ประวัติศาสตร์เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 3: อำนาจเบื้องหลังราชบัลลังก์

เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 3: อำนาจเบื้องหลังราชบัลลังก์

หลังจากที่เอาชนะศัตรูทางการเมืองคนแรกได้สำเร็จ (ย้อนอ่านได้จากลิงค์ล่างสุดของบทความ) อำนาจของเจี่ยหนานเฟิงก็ยิ่งทรงพลัง แต่ก็ไม่กล้าเข้ากุมอำนาจเบ็ดเสร็จ นางจำต้องทำตามประสงค์ของเหล่าขุนนางด้วยการเชิญซือหม่าเลี่ยงกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการร่วมกับเว่ยก้วน

ซือหม่าเลี่ยงผู้นี้เป็น บุตรชายคนที่ 4 ของสุมาอี้ ดังนั้นมีศักดิ์เป็นอาของจิ้นหวู่ตี้ และด้วยวัยวุฒิและคุณวุฒิ เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับสูงที่ได้รับการเคารพมากที่สุด แถมยังเป็นผู้ที่จิ้นหวู่ตี้ฝากฝังโอรสเอาไว้ก่อนสวรรคตด้วย

ส่วนเว่ยก้วนก็เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่จงรักภักดี ถึงขนาดที่ว่าจิ้นหวู่ตี้เคยจะขอลูกสาวของเขามาแต่งงานกับรัชทายาทมาแล้ว แต่ตระกูลเจี่ยกลับตัดหน้าไปด้วยขอให้หวางไทเฮาช่วยเหลือ เจี่ยหนานเฟิงถึงได้เป็นหวงโฮ่วนั่นเอง

เมื่อทั้งสองได้เป็นผู้สำเร็จราชการก็พยายามบริหารราชการแผ่นดินให้เป็นระเบียบ ซือหม่าเลี่ยงนั้นเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีก เขาจึงเลื่อนตำแหน่งให้กับเหล่าขุนนางและแม่ทัพโดยทั่วไปเพื่อเป็นการซื้อใจและปลอบประโลมพวกเขา ซึ่งปรากฏว่าได้ผลในระดับหนึ่ง

ขัดแย้งกับผู้สำเร็จราชการ

ในใจของเจี่ยหนานเฟิงผู้ทะเยอทะยานนั้น นางไม่เคยอยากให้อำนาจอยู่ในมือของซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วนอยู่แล้ว นางจึงพยายามใช้อิทธิพลที่มีอยู่ในการแทรกแซงทางการเมืองเพื่อให้พรรคพวกของนางได้ประโยชน์ ทำให้กระทบกระทั่งกับซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วนอยู่เนืองๆ

ปัญหาสำคัญที่สุดคือซือหม่าเว่ย หนึ่งในผู้สมรู้ร่วมคิดกับเจี่ยหนานเฟิงไม่ยอมสละอำนาจทางการทหาร ซือหม่าเว่ยผู้นี้เป็นคนอารมณ์ร้อนและนิยมความรุนแรงมาแต่เดิม

ดังนั้นการที่คนเช่นนี้กุมอำนาจทางทหารในเมืองหลวง (ลั่วหยาง) ราชสำนักจิ้นย่อมไม่มั่นคง เพราะว่าเหมือนกับมีดาบจี้ที่คอหอยอยู่ตลอดเวลา ผู้สำเร็จราชการจะทำอะไรก็เกรงว่าจะไปกระทบซือหม่าเว่ย

ด้วยเหตุนี้สองผู้สำเร็จราชการต่างพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อให้ซือหม่าเว่ยสละอำนาจดังกล่าวให้จงได้ และดูเหมือนว่าซือหม่าเว่ยกำลังจะเสียท่า เขาจึงส่งคนสนิทเข้าไปทูลความเท็จต่อเจี่ยหนานเฟิงว่าผู้สำเร็จราชการทั้งสองกำลังจะคิดเป็นกบฏ โดยอ้างว่าทั้งสองจะปลดจิ้นฮุ่ยตี้ออกจากตำแหน่งและตั้งคนอื่นเป็นฮ่องเต้แทน

สำหรับเจี่ยหนานเฟิงแล้ว คนอื่นจะเป็นฮ่องเต้ไม่ได้เป็นอันขาด มิหนำซ้ำเว่ยก้วนยังเป็นคนที่นางเกลียดชังด้วย เพราะเขาเคยทูลขอให้จิ้นหวู่ตี้เปลี่ยนรัชทายาท (จิ้นฮุ่ยตี้) เพราะเห็นว่าเขามีปัญหาด้านพัฒนาการทางสติปัญญา

ดังนั้นนางจึงให้จิ้นฮุ่ยตี้ออกพระบรมราชโองการสั่งให้ซือหม่าเว่ยนำกำลังไปถอดผู้สำเร็จราชการทั้งสองออกจากตำแหน่ง ทหารของซือหม่าเว่ยจึงเข้าล้อมบ้านของทั้งสองเอาไว้ ความขัดแย้งทางการเมืองครั้งที่สองจึงระเบิดขึ้นมาเป็นที่เรียบร้อย

แต่สิ่งที่ต่างจากครั้งแรกคือ ซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วนเลือกที่จะไม่ต่อสู้ แม้ว่าเหล่าทหารและขุนนางที่สนับสนุนทั้งสองจะเสนอให้ต่อสู้ก็ตาม ผลสุดท้ายทั้งซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วนจึงถูกลงอาญาประหารชีวิต

สำหรับเว่ยก้วนนั้น เขาถูกประหารชีวิตพร้อมกับสมาชิกครอบครัวที่เป็นชายแทบทั้งหมด แต่ซือหม่าเลี่ยงนั้นถูกประหารชีวิตพร้อมกับบุตรชายที่เป็นทายาทของเขาเท่านั้น (คนอื่นเป็นเชื้อพระวงศ์ ดังนั้นน่าจะรอดไปได้)

แต่ปัญหาคือไม่มีใครกล้าตัดศีรษะซือหม่าเลี่ยง เพราะพวกทหารและประชาชนทั่วไปต่างก็เคารพซือหม่าเลี่ยงมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเกิดจากการที่ซือหม่าเลี่ยงเคยช่วยเหลือแม่ทัพไว้คนหนึ่ง โดยอ้างว่าความผิดของแม่ทัพผู้นั้นคือความผิดของตนเอง ทำให้แม่ทัพผู้นั้นรอดตาย ส่วนซือหม่าเลี่ยงถูกถอดออกจากตำแหน่ง

เมื่อไม่มีใครกล้าลงมือ ซือหม่าเลี่ยงจึงต้องอยู่ในรถที่คุมขังอยู่เป็นวันๆ เมื่อเหล่าประชาชนเห็นซือหม่าเลี่ยงอิดโรยด้วยความร้อน พวกเขาจึงพากันนำพัดมาพัดให้เพื่อคลายความร้อน แถมพวกทหารก็ไม่ว่าอะไรเสียด้วย

ผ่านไปหลายวัน ซือหม่าเลี่ยงก็ยังไม่สิ้นชีวิต สุดท้ายซือหม่าเว่ยจึงต้องสั่งว่าใครกล้าตัดศีรษะซือหม่าเลี่ยงจะได้รางวัลเป็นผ้าไหมและของมีค่า ซือหม่าเลี่ยงจึงสิ้นชีวิตลงในที่สุด

กำจัดซือหม่าเว่ย

หลังจากที่ซือหม่าเลี่ยงสิ้นชีวิตไปหลายวัน เจี่ยหนานเฟิงจึงเริ่มตระหนักว่าการประหารชีวิตซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วนเป็นความผิดพลาด โดยเฉพาะในเคสของซือหม่าเลี่ยง

สาเหตุที่สำคัญที่สุดคือ เหล่าสมาชิกราชวงศ์ที่จิ้นหวู่ตี้ให้ควบคุมกำลังทหารนั้นต่างเคารพซือหม่าเลี่ยง ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดก่อกบฏและต่อต้าน แต่เมื่อซือหม่าเลี่ยงถูกนางสั่งประหารชีวิต นางจึงย่อมถูกสมาชิกราชวงศ์เหล่านี้เกลียดชัง และทุกคนต่างต้องการจะยกกำลังทหารมาเมืองหลวงเพื่อเหยียบนางให้จมดิน

นอกจากนี้การกำจัดทั้งสองออกไปทำให้ไม่มีใครถ่วงดุลอำนาจของซือหม่าเว่ย ดังนั้นซือหม่าเว่ยที่มีกำลังทหารจะกำจัดนางและตระกูลเจี่ยเสียเมื่อใดก็ได้ แถมอาจจะปลดฮ่องเต้แล้วขึ้นครองราชย์แทนเสียด้วย

ดังนั้นนางจึงคิดวิธีขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง นั่นก็คือนางจะโบ้ยความผิดทั้งหมดว่าเป็นของซือหม่าเว่ย ถ้าพิจารณาดูแล้ววิธีนี้ดีมาก เพราะจะเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เจี่ยหนานเฟิงจะได้ปัดภัยให้พ้นตัว (แสดงให้เห็นว่านางไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง) และยังได้กำจัดซือหม่าเว่ยอีกด้วย

ไม่กี่วันต่อมา เจี่ยหนานเฟิงสั่งให้คนของนางประกาศว่า ซือหม่าเว่ยปลอมแปลงพระบรมราชโองการที่ให้สังหารซือหม่าเลี่ยงและเว่ยก้วน ดังนั้นมีโทษประหารชีวิต

แม้ว่าจะคุมกำลังทหาร แต่ก็น่าแปลกที่ซือหม่าเว่ยถูกจับกุมตัวโดยไม่มีการต่อสู้ใดๆ เขาจึงถูกนำตัวไปตัดศีรษะทันที

ที่ลานประหาร ซือหม่าเว่ยพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาทำทุกอย่างตามคำสั่งของเจี่ยหนานเฟิง เหล่าผู้คุมต่างก็ทราบดีว่าเป็นเช่นนั้น และรู้สึกเห็นใจซือหม่าเว่ยไม่น้อย แต่สุดท้ายซือหม่าเว่ยก็ถูกประหารชีวิตอยู่ดี เช่นเดียวกับคนสนิทของเขาอีกเป็นจำนวนมาก

ว่ากันว่าประชาชนเมืองลั่วหยางเองก็สงสารซือหม่าเว่ยไม่ต่างกับซือหม่าเลี่ยง เพราะทุกคนรู้ดีว่าซือหม่าเว่ยเป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น และแม้ว่าซือหม่าเว่ยจะเป็นคนหัวร้อน แต่ก็เป็นคนใจกว้างกับผู้น้อยมาก่อน

เรืองอำนาจสูงสุด

หลังจากนั้นเจี่ยหนานเฟิงจึงขึ้นกุมอำนาจสูงสุดในราชสำนัก นางได้แต่งตั้งให้จางหัว ขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง และญาติของนางอีกสามคนอันประกอบด้วย เผยเหว่ย เจี่ยโม๋ และเจี่ยมี่คอยดูแลราชการแผ่นดิน

จางหัว เผยเหว่ย และเจี่ยโม๋เป็นขุนนางที่มีคุณธรรม และพยายามจะทำทุกวิถีทางให้ราชสำนักกลับมาเข้ารูปเข้ารอยโดยเร็วที่สุด แต่เจี่ยมี่นั้นตรงกันข้าม เพราะเป็นคนชอบฟุ่มเฟือยและวางก้าม รวมไปถึงชอบรับสินบนจำนวนมหาศาล และใช้อำนาจของตนไปในทางที่ผิด

ส่วนเจี่ยหนานเฟิงนั้นก็เป็นเหมือนเดิม นั่นก็คือชอบก้าวก่ายเรื่องการบริหารราชการแผ่นดิน ทำให้การสั่งการต่างๆ รวนเรไป ไม่เพียงเท่านั้นนางยังคบชู้กับชายมากหน้าหลายตา แต่พอผ่านไปสักพัก นางกลับกลัวว่าความจะแตก นางจึงส่งคนไปสังหารชายชู้เหล่านั้นเพื่อเป็นการปิดปาก

พฤติกรรมอันโหดร้ายของนางทำให้จางหัว เผยเหว่ย และเจี่ยโม๋ต่างเห็นว่าตัวการสร้างปัญหาในราชสำนักนั้นคือเจี่ยหนานเฟิงแต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าจะเป็นญาติกันก็ตาม เจี่ยโม๋และเผยเหว่ยเห็นตรงกันว่าเพื่อรักษาราชวงศ์เอาไว้จะต้องถอดเจี่ยหนานเฟิงออกจากตำแหน่งหวงโฮ่ว แต่ทั้งสามยังไม่ทันจะลงมือ เจี่ยโม๋ก็เสียชีวิตเสียก่อน

เมื่อเจี่ยโม๋จากไป จางหัวกับเผยเหว่ยก็ยากที่จะถ่วงดุลอิทธิพลของเจี่ยหนานเฟิงในราชสำนัก แถมเจี่ยมี่เองก็ไม่สนใจใยดีว่าราชสำนักจะเละเทะไปอีกขนาดไหน เพราะตัวเขาเองก็มักใหญ่ใฝ่สูง และอยากจะให้เจี่ยหนานเฟิงดันตนเองไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งนี้เองจะทำให้เจี่ยหนานเฟิงและตระกูลเจี่ยประสบกับหายนะ

เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

References:

  • Book of Jin

ย้อนอ่านตอนเก่า

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!