ประวัติศาสตร์จีนจ้านกว๋อปฐมบท "ยุคจ้านกว๋อ" แคว้นจิ้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน

ปฐมบท “ยุคจ้านกว๋อ” แคว้นจิ้นถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน

ยุคจ้านกว๋อเป็นยุคสำคัญยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน ยุคนี้เป็นยุคที่มีการต่อสู้อย่างดุเดือดและรุนแรงระหว่างแคว้นทั้งเจ็ดในแผ่นดินจีน ถ้าพูดถึงความดุเดือดแล้ว อาจจะเรียกได้ว่าเข้มข้นยิ่งกว่าสามก๊กด้วยซ้ำไป ยุคนี้คือยุคก่อนการรวมแผ่นดินของจิ๋นซีฮ่องเต้ (ฉินสื่อหวงตี้) นั่นเอง

จุดเริ่มต้นของยุคจ้านกว๋อนี้ไม่ปรากฏชัดเจน แต่เหตุการณ์ที่มักถูกอ้างถึงบ่อยครั้งว่าเป็นจุดเริ่มต้นของยุคจ้านกว๋อคือ

การแบ่งแคว้นจิ้นออกเป็นสามส่วน

ชี้แจง: แคว้นจิ้นในที่นี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับ ราชวงศ์จิ้นที่รวบรวมยุคสามก๊กให้เป็นหนึ่งในสมัยของสุมาเอี๋ยน

วัด Yongzuo ในเมืองไท่หยวน By Roland Longbown, CC BY-SA 3.0,

การกลายสภาพของศักดินาแคว้นจิ้น

แคว้นจิ้นเป็นแคว้นสำคัญที่อยู่ทางตอนกลางของแผ่นดินจีน ในยุคชุนชิว เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นดำรงตำแหน่ง “ป้า” หรือ ประธานของเหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้อิทธิพลของแคว้นจิ้นในแผ่นดินจีนมีมากมาย

หากแต่ว่าในปลายยุคชุนชิว แคว้นจิ้นเริ่มหมดบทบาทในการควบคุมและดูแลเจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ สาเหตุสำคัญคือตัวเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นเองไม่สามารถควบคุมตระกูลขุนนางในแคว้นของตัวเองได้

ประเด็นนี้เป็นเรื่องซับซ้อน ผมขออธิบายเพิ่มเติมดังต่อไปนี้

ในสมัยราชวงศ์โจวตะวันตก (ก่อนยุคจ้านกว๋อหลายร้อยปี) กษัตริย์ราชวงศ์โจวแบ่งดินแดนในแผ่นดินจีนให้พวกเจ้าผู้ครองแคว้นไปปกครอง เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นเองก็เป็นหนึ่งในผู้ได้รับดินแดนดังกล่าว

สำหรับแคว้นทั่วไปนั้น เจ้าผู้ครองแคว้นจะคุมอำนาจเบ็ดเสร็จคล้ายกับระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ราชย์ แต่สำหรับแคว้นจิ้นนั้นไม่ใช่แบบนั้น

แคว้นจิ้นกลับมีลักษณะเป็นศักดินาซ้อนศักดินา เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นจะแบ่งดินแดนในแคว้นจิ้นกับขุนนางในแคว้นนำไปปกครองด้วยตนเองอีกทอดหนึ่ง

หรือเอาง่ายๆ มันเป็นแบบนี้ครับ

ราชวงศ์โจวมีขนมเค้กก้อนใหญ่มากก้อนหนึ่ง แต่กินไม่หมดและกลัวจะเน่าเสีย ราชวงศ์โจวจึงแบ่งให้ญาติและคนรู้จักหลายๆคนช่วยเก็บรักษาไว้  แคว้นจิ้นนี้ก็คือหนึ่งในคนที่ได้รับส่วนแบ่งเค้ก

แต่ทว่าแคว้นจิ้นกลับคิดว่า เค้กที่ตนเองได้รับมาก็ยังใหญ่ไปอยู่ดี แคว้นจิ้นแบ่งเค้กให้เหล่าขุนนางเป็นหลายๆส่วนช่วยกันรักษาไว้ในนามกว่าแคว้นจิ้นอีกทอดหนึ่ง

ดังนั้นมันจึงเป็นศักดินาซ้อนศักดินาแบบนี้เอง

หากแต่ว่าเมื่อผ่านไปหลายร้อยปี แคว้นจิ้นที่ได้รับแบ่งเค้กมาจึงคิดว่าดินแดน (เค้ก) ที่ได้รับมาเป็นของตัวเอง และไม่ได้คิดว่ารักษาไว้ในนามราชวงศ์โจวอีกต่อไป

นี่คือสภาพของประเทศจีนในยุคชุนชิวตอนต้น-กลาง

แต่ทว่าด้วยความที่เป็นศักดินาซ้อนศักดินา สิ่งเดียวกันกลับเกิดขึ้นภายในแคว้นจิ้น

เหล่าขุนนางที่ได้รับแบ่งเค้กจากแคว้นจิ้นก็เริ่มคิดว่าเค้กพวกนี้เป็นของตนเอง พวกเราไม่ได้รักษาไว้ในนามแคว้นจิ้นอีกต่อไป

นี่คือสถานการณ์ของแคว้นจิ้นในปลายยุคชุนชิว

นอกจากนี้พวกตระกูลขุนนางที่ได้ดินแดนเหล่านี้ก็ได้กลายสภาพด้วยเช่นกัน ตระกูลขุนนางเหล่านี้แปรเปลี่ยนจาก “ผู้ติดตาม” มาเป็น “เจ้านาย” เสียเอง

หลายท่านอาจจะงงเหมือนเดิม ผมขออธิบายให้ละเอียดขึ้นตามนี้ โดยขอใช้ตัวอย่างเป็นตระกูลจ้าว

ก่อนหน้านี้ตระกูลจ้าวเป็น “บ่าว” ที่ติดตาม “เจ้านายแคว้นจิ้น” แต่เมื่อเวลาผ่านไปอิทธิพลของตระกูลเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น ทำให้ตระกูลจ้าวเริ่มสร้างความเป็น “เจ้านาย” ของตัวเอง จนสุดท้ายกลายเป็น “เจ้านายตระกูลจ้าว” ที่มีบ่าวคอยมอบความจงรักภักดีให้

และเมื่ออยู่ในดินแดนของตัวเอง เจ้านายตระกูลจ้าวก็มีที่ปรึกษามากมายเหมือนกับเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นคนหนึ่งเสียแล้ว ทั้งๆ ที่ในทางทฤษฎีพวกเขายังเป็น “บ่าว” ภายใต้เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้น

ตระกูลขุนนางที่เรืองอำนาจในลักษณะนี้มีจำนวนหกตระกูลได้แก่ หาน เว่ย จ้าว จื้อ ฟ่าน และจงหาง ตระกูลทั้งหกมีความดีความชอบมาหลายยุคหลายสมัย ทำให้ได้รับมอบดินแดนเพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ จากเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้น

ในส่วนนี้ไม่ทราบว่าเหล่าเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นได้ตระหนักไว้หรือไม่ แต่การแจกดินแดนพวกขุนนางเหล่านี้เรื่อยๆ ทำให้ดินแดนของพวกขุนนางรวมกันแล้วมากกว่าดินแดนที่เจ้าผู้ครองแคว้นปกครองโดยตรง!

ดังนั้นเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นจึงไม่อาจทำอะไรกับพวกขุนนางได้ ซึ่งก็เหมือนกับราชวงศ์โจวไม่สามารถควบคุมพวกเจ้าผู้ครองแคว้นได้หลังจากแจกดินแดนให้แคว้นอย่างแคว้นฉิน แคว้นจิ้น แคว้นฉีไปแล้ว

แต่ที่เหมือนยิ่งกว่านั่นก็คือ เมื่อแจกดินแดนไปแล้ว พวกขุนนางเหล่านี้ก็ต้องการดินแดนมากขึ้น และเริ่มสู้รบฆ่าฟันกัน เหมือนกับที่พวกเจ้าผู้ครองแคว้นทำสงครามแย่งชิงดินแดนกันในยุคชุนชิว

นี่จึงเป็นผลของศักดินาซ้อนศักดินาที่เกิดกับแคว้นจิ้นในปลายยุคชุนชิว

จากหกเหลือสี่

หกตระกูลขุนนางนี้มีการจับมือเป็นพันธมิตรกันกวาดล้างอีกฝ่ายเป็นปกติ ตระกูลจ้าว หาน เว่ย จื้อ ได้ร่วมมือกันเป็นพันธมิตรต่อสู้กับตระกูลจงหาง และฟ่าน

ในสมัยจิ้นติ้งกง (511-475 BC) ความขัดแย้งดังกล่าวพุ่งถึงขีดสุด ทั้งสองฝ่ายนำกองทัพที่พวกตนมีอยู่เข้าปะทะกัน ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันนานถึงเจ็ดปี

สุดท้ายแล้วพวกสี่ตระกูลได้รับชัยชนะเด็ดขาด ตระกูลฟ่านและจงหางถูกกวาดล้างและไล่สังหาร ดินแดนของพวกสองตระกูลถูกตัดแบ่งระหว่างสี่ตระกูลที่ได้รับชัยชนะ ทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้นไปอีก

ระหว่างที่มีการต่อสู้กันนี้ เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นอย่างจิ้นติ้งกงได้แต่มองตาปริบๆ ไม่สามารถบังคับบัญชาอะไรได้เลย

สี่ตระกูลขุนนางนี้ก็ควบคุมแคว้นจิ้นอย่างเบ็ดเสร็จ แคว้นจิ้นก็อยู่อย่างเป็นสุขอีกนานเกือบร้อยปี จนกระทั่งมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งหนึ่ง

เหตุแห่งสงครามกลางเมือง

ในสมัยจิ้นชูกง ตระกูลจื้อเป็นตระกูลที่เข้มแข็งที่สุดในบรรดาตระกูลขุนนางของแคว้นจิ้นในขณะนั้น ตระกูลนี้มีพื้นที่ในปกครองมากที่สุด และมีกองทัพที่แข็งแกร่งด้วย พวกเขาอำนาจขนาดที่ยกทหารส่วนตัวไปบุกรุกแคว้นจงซานทางตอนเหนือได้สำเร็จ อำนาจของตระกูลจื้อไม่ต่างอะไรกับเจ้าผู้ครองแคว้นคนหนึ่ง

จิ้นชูกง เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นต้องการจะกำจัดพวกสี่ขุนนางในแคว้นของตนเอง จึงไปขอกำลังจากแคว้นฉีและแคว้นลู่มาช่วยเหลือ แต่ความลับกลับรั่วไหล ทำให้พวกสี่ตระกูลทราบความเสียก่อน

สี่มหาอำมาตย์จึงรวมตัวกัน โดยมีจื้อเหยา ประมุขแคว้นจื้อเป็นหัวหน้า พวกขุนนางนำทหารทั้งสี่ตระกูลบุกโจมตีวังหลวงของจิ้นชูกง ทำให้จิ้นชูกงต้องหนีตายไปแคว้นฉี

จื้อเหยาจึงสถาปนาจิ้นจิ้งกงเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นคนใหม่ ในใจของจื้อเหยาต้องการเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นเสียเอง แต่ไม่กล้าหยิบลูกเกาลัดในกองไฟ เพราะเกรงพวกสามอำมาตย์อยู่

ในบรรดาสามมหาอำมาตย์ที่เหลือ จื้อเหยาเกลียดชังตระกูลจ้าวมากที่สุด เพราะว่าจื้อเหยาเคยทะเลาะกับ จ้าวเซียงจื่อ หรือชื่อเดิม จ้าวอู๋ซีว์

เรื่องมีอยู่ว่า หลายปีก่อนจ้าวเซียงจื้อกับจื้อเหยาเคยไปตีแคว้นเจิ้งด้วยกัน ระหว่างอยู่ในกองทัพ จื้อเหยาพยายามจะเอาเหล้ากรอกปากจ้าวเซียงจื่อ แต่จ้าวเซียงจื่อไม่ดื่มเหล้า เลยพยายามบ่ายเบี่ยงอยู่

ด้วยความที่เป็นคนพาล และยังเมาเหล้าหนัก จื้อเหยาจึงนำจอกเหล้าขว้างใส่หน้าจ้าวเซียงจื้อเต็มแรง ทำให้ใบหน้าของจ้าวเซียงจื้อมีเลือดไหลนองเต็มหน้า

พวกทหารตระกูลจ้าวเห็นเข้าก็โกรธมาก ต่างคนคิดจะบุกโจมตีตระกูลจื้อเสียเลย แต่จ้าวเซียงจื่อได้กล่าวว่า

เรื่องอับอายของข้าวันนี้ มันเป็นเรื่องเล็กน้อย ข้าสามารถอดทนกับมันได้

เหล่าทหารจึงสงบลง

เมื่อทั้งสองกลับถึงแคว้นจิ้น จื้อเหยาโทษว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความผิดของจ้าวเซียงจื่อ เขาไปฟ้องบิดาของจ้าวเซียงจื่อ และต้องการให้ถอดจ้าวเซียงจื่อออกจากตำแหน่งในราชสำนักจิ้น แต่บิดาของจ้าวเซียงจื่อไม่ยอมทำตาม ตระกูลจื้อกับตระกูลจ้าวจึงบาดหมางกันตั้งแต่นั้นมา

ก่อนบิดาของจ้าวเซียงจื่อจะตาย เขาได้สั่งเสียเอาไว้ว่า ในบรรดาเมืองที่ตระกูลจ้าวมีอยู่นั้น มีแต่เมืองจิ้นหยางเท่านั้นที่สามารถไปหลบภัยได้ หลังจากนั้นจ้าวเซียงจื่อจึงขึ้นสืบต่อตำแหน่งประมุขของตระกูลต่อจากบิดา

ตระกูลจ้าวกับตระกูลจื้อจึงไม่ถูกกันอย่างมาก แต่เมื่อมีภัยร่วมกันจากจิ้นชูกง ทั้งสองเลยจับมือกันไปก่อน เมื่อภัยดังกล่าวจบไปแล้ว ก็ถึงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายจะคิดบัญชีกันเสียที

สำหรับจื้อเหยาแล้ว ตระกูลจ้าวเป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งต่อการขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นของตน ส่วนอีกตระกูลถึงแม้จะไม่ได้เกลียดชังกัน แต่ก็เป็นเสี้ยนหนามที่ต้องกำจัดไปอย่างไม่มีทางเลือก จื้อเหยาจึงปรึกษาสมาชิกครอบครัวว่าจะทำอย่างไรดี

จื้อกั้ว สมาชิกตระกูลจื้อคนหนึ่งจึงกล่าวว่า

สี่ตระกูลขุนนางอยู่ในสถานะที่คานอำนาจกัน ถ้าตระกูลใดเป็นผู้เริ่มหยิบลูกเกาลัดในกองเพลิง (ชิงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร)ก่อน อีกสามตระกูลก็จะต้องต่อต้าน ดังนั้นท่านหวังจะทำเช่นนั้น ก็ต้องหาทางบั่นทอนกำลังของทั้งสามตระกูลเสียก่อน”

จื้อเหยารู้สึกสนใจจึงถามขึ้นว่าจะทำอย่างไรดี

จื้อกั้วพูดต่อไปว่า

แคว้นเยว่เพิ่งจะปราบแคว้นอู๋ได้ และเจริญรุ่งเรือง แคว้นเราสูญเสียตำแหน่งประธานเจ้าผู้ครองแคว้นไปให้กับแคว้นเยว่ ขอให้นายท่านอ้างคำสั่งเจ้าผู้แคว้นจิ้น ยกทัพไปแย่งชิงความเป็นอธิราชกับแคว้นเยว่ แล้วจึงออกคำสั่งอีกฉบับหนึ่งให้พวกสามตระกูลถวายพื้นที่คืนเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้น คนละร้อยลี้ เพื่อเก็บภาษีเป็นทุนในการทำสงคราม ถ้าพวกมันยอมตัดดินแดนมาให้เรา เราก็ฮุบเอาดินแดนเหล่านั้นมาเป็นของเราเสียเลย ตระกูลเราก็จะเข้มแข็งยิ่งขึ้น ส่วนพวกสามตระกูลจะอ่อนแอลง ถ้าตระกูลใดไม่ทำตามคำสั่ง ก็ถือว่าเป็นกบฎ เราก็อ้างคำสั่งเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นให้ตระกูลอื่นร่วมกับตระกูลเรา ยกไปปราบตระกูลนั้น

จื้อเหยาเห็นเป็นแผนการที่ดีจึงเริ่มทำตามนั้น

ไม่กี่วันต่อมา หานคังจื่อ ประมุขตระกูลหาน ได้รับทราบข่าวจึงเริ่มประชุมญาติพี่น้องทันที

หานคังจื่อตวาดด้วยความโกรธว่า

จื้อเหยามักใหญ่ใฝ่สูง หวังจะบั่นทอนกำลังของสามตระกูล มันอ้างคำสั่งเจ้าผู้ครองแค้วนให้ข้ามอบดินแดนร้อยลี้กลับคืนเป็นของหลวง ข้าอยากจะยกทัพไปฆ่ามันเสียบัดนี้เลย พวกท่านจะเห็นว่าอย่างไร

ที่ปรึกษาคนหนึ่งพูดขึ้นว่า

ถ้าท่านประมุขนำกำลังตระกูลเราไปต่อสู้กับมัน ตระกูลเราจะเป็นกบฎเพราะต่อต้านคำสั่งเจ้านาย ท่านประมุขควรจะให้ดินแดนจื้อเหยาไปก่อน มันคงเหิมเกริมไปขอดินแดนตระกูลจ้าว ตระกูลเว่ย ถ้าตระกูลใดไม่ยอม ก็จะต้องต่อสู้กัน เราก็ดูเอาก่อนว่าใครแพ้ใครชนะ

หานคังจื่อเห็นชอบกับคำแนะนำ เขาสั่งให้ที่ปรึกษาไปบอกกับจื้อเหยาว่า ตนเองพร้อมจะคืนพื้นที่กลับเป็นของหลวง จื้อเหยาจึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับหานคังจื่อด้วยความยินดี แต่ภายในงานเลี้ยง จื้อเหยากลับดูถูกหานคังจื่อด้วยการล้อเลียนชื่อเดิมและล้อเลียนที่ปรึกษาที่มากับหานคังจื่อด้วยว่า ตัวเตี้ยแคระเกร็น

หานคังจื่อโกรธเคืองมาก แต่ก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ เขาเสแสร้งทำเป็นหัวเราะแล้วกลับบ้านไป

ที่ปรึกษาของจื้อเหยาเตือนเจ้านายว่าจื้อเหยาล้อเลียนตระกูลหานเช่นนี้ ขอให้ระวังภัยจากตระกูลนี้ให้ดี แต่จื้อเหยากลับปฏิเสธ เขากล่าวว่า

ข้ากำลังจะกำจัดพวกมันทั้งหมดในคราวเดียวนี่แหละ แล้วเหตุใดข้าจะต้องไปกลัวพวกแมลงมดปลวก ด้วยเล่า

ในวันรุ่งขึ้นจื้อเหยาจึงใช้ให้คนไปขอพื้นที่ตระกูลเว่ย

เมื่อทราบความ เว่ยหวนจื่อ ประมุขตระกูลเว่ยอยากจะบุกไปสังหารจื้อเหยาเช่นเดียวกัน แต่ที่ปรึกษาขอให้อดกลั้นไว้ก่อน เว่ยหวนจื่อจึงเก็บความแค้นแล้วยกดินแดนให้ไป

ต่อมาทูตของจื้อเหยาก็มาพบจ้าวเซียงจื่อ โจทก์เก่าของจื้อเหยา

จ้าวเซียงจื่อพออ่านจดหมายจบก็ตวาดว่า

ที่ดินผืนนี้ตกทอดมาตั้งแต่สมัย ทวดข้า ปู่ข้า พ่อข้า แล้วจะให้มันได้อย่างไร ตระกูลหาน ตระกูลเว่ย ยินยอมยกให้มัน แต่ตระกูลจ้าวเราตั้งแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่พวกประจบสอพลอจะทำเช่นนั้นได้ ถ้าอยากได้ที่ดินตระกูลจ้าว ก็ส่งกองทัพมาชิงเอาไปเถิด

เมื่อจื้อเหยาทราบว่า จ้าวเซียงจื่อไม่มอบดินแดนให้ก็โกรธ เขาส่งคนไปเรียกตระกูลเว่ย กับตระกูลหาน ให้ยกทัพมารวมตัวกับตระกูลจื้อ แล้วบุกไปยังบ้านตระกูลจ้าวทันที ตระกูลหานและเว่ยเกรงกลัวอำนาจของตระกูลจื้อจึงยินยอมทำตามคำสั่ง

จ้าวเซียงจื่อได้ยินว่ากองทัพตระกูลจื้อ หาน เว่ย ใกล้จะมาถึงวังของตนที่เมืองหลวงแคว้นจิ้น เขาจึงรีบหนีออกไปกับครอบครัวทันที

หนังสือจือจื่อถงเจี้ยนของซือหม่ากวงได้ให้ข้อมูลต่างออกไปเล็กน้อย หลังจากตระกูลจ้าวปฎิเสธว่าจะไม่ให้ดินแดน จ้าวเซียงจื่อได้ทราบข่าวว่า ตระกูลจื้อได้ส่งคนไปหาตระกูลหานและเว่ยถึงสามครั้ง แต่ไม่ส่งมาที่ตระกูลจ้าวเลยสักครั้งเดียว เขาจึงมองขาดว่า ตระกูลจื้อ หาน เว่ยกำลังมาโจมตีตระกูลจ้าว จ้าวเซียงจื่อจึงหลบหนีไปก่อนที่กองทัพทั้งสามจะมาถึงบ้านตระกูลจ้าวเสียอีก

จ้าวเซียงจื่อพอออกมานอกเมือง เขาถามที่ปรึกษาชื่อจางเมิ่งถานว่าเราจะไปเมืองใดกันดี

จางเมิ่งถานจึงทูลว่า

ขอให้ท่านประมุขไปเมืองจิ้นหยางเถิด ประมุขตระกูลจ้าวเราในสมัยก่อนๆ ล้วนได้สร้างสิ่งก่อสร้างไว้จำนวนมากเผื่อไว้ในเวลาที่ตระกูลจ้าวเรามีภัยคับขัน ราษฎรก็ได้รับการสงเคราะห์มาหลายสิบปีจากตระกูลเรา พวกเขาย่อมต้องสู้ตาย แล้วอีกประการหนึ่งท่านจำวาจาครั้งสุดท้ายของประมุขคนก่อน บิดาของท่านมิได้หรืออย่างไร ว่าถ้ามีภัยคับขันให้ไปอยู่เมืองจิ้นหยางต่อสู้กับศัตรู

ปัจจุบันเมืองจิ้นหยางคือ เมืองไท่หยวนนั่นเอง

จ้าวเซียงจื่อจึงรีบไปเมืองจิ้นหยาง เมื่อถึงเมืองราษฎรต่างพากันมาต้อนรับเข้าเมือง จ้าวเซียงจื่อเห็นราษฎรมากมายมาสนับสนุนตนเอง และกำแพงเมืองก็สูงใหญ่ เสบียงอาหารก็มีอยู่มากมาย เขาเริ่มรู้สึกคลายกังวล

ในวันรุ่งขึ้น จ้าวเซียงจื่อได้ไปตรวจดูว่าในเมืองมีอาวุธใดบ้าง ปรากฏว่าทวนที่มีอยู่ไม่คมเลย เกาทัณฑ์ก็มีไม่กี่ร้อยดอกเท่านั้น จ้าวเซียงจื่อถามจางเมิ่งถานว่าจะทำอย่างไร

จางเมิ่งถานจึงกล่าวว่า

ขอให้นายท่านโปรดวางใจ ในสมัยที่สร้างเมืองนี้นั้น ท่านต่งอันยีว์ ที่ปรึกษาของท่านจ้าวเจียนจื่อบิดาของท่าน ได้นำต้นอ้อ หญ้าแห้ง ต้นหนามที่ใช้สามารถทำลูกเกาทัณฑ์ได้มาใช้เป็นวัสดุก่อสร้างวัง บัดนี้สิ่งเหล่านี้เก็บไว้ที่ส่วนในของกำแพง ส่วนโลหะที่ใช้ทำอาวุธก็เช่นเดียวกัน เสาตามห้องโถงในวังนี้ล้วนใช้แต่ทองเหลืองบริสุทธิ์หล่อขึ้นมาทั้งสิ้น จึงใช้ตีเป็นอาวุธได้อย่างแน่นอน

จ้าวเซียงจื่อจึงให้พวกนายช่างไปทำตามนั้น ปรากฏว่าได้วัสดุที่ใช้ทำอาวุธได้อย่างที่จางเมิ่งถานบอกจริงๆ บรรดาคนงานจึงนำมาตีเป็นอาวุธเกาทัณฑ์ ทวน ดาบ ภายในห้าวัน อาวุธในเมืองพร้อมสรรพ กำแพงเมืองทุกส่วนถูกซ่อมเสร็จเรียบร้อย เมืองจิ้นหยางและกองทัพจ้าวพร้อมจะเข้าสู่สงครามแล้ว

ศึกจิ้นหยาง

เมื่อกองทัพตระกูลจื้อ หาน เว่ยมาถึงก็ล้อมเมืองจิ้นหยางไว้ แม้แต่มดสักตัวยังไม่สามารถออกมาจากเมืองได้ หลังจากนั้นก็เข้าตีเมืองจิ้นหยางราวกับบ้าคลั่ง ตามเพลิงแค้นของจื้อเหยา

ราษฎรเมืองจิ้นหยางต่อสู้อย่างสุดฝีมือ นอกจากชายฉกรรจ์แล้ว บรรดาหญิง เด็ก และชายชรา ต่างขึ้นบนเชิงเทินต่อสู้กับทหารตระกูลจื้อ หาน เว่ย จนทหารศัตรูไม่สามารถเข้ามาใกล้เมืองได้ เพราะถูกกระหน่ำด้วยเกาทัณฑ์ตายกลาดเกลื่อนอยู่หน้าเมือง

สามเดือนผ่านไป จื้อเหยาก็ยังเข้าเมืองจิ้นหยางไม่ได้เลยสั่งให้ล้อมเมืองเอาไว้ เพื่อรอให้เสบียงอาหารในเมืองหมดสิ้นแทน

เมืองจิ้นหยางช่างสมกับเป็นเมืองที่สร้างมาเพื่อความอยู่รอดของตระกูลจ้าว จื้อเหยาล้อมเมืองอยู่นานถึงหนึ่งปี ก็ยังมีเสบียงพอจะอยู่ได้ เหล่าราษฎรต่างอยู่ได้ด้วยความจงรักภักดี ทุกคนไม่บ่นเรื่องความยากลำบากเลย จ้าวเซียงจื่อลงมาดูแลชาวเมืองที่เจ็บป่วยด้วยตนเอง ทุกคนในเมืองทั้งทหารและพลเรือนต่างใกล้ชิดสนิทสนมกับตัวเขามาก และมีกำลังใจที่จะต่อสู้

ฝ่ายจื้อเหยานั่งรถเล็กวนอยู่รอบเมืองทุกวันเพื่อหาหนทางจะตีเมืองนี้ให้แตก จนกระทั่งวันหนึ่ง จื้อเหยาเห็นภูเขาที่มีลำธารไหลหลากลงมา แล้วอ้อมวนไปทางตัวเมือง เขาจึงคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้

จื้อเหยาสั่งให้รอฝนในฤดูใบไม้ผลิตกลงมา แล้วจึงสร้างทำนบเก็บกักน้ำเอาไว้ พร้อมกับขุดร่องน้ำใหม่ไปทางเมืองจิ้นหยาง จนน้ำในภูเขาเริ่มมากแล้ว เขาสั่งให้ทหารปิดกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปทางอื่น ยกเว้นแต่ทางเมืองจิ้นหยางทางเดียวเท่านั้น

คลื่นน้ำจำนวนมากจึงซัดไปที่เมืองจิ้นหยาง แต่กำแพงเมืองจิ้นหยางกลับทานกระแสน้ำได้อย่างไม่น่าเชื่อ และไม่ทลานลงมาอย่างที่จื้อเหยาคาดไว้

ในตัวเมืองจิ้นหยาง น้ำท่วมสูงถึงชั้นสามของบ้าน ราษฎรต่างต้องขึ้นไปอยู่อาศัยกันบนต้นไม้หรือไม่ก็ดาดฟ้า ต่างคนนำอาหารขึ้นไปทำกินกันบนนั้น ในหนังสือสื่อจี้ของซือหม่าเชียนใช้คำบรรยายว่า “ราษฎรเมืองจิ้นหยางอยู่ในสถานที่ราวกับว่าเป็นรังนก”

ถึงแม้จะได้รับความลำบากมากถึงขนาดนี้ บรรดาทหารและราษฎรในเมืองยังไม่ต่อสู้อย่างเข้มแข็ง จ้าวเซียงจื่อมีสถานที่ให้อยู่อย่างสุขสบาย แต่ก็ไม่กล้าอยู่ เขาลงมานั่งแพไม้ไผ่ตรวจตราดูทุกข์สุขของบรรดาพลเมือง

เวลาผ่านไปอีกสองปี เมืองจิ้นหยางก็ยังไม่แตก แต่ทว่า

ในเมืองเริ่มมีโรคระบาด และเสบียงอาหารที่กักตุนก็หมดลง เพราะในเมืองถูกล้อมมานานมากแล้ว เมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้ ทหารและราษฎรกลับยังไม่กังวลแม้พวกตนจะต้องกินศพของพวกที่ตายเพื่อประทังชีวิตก็ตาม คนที่กังวลกลับเป็นจ้าวเซียงจื่อเอง

จ้าวเซียงจื่อกล่าวกับจางเมิ่งถานว่า

ข้าเพิ่งรู้สึกในความดีความชอบของคนในตระกูลจ้าวเรารุ่นก่อนๆ ที่ทำให้ราษฎรยอมสู้เพื่อข้าได้ถึงขนาดนี้ แต่บัดนี้เราโดนล้อมมานานนัก เสบียงก็หมดสิ้นแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี

จางเมิ่งถานกล่าวว่า

ตระกูลหาน และ เว่ยนั้นยอมมอบดินแดนให้จื้อเหยา และนำทหารตามมาล้อมเรา ก็เพราะถูกจื้อเหยามันบังคับ ในคืนนี้ข้าขออาสาออกไปนอกเมืองไปเจรจากับ ประมุขตระกูลหาน และ เว่ย ให้แปรพักตร์มาเข้ากับฝ่ายเรา และยกไปร่วมโจมตีตระกูลจื้อแทน

จ้าวเซียงจื่อถามด้วยความสงสัยว่าจางเมิ่งถานจะออกไปได้อย่างไร น้ำก็สูงนัก แล้วก็ยังโดนล้อมอีกด้วย

จางเมิ่งถานกล่าวว่า

ขอนายท่านอย่าได้เป็นห่วงข้า ข้ามีวิธีของข้าแน่นอน ขอให้นายท่านเตรียมทหารและอาวุธต่างๆ ให้พร้อมเถิด ท่านจะได้ศีรษะไอ้จื้อเหยากันในคราวนี้แหละ

ในหนังสือของหานเฟยจื่อเล่าเหตุการณ์แตกต่างออกไปเล็กน้อย ในแง่ที่ว่าจ้าวเซียงจื่อคิดจะยอมจำนน เขาถามจางเมิ่งถานว่าศัตรูมีสามตระกูล ตระกูลจ้าวจะยอมจำนนต่อตระกูลใดดี จางเมิ่งถานตกใจที่จ้าวเซียงจื่อจะยอมจำนน จึงกล่าวว่าไม่ควรจะยอมจำนนแต่ให้ไปเจรจากับตระกูล หาน และ เว่ยแทน

คืนนั้น จางเมิ่งถานนำเสื้อผ้าของทหารตระกูลจื้อที่ตายบนกำแพงเมืองมาใส่ แล้วใช้เชือกโรยตัวออกไปนอกกำแพงเมืองทางทิศตะวันออก จางเมิ่งถานรอนแรมมายังค่ายตระกูลหานก่อน แล้วจึงกล่าวกับทหารรักษาการณ์ว่าจื้อเหยา มีแผนการสำคัญให้ข้ามารายงานด้วยตนเอง ขอให้เปิดทางให้

เมื่อได้พบกับ หานคังจื่อ จางเมิ่งถานจึงบอกว่าตัวเขาเป็นข้าราชบริพารตระกูลจ้าว แต่เสี่ยงตายหนีออกจากวงล้อมมาที่นี่ ขอให้ได้กล่าวกับหานคังจื่อสักหน่อยหนึ่ง

จางเมิ่งถานกล่าวว่า

ในสมัยก่อนนั้น หกมหาอำมาตย์ปรองดองกันปกครองแคว้นจิ้น แต่ตระกูลฟ่าน และจงหาง กดขี่ข่มเหงราษฎรจึงนำภัยมาสู่ตนเอง บัดนี้เหลือสี่มหาอำมาตย์ จื้อเหยาต้องการแย่งชิงดินแดนตระกูลเรา เจ้านายข้าเห็นว่าเป็นดินแดนที่ตกทอดมา จะมอบให้ได้อย่างไร ตระกูลจ้าวจึงโดนมันบุกมาโจมตีถึงที่นี่เพื่อจะทำลายล้างให้สูญสิ้น ข้าพเจ้าคิดว่าเมื่อตระกูลจ้าวสูญสิ้นไปแล้ว ตระกูลจื้อจะยิ่งแข็งกล้า มันย่อมแย่งชิงพื้นที่ของตระกูลหาน ตระกูลเว่ยอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแน่นอน ถึงแม้จื้อเหยามันบอกว่า มันจะมอบพื้นที่หนึ่งในสามของตระกูลเราให้กับท่าน แต่ก็ไม่มีสิ่งใดมารับประกันได้ว่า มันจะไม่หาอุบายมาแย่งชิงพื้นที่อีกเหมือนกับครั้งนี้ ข้าขอให้ท่านแม่ทัพพิจารณาให้รอบคอบด้วยเถิด

หานคังจื่อเริ่มจะคล้อยตาม เขาถามขึ้นว่าจางเมิ่งถานมีข้อเสนออย่างไร

จางเมิ่งถานจึงกล่าวว่า

ข้าขอให้ท่านแม่ทัพ กับท่านเว่ยหวนจื่อ ร่วมมือกับตระกูลจ้าวเราตีกระหนาบทหารตระกูลจื้อทั้งหน้าทั้งหลัง ถ้าตระกูลจื้อพินาศไป ทั้งสามตระกูลก็จะได้แบ่งดินแดนกัน ตระกูลจื้อมีที่ดินในปกครองมากกว่าตระกูลจ้าวเราหลายเท่า แถมยังได้กำจัดภัยพิบัติในภายภาคหน้าอีกด้วย

หานคังจื่อกล่าวกับจางเมิ่งถานว่าขอเวลาปรึกษากับเว่ยหวนจื่อก่อน แล้วจะให้คำตอบในสามวัน หลังจากนั้นจึงสั่งให้จางเมิ่งถานพักผ่อนอยู่ในกองทัพ

สถานการณ์พลิกกลับ

หานคังจื่อจึงไปปรึกษากับบรรดาที่ปรึกษาว่าจะเอาอย่างไรดี พวกที่ปรึกษาล้วนแต่เคยโดนเหยียดหยามจากพวกตระกูลจื้อ จึงไม่ลังเลที่จะสนับสนุนให้เปลี่ยนฝ่ายมาสนับสนุนตระกูลจ้าวเสีย หานคังจื่อไปที่ค่ายเว่ยหวนจื่อและก็ได้คำตอบอย่างเดียวกัน ทั้งสองคนจึงพูดคุยกันอย่างลับๆ ในเรื่องแผนการดังกล่าว

เช้าวันรุ่งขึ้น จื้อเหยาเรียกเว่ยหวนจื่อและหานคังจื่อมาดูน้ำและกล่าวว่า

น้ำกำลังจะท่วมมิดเมืองจิ้นหยางอยู่แล้ว อีกไม่นานฝ่ายเราก็จะได้ชัยชนะ ข้าเพิ่งจะเข้าใจในอานุภาพของพลังแห่งพสุธา แคว้นจิ้นมีแม่น้ำใหญ่ทั้งสี่ที่จะทำให้ตระกูลหรือแคว้นล่มสลายได้

ระหว่างที่จื้อเหยากำลังโม้อยู่นั้น เว่ยหวนจื่อศอกหานคังจื่อไปทีหนึ่ง ส่วนหานคังจื่อก็เหยียบเท้าเว่ยหวนจื่อ แล้วมองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างเกรงกลัวจื้อเหยาจะรู้ความลับ

พฤติกรรมของทั้งสองคนอยู่ในสายตาของซี่ซือ ที่ปรึกษาของจื้อเหยาอยู่ตลอด เขาจึงรีบไปรายงานว่าทั้งสองตระกูลมีแววว่าจะคิดทรยศ ซี่ซืออธิบายว่า

ข้ามองดูหน้าพวกเขาแล้ว พวกเขาไม่ดีใจเลยที่เมืองจิ้นหยางกำลังจะแตก และกำลังจะได้รับแบ่งพื้นที่ของตระกูลจ้าวคนละส่วน แต่กลับมีสีหน้ากังวลใจเมื่อนายท่านกล่าวถึงเรื่องแม่น้ำ มันจึงเห็นได้ชัดเจนอยู่แล้วว่าพวกเขากำลังจะทรยศ มิเช่นนั้นเขาจะกังวลใจทำไมเล่า

จื้อเหยารู้สึกระแวง แต่ยังเก็บไว้ในใจไม่แสดงออกมา

สามวันต่อมา เว่ยหวนจื่อกับหานคังจื่อนำสุรามาเลี้ยงฉลองกันที่ค่ายของจื้อเหยา จื้อเหยาจึงฉวยโอกาสถามตรงๆ เลยว่า

ข้าจื้อเหยามีนิสัยพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม เมื่อวานนี้มีผู้มาบอกว่า ท่านทั้งสองคิดจะเปลี่ยนใจทรยศข้า มิทราบว่าจริงหรือไม่

หานคังจื่อกับเว่ยหวนจื่อปฏฺิเสธพร้อมกันทันที และพูดชักจูงว่าคงเป็นแผนการของตระกูลจ้าวที่ต้องการให้สามตระกูลหาน เว่ย จื้อ แตกกันเป็นแน่ หลังจากนั้นทั้งสามคนก็ชวนกันดื่มเหล้าอย่างสนุกสนาน

ในคืนวันนั้น เว่ยหวนจื่อกับหานคังจื่อมาพบกับจางเมิ่งถานที่ค่ายตระกูลหาน ทั้งสามตกลงกันเรื่องแผนการแล้วกรีดเลือดสาบานจนเสร็จสิ้น หลังจากนั้นจางเมิ่งถานจึงกลับไปเมืองจิ้นหยาง

เมื่อถึงวันลงมือ ทหารตระกูลหานกับตระกูลเว่ยลงมือก่อน กองทัพทั้งสองเข้าโจมตีบริเวณเขื่อนที่จื้อเหยาได้สร้างไว้กั้นน้ำ ทหารตระกูลจื้อไม่ทันระวังตัวจึงแตกพ่ายยับเยิน

กองทัพหานและเว่ยยึดบริเวณเขื่อนที่กั้นน้ำได้แล้วจึงเปิดเขื่อนแล้วเปลี่ยนทางน้ำลงไปที่ค่ายของจื้อเหยาทันที

ระหว่างจื้อเหยากำลังนอนหลับอยู่ เมื่อตื่นขึ้นมาก็เห็นรอบตัวเต็มไปด้วยน้ำ จื้อเหยาจึงด่าว่าทหารไม่ตรวจตราทำให้เขื่อนรั่ว เขารีบพาทหารไปอุดเขื่อน

พอออกมาจากกระโจมค่ายเท่านั้นเอง จื้อเหยาถึงกับตกตะลึงเมื่อเห็นค่ายตนเองกำลังพังทลายจากกระแสน้ำพลังมหาศาล ทหารจื้อจำนวนมากต่างหนีเอาชีวิตรอด เสบียงอาหารถูกน้ำท่วมจนหมดสิ้น

จังหวะนั้นเองทหารตระกูลหานกับตระกูลเว่ยขึ้นเรือบุกมาจากสองด้าน เมื่อทหารทั้งสองตระกูลเจอทหารตระกูลจื้อที่อยู่ในน้ำก็สังหารทิ้งอย่างเดียว

จื้อเหยาเห็นจวนตัวจึงรีบหนีไป เขาตั้งใจจะหนีไปแคว้นฉินพร้อมทหารจำนวนหนึ่ง

ในระหว่างนั้นทหารตระกูลจ้าวก็บุกออกมาจากเมืองเพื่อเข้าช่วยเหลือทหารตระกูลหาน ตระกูลเว่ย กองทัพจ้าวเข้าตีทหารตระกูลจื้อจากตรงกลาง ทหารตระกูลจื้อไม่มีเรืออยู่เลย แถมยังถูกตีกระหน่ำจากสามด้าน ไม่มีทางจะต้านทานได้ ทหารจื้อถูกสังหารล้มตายเป็นอันมาก ศพลอยอยู่ในน้ำไปทั่ว แต่จื้อเหยากลับยังหนีรอดไปได้

จ้าวเซียงจื่อต้องการตัวจื้อเหยาเป็นพิเศษ เขาจึงสั่งให้จางเมิ่งถานรีบติดตามไป

จื้อเหยาหนีตายมาถึงภูเขาหลิงซานพร้อมกับทหารที่หนีรอดมาได้จากการไล่ล่าของจางเมิ่งถานจำนวนหยิบมือ เขากลับเจอกองทัพกองหนึ่งพุ่งออกมา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น จ้าวเซียงจื่อนั่นเอง!!

จ้าวเซียงจื่อคาดไว้ว่า จื้อเหยาจะต้องหนีไปแคว้นฉิน ตนเองจึงรีบนำกองทัพมาภูเขาหลิงซาน เพื่อดักรอไว้ตั้งแต่แรก จ้าวเซียงจื่อสามารถจับจื้อเหยาอย่างง่ายดาย และสั่งให้ประหารชีวิตจื้อเหยาเสีย

หลังจากประหารจื้อเหยาแล้ว สิ่งแรกที่จ้าวเซียงจื่อทำก็คือ เปลี่ยนทางน้ำให้กลับสู่สภาพเดิม น้ำในเมืองจิ้นหยางจึงลดลงไปตามลำดับ ราษฎรล้วนแต่ยินดีกับชัยชนะ ทุกคนได้รับแจกข้าวของอาหาร เมืองจิ้นหยางจึงกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อได้รอดพ้นวิกฤตแล้ว จ้าวเซียงจื่อจึงมาคารวะเว่ยหวนจื่อ และหานคังจื่อเพื่อขอบคุณ และปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกันต่อไปดี

ข้อสรุปที่ทั้งสามได้ก็คือต้องลบตระกูลจื้อทั้งหมดออกไปจากโลกใบนี้เสียเลย

ทหารสามตระกูล จ้าว เว่ย หาน รวมตัวกันบุกเข้าเมืองหลวงแคว้นจิ้นและจับตระกูลจื้อสังหารหมดทั้งตระกูล ตระกูลจื้อจึงสูญสิ้นไปนับตั้งแต่นั้น!!

จ้าวเซียงจื่อเคียดแค้นจื้อเหยาเป็นการส่วนตัวตั้งแต่ยังไม่เป็นประมุข เขาจึงนำกระโหลกศีรษะของจื้อเหยาไปทำมาเป็นถ้วยเหล้า ในบางตำราจ้าวเซียงจื่อโหดเหี้ยมกว่านั้นเสียอีก ผมคงไม่กล่าวไว้ในที่นี้

จางเมิ่งถานนั้นก็ได้รับรางวัลอย่างงาม ในการทำให้ตระกูลจ้าวรอดมาได้

หลังจากทุกอย่างสงบลงแล้ว ตระกูลขุนนางทั้งสามนั้นก็ได้แบ่งดินแดนตระกูลจื้อกัน โดยที่ไม่มีแม้แต่ลี้เดียวที่กลับเข้าไปเป็นของเจ้าผู้ครองแคว้นจิ้น ทั้งสามตระกูลสนิทกันอย่างแน่นแฟ้นจึงไม่มีปัญหาใดๆนัก เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นนั่งเป็นเสาหลักเมืองดูพวกขุนนางแบ่งดินแดนเป็นของตนเองเท่านั้น

นักประวัติศาสตร์จึงเรียกตระกูลทั้งสามว่า แคว้นสามจิ้น เนื่องจากมีดินแดนและเจ้าผู้ครองแคว้นแล้วโดยพฤตินัย แต่แค่ยังไม่มีสภาพเป็นแคว้นอย่างเป็นทางการโดยนิตินัยเท่านั้น

ห้าสิบปีผ่านไปหลังสงครามที่จิ้นหยาง แคว้นสามจิ้นร่วมกันส่งทูตของแต่ละแคว้นไปทูลโจวเว่ยเลี่ยหวางที่เมืองลั่วหยางให้แต่งตั้งประมุขของตระกูลขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองแคว้นอย่างเป็นทางการ โจวหวางทรงตอบรับอย่างดียิ่ง

หลังจากนั้นตระกูลจ้าวเปลี่ยนเป็นแคว้นจ้าว ตระกูลเว่ยเปลี่ยนเป็นแคว้นเว่ย ตระกูลหานเปลี่ยนเป็นแคว้นหาน ทั้งสามตระกูลมีอำนาจในการปกครองตนเองอย่างสมบูรณ์ แคว้นจิ้นก็ยังคงอยู่แต่ไม่มีอำนาจปกครองพวกสามจิ้นอีกต่อไปแล้ว ในทางกลับกัน เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นกลับต้องมอบบรรณาการให้กับพวกสามจิ้น

สี่สิบปีต่อมาหลังจากนั้น (ปี 369 BC) แคว้นสามจิ้นรวมตัวกันถอดถอน จิ้นหวนกง เจ้าผู้ครองแคว้นจิ้นคนสุดท้ายลงเป็นสามัญชน และย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่พวกสามจิ้นจัดไว้ให้ พวกสามจิ้นแบ่งพื้นที่แคว้นจิ้นที่เหลือกันอีก แคว้นจิ้นที่ยิ่งใหญ่ของจิ้นเหวินกงได้สืบทอดตำแหน่งกันมายี่สิบเก้าชั่วคนจึงจบสิ้นลงไปในเวลานี้เอง

นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ถือว่าการกำเนิดของแคว้นสามจิ้นนั้นเป็นจุดสิ้นสุดของยุคชุนชิว และเริ่มต้นของยุคจ้านกว๋อ (ยุคแห่งสงคราม)

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!