ประวัติศาสตร์มหากาพย์ราชวงศ์หลิวซ่ง ตอนที่ 3: นั่งบัลลังก์ฮ่องเต้แห่งแดนใต้

มหากาพย์ราชวงศ์หลิวซ่ง ตอนที่ 3: นั่งบัลลังก์ฮ่องเต้แห่งแดนใต้

จากตอนที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงว่าเหล่าราษฎรต่างสรรเสริญหลิวยี่ว์ไม่ต่างอะไรกับตอนที่ชาวโรมันสรรเสริญซีซาร์ที่มีชัยเหนือดินแดนกอล ถ้าเราลงลึกต่อไปแล้ว จะพบว่าช่วงชีวิตของหลิวยี่ว์และซีซาร์นั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง

อย่างแรก หลิวยี่ว์และซีซาร์ล้วนแต่เป็นแม่ทัพที่มีความสามารถ อย่างที่สอง ทั้งสองล้วนแต่ใช้ชัยชนะในการศึกในการสร้างความนิยมในหมู่ประชาชน และหวังจะใช้ความนิยมนั้นบรรลุเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ ซึ่งสำหรับหลิวยี่ว์นั้นคือการนั่งบัลลังก์มังกร ส่วนซีซาร์ก็คือการนั่งเป็นผู้เผด็จการแห่งโรม และอาจจะตั้งตนเป็นจักรพรรดิด้วย แต่ในเคสของซีซาร์นั้น เขาไม่ประสบความสำเร็จ เพราะถูกลอบสังหารเสียก่อน

ส่วนเคสของหลิวยี่ว์นั้นประสบผล สาเหตุที่ชะตาของเขาต่างกับซีซาร์คือ เขาไม่รีบร้อนหยิบลูกเกาลัดในกองเพลิง เขาใช้อำนาจในมือที่มีอยู่กำจัดศัตรูทางการเมืองจนราบคาบเสียก่อนที่จะชิงบัลลังก์

ในตอนนี้ เราจะมาดูกันครับ หลิวยี่ว์ขึ้นนั่งบัลลังก์ได้อย่างไร

เมืองหนานจิง by Joshua Davenport/ShutterStock

สร้างความดีความชอบ

หลังจากปราบกบฏซุนเอินจนราบคาบแล้ว หลิวยี่ว์สั่งให้กองทัพยกไปปราบรัฐซีสฉู่ (Western Shu) ที่ครอบครองดินแดนมณฑลเสฉวนและตั้งตนเป็นอิสระอยู่ ภายในการโจมตีเพียงครั้งเดียว กองทัพจิ้นก็ตีเมืองเฉิงตูอันเป็นเมืองหลวงแตก และผนวกดินแดนเสฉวนกลับเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของราชวงศ์จิ้นได้สำเร็จ

ต่อมาอีกสี่ปี หลิวยี่ว์ยกกองทัพขึ้นเหนือ โดยมีเป้าหมายคือราชวงศ์โฮ้วฉิน กองทัพจิ้นภายใต้การควบคุมของหลิวยี่ว์นั้นแข็งแกร่ง จนพวกอนารยชนไม่สามารถต้านทานได้ เมืองต่างๆ แม้กระทั่งลั่วหยางและฉางอานล้วนแต่เสียให้กับกองทัพจิ้นทั้งหมด

ลั่วหยางและฉางอานนั้นเป็นสองเมืองหลวงเดิมของราชวงศ์ฮั่นและจิ้น การตีเมืองเหล่านี้คืนมาได้จึงเป็นความดีความชอบอย่างสูงสุด ในขณะนั้นภาคเหนือเองก็เหลือแต่ราชวงศ์ของพวกอนารยชนที่ค่อนข้างอ่อนแอ ชาวจีนทั้งแผ่นดินจึงตั้งหน้าตั้งตารอกองทัพจิ้นขึ้นมาปลดปล่อยดินแดนที่เหลืออยู่ และรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง

เรื่องกลับเป็นว่าหลิวยี่ว์กลับยกกองทัพส่วนใหญ่กลับ ทิ้งให้เมืองสำคัญในภาคกลางและภาคเหนือที่ตีกลับมาได้อยู่ในการป้องกันของกองทัพจำนวนน้อย ท้ายที่สุดกองทัพพวกอนารยชนจึงตีฉางอานกลับคืนไปได้

การถอยทัพไปของหลิวยี่ว์นั้นเป็นการทิ้งโอกาสทองในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งไปอย่างไม่น่าเชื่อ เบื้องหลังของการถอยทัพนั้นเป็นปริศนา แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ที่เขาระแวงว่าศัตรูทางการเมืองจะเล่นงานเขาระหว่างที่ไม่อยู่เมืองหลวง แต่พงศาวดารเหมือนกับบอกใบ้ว่าหลิวยี่ว์จงใจถอยทัพกลับไปเพื่อชิงบัลลังก์

เตรียมตัวชิงบัลลังก์

หลิวยี่ว์ริเริ่มกำจัดศัตรูทางการเมืองเพื่อกรุยทางไปสู่การชิงบัลลังก์ตั้งแต่ปี ค.ศ.412 เป้าหมายของเขาคือพวกผู้ว่าราชการที่ครองเมืองใหญ่ๆ และเหล่าเชื้อพระวงศ์ ในปีนั้นเขาได้ลอบส่งกองทัพเข้ากำจัดหลิวยี่ที่เมืองจิงโจวโดยที่ไม่ทันตั้งตัว และกวาดล้างเชื้อพระวงศ์อย่างซือหม่าจางหมินที่อาจจะแข็งข้อกับตน

หลังจากนั้นหลิวยี่ว์ก็ทำแบบเดียวกัน นั่นคือใช้อำนาจของผู้สำเร็จราชการส่งกองทัพขนาดใหญ่ไปตีเมืองทันที โดยที่ศัตรูทางการเมืองของตนยังไม่ได้ทำความผิดใดๆ ภายในชั่วพริบตาทั้งแผ่นดินก็อยู่ใต้กำมือหลิวยี่ว์

หลายคนอาจจะสงสัยว่าไม่มีใครในราชสำนักคัดค้านวิธีการนี้ของหลิวยี่ว์เลยหรือ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งนี้ยากที่จะเกิดขึ้น เพราะหลิวยี่ว์ได้รับความนิยมอย่างสูงจากประชาชน แถมคนในราชสำนักก็ล้วนแต่เป็นคนของหลิวยี่ว์ แต่หลิวยี่ว์เองก็ไม่สามารถวางใจได้ เพราะเหตุการณ์อันไม่คาดคิดสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

ดังนั้นผมจึงมองว่าเป็นไปได้ที่หลิวยี่ว์น่าจะรู้สึกว่าตนเองจากเมืองหลวงมาทำศึกอย่างยาวนาน ฐานอำนาจใหม่อาจจะเกิดขึ้นมาต่อต้านเขาก็เป็นได้ หรืออีกนัยก็อาจจะเป็นไปได้ว่า การตีฉางอานและลั่วหยางได้ทำให้ความนิยมของเขาพุ่งถึงขีดสุด และน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะตั้งตนเป็นใหญ่เสียที

เมื่อกลับมาที่เจี้ยนคัง (นานกิง) หลิวยี่ว์ได้จิ้นอันตี้พระราชทานเครื่องราชเก้าสิ่งให้กับตน และสถาปนาตนขึ้นเป็นเจ้าในนามซ่งหวาง ซึ่งก็เป็นขั้นตอนสุดท้ายในการแย่งบัลลังก์ เหมือนกับที่โจผี ตระกูลสุมา ฯลฯ เคยทำมาตั้งแต่เก่าก่อน

อย่างไรก็ดีหลิวยี่ว์กลับไปได้ยินคำทำนายว่า ราชวงศ์จิ้นจะมีฮ่องเต้สืบต่อไปอีกสองพระองค์หลังจากชางหมิง ซึ่งคำว่าชางหมิงนี้เป็นสมญาของจักรพรรดิเสี้ยวหวู่ตี้ ซึ่งเป็นพระบิดาของจิ้นอันตี้ ดังนั้นเท่ากับว่าหลังจากจิ้นอันตี้แล้ว ราชวงศ์จิ้นจะมีฮ่องเต้อีกพระองค์หนึ่งแล้วถึงจะมีราชวงศ์ใหม่

ด้วยความที่เชื่อคำทำนาย หลิวยี่ว์ย่อมเกรงว่าถ้าฮ่องเต้มีอีกพระองค์หนึ่งจริงๆ ตนเองอาจจะไม่ได้เป็นฮ่องเต้ เพราะเขาก็อายุมากแล้วในขณะนั้น เพราะฉะนั้นทางออกของเขาก็คือการเร่งปลงพระชนม์จิ้นอันตี้เสีย หลังจากนั้นก็ตั้งฮ่องเต้หุ่นขึ้นมาแทนที่สักสองสามเดือน เพียงเท่านี้คำทำนายก็จะได้เป็นจริงภายในเวลาอันรวดเร็วที่สุด

อย่างไรก็ดีเพราะไม่ให้ภาพลักษณ์เสียหาย หลิวยี่ว์ไม่ยอมรับตำแหน่งซ่งหวาง แต่ดำรงตำแหน่งซ่งโหว (มีศักดินาของตนเองแต่ยังอยู่ในระดับสามัญชน) ไปพลางก่อน

ปลงพระชนม์ฮ่องเต้

หลิวยี่ว์จึงส่งให้คนในวังหลบปลงพระชนม์จิ้นอันตี้ด้วยการวางยาพิษ แต่ทุกครั้งล้วนแต่ล้มเหลวเพราะซือหม่าเต๋อเหวิน เชื้อพระวงศ์คนสนิทประทับกับฮ่องเต้ตลอดเวลา และคอยระวังภัยให้จิ้นอันตี้อยู่โดยตลอด ผ่านไปหลายเดือน จิ้นอันตี้ก็ยังไม่สวรรคตเสียที จนกระทั่งวันหนึ่ง

ซือหม่าเต๋อเหวินล้มป่วย (ไม่ทราบว่าเพราะโดนยาพิษหรือเป็นไปตามธรรมชาติ) และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน หลิวยี่ว์จึงฉวยโอกาสนี้สั่งให้พวกมือสังหารลงมือ ท้ายที่สุดจิ้นอันตี้จึงสวรรคตเพราะถูกมือสังหารใช้ผ้าแพรรัดคอ

หลังจากกำจัดจิ้นอันตี้ไปแล้ว หลิวยี่ว์จึงตั้งซือหม่าเต๋อเหวินเป็นฮ่องเต้นามว่าจิ้นกงตี้ พอผ่านไปไม่กี่เดือนก็บังคับให้สละราชสมบัติ จิ้นกงตี้ไม่สามารถขัดขืนได้ ดังนั้นหลิวยี่ว์จึงได้นั่งบัลลังก์มังกร โดยมีนามว่าซ่งหวู่ตี้ และสถาปนาราชวงศ์ซ่งขึ้น (นักประวัติศาสตร์เรียกว่าราชวงศ์หลิวซ่งเพื่อให้แตกต่างจากราชวงศ์ซ่งอีกราชวงศ์หนึ่งที่ครองแผ่นดินจีนนานกว่า)

ไม่มีใครทราบเลยว่า การนั่งบัลลังก์ของหลิวยี่ว์จะเป็นจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายและเละเทะอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในหน้าประวัติศาสตร์จีน

ย้อนอ่านตอนเก่า

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!