ประวัติศาสตร์ถังเจาจง ตอนที่ 5: อำนาจของราชสำนักที่ร่วงโรย

ถังเจาจง ตอนที่ 5: อำนาจของราชสำนักที่ร่วงโรย

ความพ่ายแพ้ของกองทัพในราชสำนักนั้นยิ่งทำให้สถานการณ์ของราชวงศ์ย่ำแย่ไปกว่าเดิม ทั่วทั้งแผ่นดินแทบไม่มีใครเกรงในพระราชอำนาจของฮ่องเด้แห่งต้าถังอีกต่อไปแล้ว แม้กระทั่งในราชสำนักของพระองค์เอง

หยางฟู่กง ขันทีใหญ่ที่กุมอำนาจในเวลานั้นได้คัดค้านการทำศึกตลอดมา และได้ขัดขวางกองทัพหลวงทุกวิถีทางจนนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ ทำให้เขามีอิทธิพลทางการเมืองมากขึ้นกว่าเดิม ความสัมพันธ์ของขันทีผู้นี้กับถังเจาจงเองจึงเริ่มเลวร้ายลงอย่างมาก เพราะฮ่องเต้พระองค์นี้ต้องการอำนาจที่จะออกนโยบายต่างๆ ที่เอื้อประโยชน์กับแผ่นดิน ต่างจากหยางฟู่กงและพรรคพวกที่สนใจแต่กอบโกยผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น

แต่เรื่องที่ร้ายนรงที่สุดคือการที่หยางฟู่กงแอบส่งคนไปสังหารอาแท้ๆ (ฝั่งแม่) ของถังเจาจงที่ถูกส่งไปปกครองเมืองแห่งหนึ่งตามพระราชโองการ พร้อมกับเหล่าผู้ติดตามทั้งหมด เหตุการณ์นี้ทำให้ถังเจาจงพิโรธมาก พระองค์ทราบดีว่าใครเป็นผู้ลงมือ และรอเวลาที่จะคิดบัญชีกับขันทีเฒ่าผู้นี้

แย่งอำนาจกับขันที

ความสัมพันธ์ดังกล่าวถึงจุดปะทุในช่วงปลายปี ค.ศ.891 ถังเจาจงได้สั่งให้หยางฟู่กงไปตรวจการเมืองในซานซีที่อยู่ในการปกครองของขุนศึกชื่อหลี่เม่าเจิน แต่หยางฟู่กงไม่ต้องการจะไป ซึ่งไม่น่าแปลกใจ เพราะหยางฟู่กงคงจะกลัวโดนลอบสังหารเหมือนกับที่ทำกับคนอื่นเอาไว้

เพื่อหลบเลี่ยงพระบรมราชโองการ หยางฟู่กงเองที่อ้างว่าขอเกษียณอายุลาออกจากตำแหน่ง ซึ่งถังเจาจงเองก็ไม่คัดค้านและอนุญาตให้หยางฟู่กงเกษียณได้

การกระทำของหยางฟู่กงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการทดสอบท่าทีของฮ่องเต้ว่าเป็นปฏิปักษ์กับตนมากเพียงใด เพราะถ้าฮ่องเต้ยังไม่เห็นว่าตนเป็นภัยมากนักก็น่าจะทัดทานเอาไว้ตามธรรมเนียม เนื่องจากตัวหยางฟู่กงนั้นทำงานมาให้ราชสำนักอย่างยาวนาน และเป็นตัวตั้งตัวตีที่ให้ถังเจาจงได้ขึ้นครองราชย์อีกด้วย

ผ่านไปสักระยะหนึ่งในเมืองฉางอาน (ซีอานในปัจจุบัน) กลับมีข่าวลือว่าหยางฟู่กงและพรรคพวกจะก่อการกบฏ พงศาวดารไม่ได้ระบุแน่ชัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าจริง เพราะตอนนั้นตระกูลหยางกำลังจะเสื่อมอำนาจ ถ้าไม่ลงมือตอนนี้จะจัดการตอนไหน

ถังเจาจงจึงรีบส่งกำลังทหารองครักษ์และทหารหลวงทั้งหมดเข้าโจมตีบ้านของตระกูลหยางทันที แต่หยางฟู่กงและสมา่ชิกส่วนใหญ่หนีรอดไปได้ โดยพวกเขาหนีไปพึ่งพาสมาชิกตระกูลหยางคนอื่นๆ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นขุนศึก นับตั้งแต่บัดนั้นหยางฟู่กงก็ตั้งตนเป็นกบฏอย่างเป็นทางการ

พวกขุนศึกคนอื่นๆที่อยู่รายรอบตระกูลหยางนั้นเห็นโอกาสที่จะได้ดินแดนเพิ่มเติม พวกเขาจึงคบคิดกันแล้วให้หลี่เม่าเจินเป็นหัวหน้า แล้วถวายฏีกาให้ถังเจาจงอนุญาตให้พวกตนไปปราบกบฏตระกูลหยาง

จริงอยู่ว่าเป็นเรื่องดีที่มีผู้อาสามาปราบหอกข้างแคร่ให้ แต่หลังเสร็จศึกแล้วพวกขุนศึกอย่างหลี่เม่าเจินที่แข็งแกร่งอยู่แล้วจะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม ถังเจาจงไตร่ตรองอยู่เป็นเวลานั้น ท้ายที่สุดจึงปฏิเสธและไม่อนุญาตให้หลี่เม่าเจินยกไปปราบ แต่กลับเสนอให้ทั้งสองฝ่ายปรองดองกันเสียอย่างนั้น

พระองค์ไม่ทราบเลยว่าอำนาจของพระองค์นั้นไม่มีใครให้ค่าอีกต่อไปแล้ว หลี่เม่าเจินและพรรคพวกขุนศึกจึงยกทัพไปปราบอยู่ดี แถมยังส่งหนังสือมาเยาะเย้ยราชสำนักเสียอีก

ผ่านไปสักระยะหนึ่ง ถังเจาจงหวั่นเกรงว่าพวกหลี่เม่าเจินจะสังหารประชาชนโดยพลการถ้าไม่มีพระบรมราชโองการไปกำกับ ดังนั้นพระองค์จึงยอมกลืนน้ำลายตนเอง และให้หลี่เม่าเจินเป็นแม่ทัพใหญ่ไปปราบตระกูลหยาง

การสู้รบนั้นดำเนินต่อไปอย่างรวดเร็ว โดยหลี่เม่าเจินเป็นฝ่ายได้เปรียบ และยึดครองดินแดนของตระกูลหยางได้แทบทั้งหมด หยางฟู่กงและคนอื่นๆ จึงต้องหนีตายไปเสฉวน หลี่เม่าเจินจึงยกทัพติดตามไปและต่อสู้กันอย่างยืดเยื้ออีกนานถึงเกือบสองปี ท้ายที่สุดหยางฟู่กงและสมาชิกตระกูลหยางก็ถูกสังหาร เป็นอันปิดฉากการครองอำนาจของขันทีผู้นี้ไปอย่างสิ้นเชิง

ขัดแย้งกับหลี่เม่าเจิน

ระหว่างที่หลี่เม่าเจินกำลังทำศึกกับตระกูลหยางนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างตัวเขาและราชสำนักก็เลวร้ายลงอย่างมาก จนถึงกับเป็นสงครามซ้อนสงครามเลยทีเดียว

เรื่องมีอยู่ว่าหลี่เม่าเจินอยากเป็นขุนศึกปกครองซีซานหนานด้วย นอกเหนือไปจากเฟิงเสียงที่เขาครอบครองอยู่แล้ว เขาจึงส่งฎีกามาทูลขอให้ถังเจาจงแต่งตั้งให้ตนเองเป็นขุนศึกปกครองซีซานหนานอีกตำแหน่งหนึ่ง โดยเจตนาของหลี่เม่าเจินคือจะขอให้ถังเจาจงให้ตนควบสองตำแหน่ง

ถังเจาจงนั้นรู้ดีว่าหลี่เม่าเจินต้องการอะไร แต่นั่นแน่นอนว่าไม่เป็นประโยชน์จากราชสำนัก ดังนั้นพระองค์จึงตอบสนองด้วยวิธี “กวนๆ” เสียหน่อย

ในเมื่อหลี่เม่าเจินอยากเป็นขุนศึกปกครองซีซานหนาน พระองค์ก็แต่งตั้งเขาให้เป็นตามคำขอ แต่ขุนศึกเฟิงเสียงนั้นให้เสนาบดีคนอื่นไปรับช่วงต่อแทน

พอหลี่เม่าเจินได้เห็นพระบรมราชโองการก็ไม่พอใจอย่างมาก เขาจึงปฏิเสธที่จะทำตามพระบรมราชโองการและตอบโต้ด้วยการส่งฎีกาฉบับหนึ่งไปยังเมืองหลวง โดยในเนื้อหานั้นมีข้อความล้อเลียนถังเจาจงอย่างเจ็บแสบว่าไม่มีปัญญาปราบตระกูลหยาง และแถมยังควบคุมให้พวกขุนศึกอยู่ในอำนาจไม่ได้อีกด้วย

ถังเจาจงจึงพิโรธหนักและสั่งให้เตรียมกองทัพยกไปปราบหลี่เม่าเจินทันที อัครมหาเสนาบดีอย่างตู้หร่างเหนิงพยายามทัดทานว่ากองทัพหลวงมีกำลังไม่เพียงพอที่จะไปยกไปปราบ แต่ถังเจาจงไม่สนใจ และออกพระบรมราชโองการยืนยันพระราชวินิจฉัยของพระองค์

เรื่องในราชสำนักทุกอย่างนั้นหลี่เม่าเจินทราบดีอยู่แล้ว เพราะอัครมหาเสนาบดีอีกคนหนึ่งอย่างชุยเจาเหว่ยเป็นพรรคพวกของหลี่เม่าเจิน และได้รายงานทุกอย่างให้หลี่เม่าเจินทราบโดยละเอียด

หลี่เม่าเจินนั้นไม่ต้องการทำศึกกับราชสำนัก เพราะจะดูเหมือนว่าตนเองเป็นกบฏ เขาจึงให้ชุยเจาเหว่ยนำพรรคพวกไปก่อม็อบคัดค้านการทำสงครามกับหลี่เม่าเจินในเมืองหลวง แต่ในเวลานั้นไม่มีสิ่งใดระงับความโกรธของถังเจาจงได้ กองทัพหลวงจำนวน 30,000 คนภายใต้การนำของหลี่ซื่อโจว เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งจึงยกทัพออกไป

กลายเป็นตัวตลก

กองทัพของหลี่ซื่อโจวนั้นประกอบด้วยทหาร 30,000 คนที่ไร้ประสบการณ์การรบโดยสิ้นเชิง ผลที่ตามมาคือเมื่อได้เผชิญหน้ากับกองทหารประสบการณ์สูงของหลี่เม่าเจินจำนวน 60,000 คน ทหารในกองทัพหลวงนั้นหนีตายไปจนหมดก่อนที่จะได้รบกันเสียอีก ด้วยเหตุนี้หลี่เม่าเจินจึงนำกำลังมาประชิดเมืองฉางอานได้โดยง่าย

หลี่เม่าเจินได้ส่งจดหมายเข้าไปยื่นคำขาดว่าราชสำนักต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้

  • ประหารชีวิตขุนนางและขันทีที่สนับสนุนการทำสงครามกับหลี่เม่าเจิน
  • ให้ตนเองเป็นขุนศึกปกครองทั้งซีซานหนานและเฟิงเสียง พร้อมกับตำแหน่งอัครมหาเสนาบดี

ถังเจาจงนั้นปราศจากทางเลือกอื่นใด พระองค์จึงต้องทำตามคำขาดของหลี่เม่าเจิน เรื่องเศร้าที่สุดคือขุนนางที่ซื่อสัตย์อย่าง ตู้หร่างเหนิงที่คัดค้านการทำสงครามต้องสิ้นชีวิตไปด้วย นั่นก็เพราะขุนนางกังฉินจอมทรยศอย่างชุยเจาเหว่ยต้องการให้หลี่เม่าเจินกำจัดศัตรูทางการเมืองของตน ดังนั้นจึงส่งข่าวอย่างผิดๆ ว่าตู้หร่างเหนิงสนับสนุนสงคราม

ถังเจาจงพยายามแจ้งว่าตู้หร่างเหนิงไม่ได้สนับสนุนการทำศึกกับหลี่เม่าเจิน และเสนอให้เนรเทศเขาไปที่อื่นเพื่อรักษาชีวิตขุนนางผู้นี้ไว้ แต่ก็ไม่เป็นผล หลี่เม่าเจินยืนกรานว่าตู้หร่างเหนิงจะต้องสิ้นชีวิตก่อน พวกตนถึงจะยอมถอยทัพ ถังเจาจงจึงต้องกล้ำกลืนความเจ็บปวดและสั่งให้ตู้หร่างเหนิงปลิดชีพตนเอง

ก่อนที่ตู้หร่างเหนิงจะจบชีวิตลงนั้น เขาได้ทูลต่อฮ่องเต้ว่า

กระหม่อมคาดไว้อยู่แล้วว่าสักวันจะต้องเกิดเรื่องเช่นนี้ ขอพระองค์โปรดแลกชีวิตของกระหม่อมกับความปลอดภัยของพระองค์

ตู้หร่างเหนิงจึงสิ้นชีวิตลงในที่สุด หลี่เม่าเจินจึงถอยกองทัพกลับไปตามที่ได้ตกลงไว้

อย่างไรก็ดีนับตั้งแต่บัดนั้นถังเจาจงก็หมดสิ้นอำนาจในการปกครองไปโดยปริยาย เพราะหลี่เม่าเจินเข้ามาควบคุมอำนาจในราชสำนักแทบทั้งหมด ขุนนางและพวกขันทีอยากได้อะไรก็ติดต่อกับหลี่เม่าเจิน ตัวขุนศึกผู้นี้ก็จะไปบังคับฮ่องเต้อีกต่อหนึ่ง ทำให้อำนาจในฐานะจักรพรรดิของถังเจาจงกลายเป็นศูนย์ หรือพูดง่ายๆ พระองค์ไม่ได้ต่างอะไรกับตัวตลกที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ที่ไม่สามารถสั่งอะไรใครได้เลย

ถ้ามองย้อนไปแล้ว ความผิดพลาดทั้งหมดล้วนแต่เกิดจากอารมณ์ของถังเจาจงแต่เพียงผู้เดียว ถ้าพระองค์เลือกที่จะไม่ทำทุกอย่างไปตามอารมณ์ สถานการณ์อาจจะไม่ลงเอยเช่นนี้ก็เป็นได้

หากแต่ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น สิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่ายังรอพระองค์อยู่ในภายภาคหน้า

References:

  • Old Book of Tang
  • New Book of Tang
  • Zizhi Tongjian

ย้อนอ่านตอนเก่า

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!