ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด สมดุลแห่งอำนาจเป็นสิ่งที่เอื้อให้เกิดความสงบในราชวงศ์ของจีน แต่ถ้าสมดุลดังกล่าวถูกทำลาย ราชวงศ์ก็จะประสบกับปัญหาและความวุ่นวายไม่รู้จักจบสิ้น ในบางกรณีราชวงศ์ก็ถึงกับล่มสลายไปเลยทีเดียว
สำหรับในเคสของเจี่ยหนานเฟิงนั้น นางได้ทำลายผู้สร้างสมดุลของราชวงศ์จิ้นไปส่วนหนึ่งในตอนที่แล้ว (ย้อนอ่านได้จากลิงค์ด้านล่าง) นั่นก็คือซือหม่าเลี่ยง เชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่ได้รับการนับถือและเป็นผู้สำเร็จราชการที่ถูกต้องที่แต่งตั้งโดยจิ้นหวู่ตี้นั่นเอง
แต่นางก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น ความทะเยอทะยานของนางได้ผลักดันให้นางลงมือทำลายราชวงศ์จิ้นต่อไป
เจี่ยมี่
ในช่วงที่เจี่ยหนานเฟิงครองอำนาจสูงสุดนั้น อำนาจของนางได้ถูกแบ่งให้คนใกล้ชิดหลายคนของนางเป็นผู้จัดการ โดยแบ่งหลักๆได้เป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มที่ซื่อสัตย์ต่อราชวงศ์จิ้นนำโดยเจี่ยโม๋ที่ผมได้กล่าวถึงไปแล้ว ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มฉ้อฉลของเจี่ยมี่
เจี่ยมี่ผู้นี้มีศักดิ์เป็นหลานป้าของเจี่ยหนานเฟิง เขามีนิสัยไม่ต่างอะไรกับพวกกังฉิน เขาคบค้ากับพวกขุนนางกับบัณฑิตอย่างสือฉง (หนึ่งในตำนานแข่งความรวยของจีน) และใช้ชีวิตอย่างหรูหรา บ้านของเขาใหญ่ยิ่งกว่าพระราชวังหลวง และสาวสวยนับพัน ส่วนข้าวของในคลังก็งดงามตระการตายิ่งกว่าในท้องพระคลังเสียอีก
ตัวเจี่ยมี่นั้นมีนิสัยชอบปาร์ตี้ เขาชอบจัดงานเลี้ยงอย่างใหญ่โตที่บ้านและเชิญเพื่อนของเขาอย่างมากมาย โดยไม่สนใจความทุกข์ร้อนของประชาชนแต่อย่างใด อย่างไรก็ดีไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเจี่ยมี่นั้นเป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง คุณภาพงานเขียนและวรรณกรรมของเจี่ยมี่ได้รับการยกย่องอย่างสูงในยุคนั้น

ด้วยความที่เจี่ยมี่มีอิทธิพลมาก เพราะเขาสนิทสนมกับป้าของเขาอย่างเจี่ยหนานเฟิง ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าหาเจี่ยมี่เพื่อผลประโยชน์ของตน แม้กระทั่งเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็ตาม ในช่วงปี ค.ศ.296 ราชนิกูลของราชวงศ์จิ้นนามว่า ซือหม่าหลุนได้ปกครองดินแดนปกครองของเขาในส่านซีและกานสูอย่างย่ำแย่ ทำให้พวกชนเผ่าตีและเฉียงก่อกบฏ ตามกฎหมายแล้วเขาจะต้องถูกลงโทษ แต่กลับรอดตัวไปได้เพราะเจี่ยมี่ให้การช่วยเหลือโดยการใช้ connection ที่เขามีกับเจี่ยหนานเฟิง
อย่างไรก็ดีคนที่เจี่ยมี่และสมาชิกตระกูลเจี่ยเกลียดชังที่สุดก็คือ รัชทายาทซือหม่ายี่ว์ หลานรักจิ้นหวู่ตี้นั่นเอง สาเหตุนั้นมีอยู่ข้อเดียว นั่นก็คือซือหม่ายี่ว์เป็นโอรสคนเดียวของจิ้นฮุ่ยตี้ แต่กลับไม่ใช่ลูกของเจี่ยหนานเฟิงนั่นเอง
ความเกลียดชังนั้นทำให้เจี่ยมี่แสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมกับรัชทายาทอยู่บ่อยๆ ทำให้เชื้อพระวงศ์ระดับสูงทูลฟ้องต่อเจี่ยหนานเฟิง แต่เขาก็รอดตัวได้ทุกครั้ง เพราะเจี่ยหนานเฟิงคอยหนุนหลังเขาอยู่นั่นเอง หลังจากนั้นเมื่อซือหม่ายี่ว์เจอหน้าเจี่ยมี่ รัชทายาทผู้สูงศักดิ์กลับต้องเป็นฝ่ายเดินหลบไปอยู่เสมอ
กรณีรัชทายาท
สำหรับซือหม่ายี่ว์นั้น เมื่อเขาเติบโตขึ้นกลับไม่ได้ฉลาดเหมือนสุมาอี้อย่างที่จิ้นหวู่ตี้หวังไว้ ซือหม่ายี่ว์เป็นคนเกียจคร้านและมักจะโดดเรียนอยู่เสมอ โดยมากแล้วเขาจึงใช้เวลาไปกับการเล่นสนุกไปวันๆ ดังนั้นเจี่ยหนานเฟิงที่เกลียดชังซือหม่ายี่ว์เข้ากระดูกดำจึงเห็นว่าเข้าทาง นางจึงไม่ได้ห้ามรัชทายาทแต่อย่างใด เจตนาของนางคือให้เรื่องนี้ทำลายชื่อเสียงของรัชทายาทให้เละเทะไป
ไม่เพียงเท่านั้นเจี่ยหนานเฟิงยังแต่งตั้งให้เจี่ยมี่เป็นพระอาจารย์ให้กับรัชทายาทอีกด้วย แม้ว่าเจี่ยมี่จะเป็นคนมีความรู้สูง แต่เมื่อทั้งสองเกลียดชังกันเช่นนั้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการศึกษาของรัชทายาทจะยิ่งถอยหลังไปทุกที
จริงๆแล้วกัวหวาย มารดาของเจี่ยหนานเฟิงที่มีชื่อเสียงเรื่องหึงโหดนั้นเคยสั่งเจี่ยหนานเฟิงไว้ก่อนตายว่าให้เจี่ยหนานเฟิงดูแลซือหม่ายี่ว์เป็นเหมือนลูก และเสนอให้ซือหม่ายี่ว์แต่งงานกับน้องสาวของเจี่ยมี่ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายจะได้ดีขึ้น ซึ่งดูเหมือนว่าตัวซือหม่ายี่ว์เองก็ยอมรับได้กับข้อเสนอนี้เสียด้วย
แต่ทว่าความเกลียดชังกลับบดบังเจี่ยหนานเฟิงและสมาชิกในตระกูลเจี่ย ทำให้เจี่ยหนานเฟิงไม่ยอมทำตาม ในทางกลับกันนางได้ให้รัชทายาทและเจี่ยมี่แต่งงานกับบุตรสาวของหวางเยี่ยน ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ก็ไม่วายกลั่นแกล้งรัชทายาทอีก ด้วยการยกบุตรสาวคนที่สวยกว่าให้กับเจี่ยมี่ ส่วนรัชทายาทให้แต่งกับคนที่หน้าตาธรรมดา
ดังนั้นพฤติการณ์ลักษณะนี้ย่อมทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลงไปอีก เจี่ยมี่เองก็ใส่ไฟป้าของเขาทุกครั้ง เพราะต้องการให้เจี่ยหนานเฟิงกำจัดซือหม่ายี่ว์ไปให้พ้นหูพ้นตาเสียที
จนในที่สุดในปี ค.ศ.299 เจี่ยมี่เพ็ดทูลว่าถ้าในอนาคต ซือหม่ายี่ว์ได้เป็นฮ่องเต้ ตัวเขาและตระกูลเจี่ยคงจะพินาศ เขาจึงเสนอให้เจี่ยหนานเฟิงเลือกรัชทายาทคนใหม่ที่มีท่าทีอ่อนน้อมกว่าซือหม่ายี่ว์จะดีกว่า
ปรากฏว่าเจี่ยหนานเฟิงเห็นด้วย นางจึงริเริ่มใช้แผนชั่วให้การกำจัดซือหม่ายี่ว์ให้พ้นจากตำแหน่งรัชทายาท
วิธีการของเจี่ยหนานเฟิงไม่ต่างอะไรกับละครน้ำเน่าทั่วไป นั่นก็คือนางบังคับให้ซือหม่ายี่ว์ดื่มเหล้าจนเมา หลังจากนั้นก็ให้เขาเขียนร่างใส่ความตัวเองว่า เขาจงใจจะปลงพระชนม์จิ้นฮุ่ยตี้และเจี่ยหนานเฟิงเพื่อที่จะตั้งตนเป็นฮ่องเต้ ต่อมาก็นำหลักฐานปลอมที่ว่ามาประกาศต่อหน้าท้องพระโรงให้พวกขุนนางได้ดู
เจี่ยหนานเฟิงประกาศว่าซือหม่ายี่ว์มีโทษเป็นกบฏและควรได้รับโทษประหารชีวิต แต่พวกขุนนางผู้ใหญ่ช่วยกันทัดทาน ทำให้สุดท้ายเจี่ยหนานเฟิงจึงได้แค่ปลดซือหม่ายีว์ออกจากตำแหน่ง และลดยศศักดิ์เป็นสามัญชนเท่านั้น แต่นางก็ไม่วายฉวยโอกาสนี้สำเร็จโทษสนมเซี่ย มารดาของซือหม่ายี่ว์ที่นางริษยามาตลอดนับสิบปีอีกด้วย
การปลดรัชทายาททำให้ตำแหน่งดังกล่าวว่างลง ดังนั้นสมดุลแห่งอำนาจของราชวงศ์จิ้นที่เหลืออยู่เล็กน้อยจึงถูกทำลายสิ้น ว่ากันว่าในช่วงนี้เจี่ยหนานเฟิงพยายามสร้างภาพว่าตนเองตั้งครรภ์ลูกคนใหม่ แต่เมื่อครบกำหนดคลอดจะไปเอาลูกของน้องสาวเป็นลูกของตนเอง แล้วตั้งเป็นรัชทายาท
หากแต่ว่าแผนการของนางยังไม่ทันจะสำเร็จ เพราะมีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นเสียก่อน
หลงกลซือหม่าหลุนจนจบชีวิต
สิ่งที่เกิดขึ้นกับซือหม่ายี่ว์ทำให้ขุนนางผู้ใหญ่ตลอดจนประชาชนทั่วไปไม่พอใจเจี่ยหนานเฟิงอย่างหนัก พวกเขาต่างเห็นว่าทุกสิ่งในราชสำนักถูกเปลี่ยนจากดีเป็นชั่วไปเสียทั้งหมด ขุนนางหลายคนจึงต้องการหาใครก็ได้ที่จะมากวาดล้างความฉ้อฉลในราชสำนักไปเสียที
ผู้ที่เหล่าขุนนางเห็นว่าพอจะช่วยเหลือในการล้มเจี่ยหนานเฟิงและตระกูลเจี่ยได้ก็คือ ซือหม่าหลุน ผู้ที่เจี่ยมี่และเจี่ยหนานเฟิงช่วยเหลือให้พ้นราชภัยนั่นเอง
ซือหม่าหลุนผู้นี้เป็นลูกชายคนสุดท้องของสุมาอี้ ดังนั้นจึงเป็นน้องชายของซือหม่าเลี่ยงและมีความอาวุโสอยู่พอสมควร ซือหม่าหลุนนั้นเป็นคนมักใหญ่ใฝ่สูงและหวังที่จะเป็นฮ่องเต้ ด้วยเหตุนี้หลังจากที่รอดราชภัยมาได้ เขาจึงตีสนิทกับเจี่ยหนานเฟิงและเจี่ยมี่ โดยปรารถนาจะใช้คนทั้งสองเพื่อประโยชน์ของตน
ด้วยความที่เป็นผู้ปกครองดินแดนส่วนหนึ่ง ทำให้ซือหม่าหลุนมีกำลังทหารอยู่ในมือไม่น้อย และมีศักยภาพที่จะต่อกรกับทหารหลวงในเมืองหลวงลั่วหยางได้ พวกขุนนางจึงมาติดต่อกับซือหม่าหลุนอย่างลับๆ เพื่อขอให้ล้มตระกูลเจี่ย
ซือหม่าหลุนนั้นเห็นโอกาสทองก็ไม่ปฏิเสธ แต่คิดว่าในเมื่อตนก็อยากได้บัลลังก์ ดังนั้นทำไมไม่ยืมมือเจี่ยหนานเฟิงส่งซือหม่ายี่ว์ไปยังปรโลกเสียก่อน รัชทายาทที่ถูกต้องตามธรรมเนียมจะได้หมดไป นอกจากนี้ถ้าเจี่ยหนานเฟิงสังหารซือหม่ายี่ว์จริงๆ เขาจะได้ใช้เป็นข้ออ้างในการก่อรัฐประหารเพื่อล้มตระกูลเจี่ย
ด้วยเหตุนี้ซือหม่าหลุนจึงเข้าไปยุยงให้เจี่ยมี่และเจี่ยหนานเฟิงประหารชีวิตซือหม่ายี่ว์ ผลที่ตามมาคือทั้งสองหลงเชื่อและส่งคนไปสังหารซือหม่ายี่ว์ในช่วงปี ค.ศ.300
หลังจากมีข่าวว่ารัชทายาทสิ้นพระชนม์แล้ว ซือหม่าหลุนจึงปลอมพระบรมราชโองการจากจิ้นฮุ่ยตี้ว่าให้ตนเองกวาดล้างตระกูลเจี่ยเพราะฝ่ายหลังสังหารอดีตรัชทายาทโดยพลการ เหล่าขุนนางและเชื้อพระวงศ์ในท้องพระโรงไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะต้องสนับสนุนเต็มที่ ทหารของซือหม่าหลุนจึงเข้าจับกุมสมาชิกตระกูลเจี่ยมาประหารชีวิตทันที
ฝ่ายตระกูลเจี่ยนั้นไม่ระวังว่าซือหม่าหลุนจะแทงข้างหลังจึงไม่ได้ตั้งตัว เจี่ยมี่หนีไปถึงหอระฆังแต่สุดท้ายก็ถูกจับกุมมาประหารชีวิต ส่วนสมาชิกและพรรคพวกของตระกูลเจี่ยถูกประหารชีวิตจนหมดสิ้น เจี่ยหนานเฟิงก็ไม่รอดเช่นเดียวกัน นางถูกซือหม่าหลุนบังคับให้ฆ่าตัวตายด้วยการดื่มสุรายาพิษ เป็นอันปิดฉากหวงโฮ่วที่ทำลายโครงสร้างทางการเมืองของราชวงศ์จิ้นจนพินาศ
หลังจากนั้น
เมื่อสิ้นเจี่ยหนานเฟิงแล้ว ซือหม่าหลุนจึงปลดจิ้นฮุ่ยตี้ออกจากตำแหน่งและขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ แต่ก็นั่งบัลลังก์อยู่ได้แค่ไม่กี่เดือน เพราะสุดท้ายก็โดนราชนิกูลคนอื่นมาล้มล้าง ซือหม่าหลุนถูกประหารชีวิตพร้อมกับครอบครัวและพรรคพวกทั้งหมด
ด้วยความที่โครงสร้างของราชวงศ์พังพินาศไปแล้วเพราะเจี่ยหนานเฟิง เหล่าราชนิกูลจึงเข้าต่อสู้แย่งชิงอำนาจ หรือในหน้าประวัติศาสตร์เรียกว่าจลาจลหวางทั้งแปด (War of the Eight Princes หรือปาหวางจือล่วน)
ผลที่ตามมาคือเมืองหลวงและพื้นที่ภาคกลางที่เคยอุดมสมบูรณ์ได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราชวงศ์จิ้นเองก็อ่อนแอลงมาก เปิดโอกาสให้อนารยชนหรือพวกอู่หูเข้ามารุกราน แผ่นดินจีนต้องอยู่ในไฟสงครามไปอีกสามร้อยปี และแบ่งออกเป็นอาณาจักรเหนือใต้ จนกว่าราชวงศ์สุยจะรวบรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้อีกครั้ง
References:
- Book of Jin