จากตอนที่แล้ว รัชสมัยของถังซีจงนั้นเป็นกลียุคที่แม้แต่ฮ่องเต้เองก็ยังได้รับความยากลำบาก ช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่หลี่เจี๋ยเริ่มตั้งปณิธานที่จะฟื้นฟูราชวงศ์ถัง และขจัดพวกขุนศึกให้พ้นไปจากอำนาจให้จงได้
แต่หลี่เจี๋ยนั้นไม่รู้เลยว่าปณิธานของเขานั้นเป็นสิ่งที่ยากเกินตัว เพราะสถานการณ์ของราชวงศ์ถังนั้นแย่ยิ่งกว่าคนไข้ที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเสียอีก
ขันทีและขุนศึกขัดแย้งกัน
ทันทีที่ถังซีจงและหลี่เจี๋ยกลับมาถึงเมืองฉางอาน ปัญหาก็เกิดขึ้นทันที
ปัญหาที่ว่าก็คือราชสำนักถังขัดสนเงินทองอย่างหนัก เพราะไม่มีหัวเมืองได้จ่ายภาษีให้รัฐบาลกลางอีกต่อไปแล้ว ดังนั้นไม่มีความสามารถที่จะจ่ายเบี้ยหวัดให้กับพวกทหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทหารรักษาเมือง ทหารองครักษ์ หรือแม้กระทั่งกองทหารส่วนตัวของขุนนางผู้ใหญ่
เถียนลิ่งจือ ขันทีที่ยังกุมอำนาจในราชสำนักอยู่จึงต้องการให้หวางฉงหรง ขุนศึกที่ปกครองมณฑลหู่กั๋ว (ซานซีในปัจจุบัน) มอบเหมืองเกลือที่เคยเป็นของราชสำนักกลับคืน ตนเองจะได้นำรายได้จากเหมืองเกลือแห่งนี้มาเป็นเบี้ยหวัดให้กับเหล่าทหาร
ในเวลานั้นเกลือเป็นของมีค่า ผู้ใดที่ครอบครองเหมืองเกลือก็จะร่ำรวยเหมือนกับครอบครองบ่อน้ำมันในปัจจุบัน ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าหวางฉงหรงย่อมจะต้องไม่ยอมคืน เพราะใครจะยอมเสียแหล่งเงินแหล่งทองไปง่ายๆ แถมหวางฉงหรงก็รู้ดีว่าคนเองถือไพ่เหนือกว่า เนื่องจากราชสำนักไม่มีกองทัพที่เข้มแข็ง แถมตัวเขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับหลี่เค่อย่ง แม่ทัพคนสำคัญที่ช่วยให้ราชสำนักปราบกบฏหวงเฉาได้สำเร็จอีกด้วย
หวางฉงหรงจึงปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่าจะไม่ยอมคืนเหมืองเกลือให้ด้วยการถวายฏีกาต่อฮ่องเต้หลายต่อหลายครั้ง เมื่อเห็นหวางฉงหรงไม่ยอมเช่นนั้น เขาจึงส่งลูกเลี้ยงของตนนามว่าเถียนควงโย่วไปเจรจาที่มณฑลหูกั๋วที่มั่นของหวางฉงหรง
ปรากฏว่าเถียนควงโย่วเป็นทูตที่แย่มาก เขาวางก้ามและปฏิบัติต่อทหารของหวางฉงหรงอย่างหยาบคาย ทั้งๆ ที่ฝ่ายหลังต้อนรับเขาอย่างดี ผลที่ตามมาคือความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายนั้นเลวร้ายลงมาก หวางฉงหรงออกฎีกาประณามเถียนลิ่งจือว่ามีความผิดถึง 10 ประการให้ได้รับความอับอาย ส่วนเถียนควงโย่วเองก็เสนอให้บิดาเลี้ยงของตนรีบจัดการกับหวางฉงหรง
ดังนั้นเถียนลิ่งจือลงมือก่อนด้วยการออกคำสั่งในนามของถังซีจง สั่งให้ย้ายหวางฉงหรงไปประจำที่มณฑลอื่น ซึ่งหวางฉงหรงนั้นเป็นขุนศึกควบคุมกำลังทหาร คำสั่งเช่นนี้ใครจะไปยอมทำตามได้ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคำสั่งดังกล่าว และส่งไปขอกำลังสนับสนุนจากหลี่เค่อย่ง
เมื่อเห็นอีกฝ่ายแข็งขืนไม่ปฏิบัติตาม เถียนลิ่งจือจึงเห็นว่าต้องใช้กำลังเท่านั้นถึงจะยึดเมืองเกลือกลับคืนมาได้ ดังนั้นเขาส่งทูตไปขอกำลังจาก จูเหมยและหลี่ชางฝู ขุนศึกมณฑลจิ้งหนานและเฟิงเสียง และได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ต่อมาเถียนลิ่งจือก็นำกองทหารเชินเส้อที่ตนเองควบคุมอยู่ไปสมทบ ทั้งสามกองทัพจึงรวมกันยกไปตีเหอจง ที่ตั้งของเหมืองเกลือที่เถียนลิ่งจือหมายตาไว้อยู่
ใต้ฟ้ามีดวงอาทิตย์สองดวง
ฝ่ายหวางฉงหรงนั้นไม่ใช่หมูในอวยอยู่แล้ว ทูตจึงถูกส่งไปหาหลี่เค่อย่ง และได้รับการตอบรับอย่างรวดเร็ว (แม้ว่าหลี่เค่อย่งเองกำลังจะนำทัพไปทำศึกกับจูเฉวียนจง ขุนศึกอีกคนหนึ่งก็ตาม) กองทัพของทั้งสองขุนศึกจึงรวมกำลังกันและเข้าเผชิญหน้ากับกองทัพพันธมิตรของเถียนลิ่งจือ
ทหารของหลี่เค่อย่งนั้นเป็นทหารซาถัวที่เจนศึกที่มีชัยเหนือพวกกบฏมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์การรบจึงมีอย่างเต็มเปี่ยม ส่วนกองทหารเชินเส้อนั้นเป็นกองทหารในวังที่พวกขันทีใช้แย่งชิงอำนาจ ถ้าสองกองทัพนี้เข้าต่อสู้กัน ชัยชนะจะอยู่ที่ฝ่ายไหนก็ไม่น่าจะต้องเดายาก กองทัพของเถียนลิ่งจือถูกตีแตกยับเยิน พวกขุนศึกฝ่ายเถียนลิ่งจือนั้นหนีตายกลับไปมณฑลของพวกตน ส่วนเถียนลิ่งจือหนีตะเลิดเข้าเมืองฉางอานทันที
ฝ่ายหวางฉงหรงและหลี่เค่อย่งก็ไม่รอช้า ทั้งสองเร่งนำกองทัพเข้าประชิดเมืองฉางอาน เถียนลิ่งจือจึงทูลถังซีจงให้เสด็จหนีไปกับตน ถังซีจงกลับปฏิเสธว่าไม่ยอมไป สุดท้ายเถียนลิ่งจือจึงใช้กำลังบังคับให้ฮ่องเต้หนุ่มเดินทางไปกับตนจนได้
เมื่อมีข่าวว่าเถียนลิ่งจือพาฮ่องเต้หนีไปแล้ว ผู้คนทั้งแผ่นดินต่างรังเกียจความขี้ขลาดของเถียนลิ่งจือ แม้แต่จูเหมยและหลี่ชางฝูเองก็รู้สึกละอายที่เคยเป็นพันธมิตรกับเถียนลิ่งจือด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงขอเจรจาสงบศึกกับหวางฉงหรงและหลี่เค่อย่ง และฉวยโอกาสที่เมืองหลวงไร้ซึ่งฮ่องเต้ แต่งตั้งให้หลี่ยวิน เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งขึ้นเป็นฮ่องเต้แทนถังซีจง
การมีฮ่องเต้สองพระองค์นั้นยิ่งทำให้ความปั่นป่วนในแผ่นดินจีนที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งถอดถอยหนักกว่าเดิม พวกขุนศึกคนต่างๆ ลังเลขึ้นมาว่าจะยอมรับใครเป็นฮ่องเต้ดี หลายคนเริ่มเอนเอียงไปทางหลี่ยวิน สถานะของถังซีจงในขณะนั้นจึงตกต่ำอย่างมาก
สำหรับเถียนลิ่งจือนั้น เขาตระหนักดีว่าสถานการณ์ของราชวงศ์นั้นเลวร้ายเพราะพฤติกรรมของตนเอง เขาจึงลาออกจากตำแหน่งทั้งหมดและหลบหนีไปเสฉวนที่คนสนิทของตนเป็นขุนศึกอยู่ ทิ้งให้ถังซีจงอยู่ที่เมืองซิงหยวนตามลำพัง
อย่างไรก็ดีโชคเป็นของถังซีจงเพราะขันทีหยางฟู่กงที่สืบต่อตำแหน่งของเถียนลิ่งจือนั้นมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง เขาได้โน้มน้าวให้หยางฉงหรงและหลี่เค่อย่งยอมรับถังซีจงได้สำเร็จ หลังจากนั้นไม่นานหยางฉงหรงก็เข้าโจมตีฐานที่มั่นของจูเหมยและจับกุมตัวหลี่ยวินมาประหารชีวิต ส่วนหลี่เม่าเจิน ขุนศึกอีกคนหนึ่งก็นำทัพเข้าตีหลี่ชางฝูจนพ่ายแพ้ ทำให้ทั่วทั้งแผ่นดินกลับมายอมรับถังซีจงเป็นฮ่องเต้เพียงหนึ่งเดียวอีกครั้งหนึ่ง
ถังซีจงสวรรคต
เมื่อสถานะของถังซีจงกลับมาดีขึ้น พระองค์จึงเสด็จกลับฉางอาน (ซีอานในปัจจุบัน) แต่สุขภาพร่างกายของพระองค์กลับเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว และเริ่มป่วยกระเสาะกระแสะ แม้ว่าในขณะนั้นพระองค์จะยังมีอายุเพียง 25 ปีก็ตาม ในปี ค.ศ.888 ถังซีจงก็สวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วนด้วยโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอันจบชีวิตฮ่องเต้ที่ใช้เวลาในราชบัลลังก์เกือบทั้งหมดไปกับการเสด็จหนีไปยังสถานที่ต่างๆ
ตามธรรมเนียมแล้วบัลลังก์น่าจะตกเป็นของหลีเป่า พี่ชายต่างมารดาของหลี่เจี๋ย เขาเป็นเชื้อพระวงศ์สายตรงที่มีอายุมากที่สุด และยังเป็นผู้มีสติปัญญาด้วย แต่ขันทีที่ทรงอำนาจอย่างหยางฟู่กงกลับไม่สนับสนุน ขันทีผู้นี้กลับสนับสนุนหลี่เจี๋ยให้ขึ้นครองราชย์สืบต่อแทน ซึ่งเมื่อผู้ทรงอำนาจสูงสุดในราชสำนักเห็นแบบนี้ ขุนนางคนอื่นจึงไม่มีใครกล้าคัดค้าน
ด้วยเหตุนี้จากเจ้าชายที่แทบไม่มีหวังที่จะสืบบัลลังก์ หลี่เจี๋ยกลับได้เป็นฮ่องเต้อย่างงงๆ เขามีนามว่าถังเจาจง ผู้ที่จะถูกบันทึกในหน้าประวัติศาสตร์ว่าเป็นฮ่องเต้องค์รองสุดท้ายของต้าถัง
References:
- Old Book of Tang
- Zizhi Tongjian