ประวัติศาสตร์ถังเจาจง ตอนที่ 2: ชีวิตอันทรหดในห้วงไฟสงคราม

ถังเจาจง ตอนที่ 2: ชีวิตอันทรหดในห้วงไฟสงคราม

จากตอนที่แล้ว (อ่านย้อนได้จากลิงค์ด้านล่าง) กองทัพกบฏได้ยกกองทัพเข้ามาใกล้เมืองฉางอาน (ซีอาน) ในปัจจุบัน ทำให้ถังซีจง ฮ่องเต้หนุ่มแห่งราชวงศ์ถังจำต้องเดินทางหนีไปยังเสฉวน หลี่เจี๋ยที่เป็นพระราชวงศ์คนสนิทจึงได้รับคำสั่งให้ติดตามไปด้วย

แต่ก่อนที่จะเล่าเรื่องราวต่อไป ผมขอย้อนเล่าไปก่อนที่ถังซีจงจะเสด็จหนีเสียก่อน เพื่อที่ทุกคนจะได้เข้าใจถึง “ความขัดแย้ง” ที่จะเกิดขึ้นต่อไปในกาลข้างหน้า

ขันทีเถียนลิ่งจือ

ในเวลานั้นผู้ที่มีอำนาจสูงที่สุดในราชสำนักถังคือขันทีชื่อ เถียนลิ่งจือ เขาควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินแทบทั้งหมดและยังเป็นผู้บังคับบัญชากองทหารองครักษ์เชินเส้อ (神策军) อีกด้วย

ฐานอำนาจของเถียนลิ่งจือนั้นไม่ได้มาจากใครอื่น แต่มาจากความสนิทสนมส่วนตัวที่ตนเองมีต่อฮ่องเต้ กล่าวคือถังซีจงไม่เอาใจใส่ในราชการแผ่นดินเท่าไรนัก พระองค์จึงมอบหมายงานทั้งหมดให้เถียนลิ่งจือเป็นคนดูแล แถมยังให้ขันทีผู้นี้มาพูดคุยและกินของทานเล่นร่วมกันอยู่เรื่อยๆ บางครั้งพระองค์ก็ตรัสเล่นกับขันทีผู้นี้ว่าเป็น “บิดา” ของพระองค์เลยดีเดียว

และเมื่อทั้งสองสนิทสนมกันเช่นนี้ เถียนลิ่งจือจะออกนโยบายอย่างไร ถังซีจงก็ไม่เคยห้ามปรามแม้ว่าจะเป็นนโยบายที่ขูดรีดราษฎรอย่างไรก็ตาม

ช่วงที่พวกกบฏลุกฮือขึ้นนั้น เถียนลิ่งจือได้วางแผนสำรองเอาไว้ล่วงหน้าในกรณีที่ฉางอานถูกคุกคามโดยกองทัพกบฏ นั่นคือเขาจะพาถังซีจงหนีไปยังมณฑลเสฉวน (ดินแดนของเล่าปี่ในเรื่องสามก๊ก) ซึ่งมีภูเขาสูงชัน กองทัพกบฏจะได้จับกุมตัวฮ่องเต้ไว้ไม่ได้

ดังนั้นเถียนลิ่งจือให้ถังซีจงแต่งตั้งคนสนิทของตนขึ้นเป็นหนึ่งในพวกเจี๋ยตู๋ชื่อ หรือพวกขุนศึกที่ปกครองดินแดนเสฉวน เขาจะได้มั่นใจว่าถ้าเกิด worst case scenario ขึ้นมาจริงๆ ตนเองจะได้มีที่ไป

ช่วงฤดูหนาวของปี ค.ศ.880 กองทัพกบฏยกเข้าใกล้ด่านท่งกวน ด่านสำคัญที่ป้องกันเมืองฉางอาน เถียนลิ่งจือจึงรีบทูลให้ถังซีจงเสด็จหนีไปยังเสฉวนตามแผน แต่ฮ่องเต้หนุ่มกลับปฏิเสธและสั่งให้เถียนลิ่งจือนำกำลังทหารองครักษ์เข้าไปป้องกัน

คำสั่งของฮ่องเต้หนุ่มนั้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เพราะในตอนนั้นกองทัพหลวงมากถึง 70,000 คนเพิ่งจะถูกส่งเข้าไปปะทะกับพวกกบฏตอนช่วงฤดูร้อน แต่กลับถูกหวงเฉาตีแตกยับเยิน ทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่นั้นเหลืออยู่นั้นก็ถูกส่งไปต้านพวกกบฏที่ด่านท่งกวนจนหมดแล้ว ในเมืองจึงเหลือแต่ทหารหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์เพียงเท่านั้น ไม่ว่าเถียนลิ่งจือจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถสร้างกองทัพที่พร้อมรบขึ้นมาได้

ผลที่ตามมาคือกองทัพกบฏจึงตีด่านท่งกวนแตกในชั่วพริบตา ท้ายที่สุดถังซีจงและเชื้อพระวงศ์ส่วนน้อยจึงต้องหลบหนีไปยังเสฉวนตามแผนสำรองพร้อมกับเถียนลิ่งจือ ปล่อยให้เมืองฉางอานโดนกองทัพกบฏเข้าปล้นสะดมและไล่สังหารเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่ทั้งเมือง

ขัดแย้งกับขันที

ระหว่างการเดินทางไปยังเมืองเฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเสฉวนนั้น หลี่เจี๋ยหรือถังเจาจงในอนาคตนั้นได้ขัดแย้งกับขันทีเถียนลิ่งจืออย่างรุนแรง

เรื่องมีอยู่ว่าขบวนรถของฮ่องเต้นั้นไม่อาจจะผ่านเส้นทางที่สูงชันของเสฉวนไปได้ หลี่เจี๋ยและคนอื่นๆ จึงต้องเดินเท้าไป ด้วยความที่มีวัยเพียง 13 ปี เจ้าชายหนุ่มที่ไม่เคยได้รับความลำบากจึงทนไม่ไหว เขาจึงเข้าไปขอม้าจากเถียนลิ่งจือสักตัวหนึ่ง

ขันทีอาวุโสผู้นี้จึงตวาดหลี่เจี๋ยว่า พวกเราอยู่ในเขตภูเขาสูงชันจะไปเอาม้ามาจากที่ไหน และหลังจากนั้นยังเอาแส้เฆี่ยนหลี่เจี๋ยเสียด้วย (บ้างว่าแค่เฆี่ยนคนรับใช้) แล้วก็สั่งให้หลี่เจี๋ยเดินต่อไป

นับตั้งแต่วันนั้นหลี่เจี๋ยจึงเกลียดเถียนลิ่งจือเข้ากระดูกดำ และหมายใจว่าจะล้างแค้นขันทีเฒ่าผู้นี้ให้ได้ในวันข้างหน้า

กลับฉางอาน

แม้ว่าฉางอานจะแตกแล้ว แต่การรบก็ยังดำเนินต่อไปเหมือนกับสมัยกบฏอันลู่ซาน กล่าวคือพวกขุนศึกส่วนใหญ่นั้นยังฟังคำสั่งของราชสำนักอยู่ กองทัพต่างๆ จึงยกเข้ามาต่อสู้กับพวกกบฏจนเกิดเป็นสงครามกลางเมืองอันใหญ่โต

ลุเข้าปี ค.ศ.882 สถานการณ์ก็ยังไม่ดีขึ้น ขันทีหยางฟู่กวงจึงเสนอให้ถังซีจงยืมความแข็งแกร่งทางทหารของพวกอนารยชนในการปราบพวกกบฏ กล่าวคือให้ถังซีจงอภัยโทษให้หลี่เค่อย่ง ผู้นำเผ่าซาถัวที่เคยก่อกบฏต่อต้านราชสำนักมาก่อน แต่ถูกปราบปรามจนต้องหนีไป แลกกับการที่ให้เขานำกำลังทหาร 10,000 คนเข้าโจมตีกองทัพกบฏ

หลี่เต่อย่ง

การเข้ามาของหลี่เค่อย่งทำให้สถานการณ์การสู้รบเริ่มเปลี่ยน สาเหตุสำคัญคือแม่ทัพพวกกบฏไม่อาจจะเอาชนะกองทัพของหลี่เค่อย่งได้ กองทัพซาถัวมีชัยครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ทหารฝ่ายกบฏเริ่มร่อยหรอลงไป เปิดโอกาสให้ทหารหลวงส่วนอื่นๆ เข้าตีโต้อีกด้วย

ในปี ค.ศ.883 กองทัพของหลี่เค่อย่งก็มาถึงเมืองฉางอานที่กลายเป็นฐานที่มั่นสำคัญของพวกกบฏ หวงเฉาผู้นำฝ่ายกบฏนำกองทัพมาสู้รบหน้าเมือง แต่กลับถูกหลี่เค่อย่งตีแตกกระเจิงอีกคำรบหนึ่ง ความพ่ายแพ้ของพวกกบฏทำให้ฝ่ายถังตีเมืองฉางอานกลับมาได้

แม้ว่ากองทัพหลวงจะตีเมืองฉางอานกลับมาได้แล้ว แต่ถังซีจงก็ยังไม่เสด็จกลับเมืองหลวง สาเหตุก็คือพวกขุนศึกทั้งหลายต่างเข้าสู้รบกันเองจนเกิดเป็นความวุ่นวายที่ไม่แตกต่างกับสมัยช่วงปลายราชวงศ์ฮั่น (ต้นยุคสามก๊ก) จนกระทั่งในช่วงปี ค.ศ.885 ถังซีจงจึงตัดสินใจเสด็จกลับเมืองฉางอานพร้อมกับหลี่เจี๋ย รวมช่วงเวลาทั้งหมดแล้วเรียกได้ว่าทั้งสองต่างอยู่ในเสฉวนนานถึง 5 ปีเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดีการเสด็จกลับของฮ่องเต้ครั้งนี้นั้นไม่เหมือนแต่ก่อน เพราะราชสำนักไม่มีอำนาจที่จะถ่วงดุลใดๆ กับพวกขุนศึกอีกแล้ว แถมทุกทั่วหัวระแหงต่างเต็มไปด้วยความโกลาหลที่เกิดจากไฟสงคราม เหล่าทหารหลวงเองก็ไม่พอใจที่พวกเขาไม่ได้รับเงินเบี้ยหวัดมานานนับปีแล้วอีกด้วย

บัลลังก์ถังของตระกูลหลี่จึงเหมือนกับตั้งอยู่บนคมหอกคมดาบที่พร้อมจะแทงอยู่ทุกเมื่อ หลี่เจี๋ยที่เติบโตมาในช่วงยุคแห่งความวุ่นวายนี้จึงได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านี้ไปอย่างเต็มเปี่ยม ดังนั้นด้วยวัยเพียง 18 ปี เจ้าชายหนุ่มจึงตั้งปณิธานที่จะฟื้นฟูอำนาจสู่ราชสำนักและทำให้เหตุจลาจลเหล่านี้จบสิ้นไปให้จงได้

References:

  • Zizhi Tongjian
  • History of the Five Dynasties

ย้อนอ่านตอนเก่า

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!