอีก ทำให้ซ่งหวู่ตี้จำต้องให้หลิวอี้ฝูเป็นรัชทายาทตามเดิม
เป็นเรื่องน่าแปลกที่ซ่งหวู่ตี้ไม่เคยพิจารณาหลิวอี้หลง สาเหตุน่าจะเป็นเพราะว่าเขาน่าจะยังเด็กเกินไป (หลิวอี้หลงอายุประมาณ 17 ปีในช่วงนั้น) หรือว่าอาจจะไม่ใช่บุตรที่เป็นที่โปรดปรานก็เป็นได้
ซ่งหวู่ตี้สวรรคต
ด้วยอายุ 59 พรรษา ซ่งหวู่ตี้ประชวรหนัก พระองค์จึงเรียกพวกขุนนางต่างๆ เข้ามาฝากฝังหลิวอี้ฝู พวกขุนนางเหล่านี้เป็นที่ปรึกษาของซ่งหวู่ตี้มาก่อนที่จะได้นั่งบัลลังก์ ดังนั้นความไว้ใจที่พระองค์มีต่อพวกเขาจึงมากเป็นพิเศษ ซ่งหวู่ตี้จึงหวังว่าพวกเขาจะได้เป็นกำลังช่วยเหลือเกื้อกูลรัชทายาทต่อไป แต่พระองค์ไม่ทราบเลย (หรืออาจจะทราบแต่ไม่แสดงออก) ว่าขุนนางเหล่านี้นั้นไม่มีใครยอมรับรัชทายาทที่พระองค์ทรงแต่งตั้งเลยสักคนเดียว
หลังจากฝากฝังเสร็จสิ้น ซ่งหวู่ตี้ก็สวรรคต เป็นอันจบสิ้นชีวิตของฮ่องเต้มากสติปัญญาผู้หนึ่งที่ใช้ความสามารถของตนเองขึ้นนั่งบัลลังก์มังกร แต่ราชวงศ์ที่พระองค์ทิ้งไว้นั้นเปราะบางอย่างยิ่ง และความวุ่นวายต่อไปจะสร้างความเดือดร้อนทั่วหล้าในไม่ช้า