ในตอนที่แล้วการแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทจบลงเมื่อจิ้นหวางหลี่จื้อได้รับการแต่งตั้งเป็นรัชทายาท
หลี่จื้อเป็นบุตรชายของถังไท่จงและจ่างซุนหวงโฮ่ว หลี่จื้อเป็นคนอ่อนโยน กตัญญู เมตตา แต่หัวอ่อน ไม่เข้มแข็ง ปราศจากความเด็ดขาดและขี้เกียจ
พูดง่ายๆ คือเป็นคนดีแต่โง่
หลี่จื้อไม่ได้อยากจะขึ้นครองราชบัลลังก์และไม่เคยคิดด้วยว่าตนจะได้เป็นรัชทายาทนี้ เพราะมีพี่ชายอย่างหลี่เฉิงเฉียนและหลี่ไท่มีความสามารถมากกว่า แต่กลับแย่งชิงตำแหน่งกันเอง จนทำให้ตำแหน่งตกมาอยู่กับหลี่จื้ออย่างงงๆ
จะว่าไปผู้เขียนสงสารถังไท่จงอยู่ไม่น้อย เพราะถังไท่จงเป็นฮ่องเต้ระดับมหาราช แต่โอรสที่เกิดจากหวงโฮ่วที่ดีเหมือนกันกลับไม่มีคนใดที่ดีพร้อมเลย
ถังไท่จงรู้ว่าหลี่จื้อเป็นไก่อ่อน เขาจึงให้คณะขุนนางและที่ปรึกษาติวเข้มหลี่จื้อเป็นการใหญ่ เพื่อให้หลี่จื้อมีความรู้ความสามารถมากขึ้น
แต่หลี่จื้อกลับไม่ได้สนใจการศึกษาเล่าเรียนมากนัก ทั้งๆที่ตนเองอายุมากกว่า 20 ปีแล้ว ถังไท่จงจึงเห็นว่าลูกชายคนนี้ไม่เหมาะจะเป็นรัชทายาทเช่นกัน
สายตาของถังไท่จงเริ่มมองไปยังหลี่เค่อ บุตรชายอีกคนที่เกิดจากพระสนมหยาง ธิดาของสุยหยางตี้ หลี่เค่อมีความสามารถทั้งบุ๋นบู๊ ดังนั้นจึงเหมาะเป็นรัชทายาทมากกว่าหลี่เค่อ
หากแต่ว่าจ่างซุนหวู่จี้กลับทัดทานอย่างมากมาย อนึ่งถ้าหลี่เค่อขึ้นครองราชย์ ตัวเขาเองจะไม่ได้เป็นญาติของฮ่องเต้อีกต่อไป แต่ถ้าหลี่จื้อขึ้นครองราชย์ ตัวเขาจะยังคงเป็นลุงของฮ่องเต้
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าจ่างซุนหวู่จี้จะชักแม่น้ำทั้งห้ามาทัดทานถังไท่จงอย่างสุดกำลัง สุดท้ายแนวคิดนี้จึงตกไป
โปรยเสน่ห์
สำหรับหวู่เหม่ยเหนียงนั้น สถานการณ์ของนางไม่ดีนักเพราะถังไท่จงป่วยหนักขึ้นทุกวัน ถ้าถังไท่จงสวรรคต นางจำต้องไปบวชเป็นชีจนสิ้นชีวิต เนื่องจากนางเป็นสนมของถังไท่จงและไม่มีบุตรกับพระองค์
ถ้าเป็นเช่นนั้น โอกาสที่นางจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินจะเป็นศูนย์ หวู่เหม่ยเหนียงจำต้องทำให้รัชทายาทลุ่มหลงให้ได้ แม้ว่าจะเสี่ยงโดนลงโทษสถานหนักก็ตาม
วันหนึ่งโอกาสของนางก็มาถึง
เนื่องจากร่างกายของถังไท่จงย่ำแย่ลง หลี่จื้อจึงต้องเข้ามาดูแลบิดาของตนเองบ่อยๆ นั่นเป็นโอกาสของหวู่เหม่ยเหนียงในการโปรยเสน่ห์
สำหรับหลี่จื้อแล้ว เขาเป็นไก่อ่อนในเรื่องอื่นๆ แต่ในเรื่องผู้หญิงแล้ว เขาเป็นเสือ ตอนนั้นหลี่จื้ออายุประมาณ 22-23 ปี แต่มีลูกกับชายาเอกและสนมแล้วถึง 4 คน
ส่วนหวู่เหม่ยเหนียงเล่าก็เป็นหญิงสาววัย 26-27 ปีแล้ว และอยู่ในวังมาแล้วถึง 12 ปี การจะเหนียมอายจึงไม่มีแล้ว หวู่เหม่ยเหนียงเองก็รู้ว่าถ้าเหนียมอายทุกอย่างจะจบลง
นางรู้ดีว่านางจะโปรยเสน่ห์ใส่หลี่จื้อตรงๆ ไม่ได้ ถ้าทำไปนางอาจจะโดนจับขังไว้ในตำหนักมืด ทุกอย่างที่นางเพียรทำจะล้มเหลวทันที
หวู่เหม่ยเหนียงฉวยโอกาสที่หลี่จื้อเข้ามาเฝ้าบิดา และทุกคนจดจ่ออยู่กับอาการป่วยของฮ่องเต้ โปรยเสน่ห์ใส่หลี่จื้อ ตัวหลี่จื้อเองเป็นเสืออยู่แล้ว เขาจึงไม่ปฏิเสธการยั่วยวนของหวู่เหม่ยเหนียงและตอบรับไมตรีของนาง
หลังจากนั้นมาหลี่จื้อก็ลอบเป็นชู้กับหวู่เหม่ยเหนียงกันอย่างลับๆ ทั้งสองไปอยู่ในที่ลับตาคนและหาความสุขกันอย่างเงียบๆ
จริงๆแล้วการกระทำเช่นนี้ละเมิดกฎมณเฑียรบาลอย่างแรงไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนๆ และต้องโทษอย่างหนักเช่นเดียวกับ เจ้าฟ้ากุ้ง ในสมัยอยุธยา
หลี่จื้อคงไม่แคล้วโดนถอดจากตำแหน่งรัชทายาทเป็นอย่างน้อย ส่วนหวู่เหม่ยเหนียงอาจจะโดนจับขังในตำหนักมืดไปจนสิ้นชีวิต
แต่สุดท้ายไม่มีชาววังคนใดใครจับสองคนนี้ได้ หรือถ้าจับได้ก็ปิดปากเงียบกันหมด ทุกคนรู้ดีว่าหลี่จื้อเป็นรัชทายาทที่จะขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปในไม่ช้า
การจากไปของถังไท่จง
ในปี ค.ศ 649 ถังไท่จงป่วยเป็นโรคบิดอย่างรุนแรง ถังไท่จงคาดว่าตนเองไม่รอดแล้วจึงสั่งให้หลี่จื้อและพระชายาหวาง (ชายาเอกของหลี่จื้อ)เข้าเฝ้าพร้อมกับขุนนางทุกคนในราชสำนัก
ถังไท่จงสั่งให้จ่างซุนหวู่จี้ ฉู่ซุ่ยเหลียง และขุนนางอื่นๆ ดูแลหลี่จื้อและชายาหวางให้ดีจนกว่าทั้งสองจะปกครองแผ่นดินด้วยตนเองได้ พวกขุนนางต่างรับพระบรมราชโองการด้วยน้ำตา คนเหล่านี้รับใช้ถังไท่จงมาเกือบ 40 ปีและเป็นกำลังสำคัญในการสร้างราชวงศ์ถังขึ้นมา
ตามธรรมเนียมจีนโดยทั่วไป หลี่จื้อที่บรรลุนิติภาวะแล้วสามารถว่าราชการด้วยตนเองได้ แต่ถังไท่จงกลับให้ขุนนางคอยช่วยเหลือเขาแสดงให้เห็นว่าถังไท่จงคิดว่าลูกชายคนนี้เป็นไก่อ่อน ทำอะไรด้วยตนเองคงจะไม่รอด
ตำนานเล่าว่าถังไท่จงสั่งให้หวู่เหม่ยเหนียงมาเข้าเฝ้าเป็นการลับด้วยและไต่ถามนางว่า
เมื่อเรา (เจิ้น) จากไปแล้ว เจ้าจะทำเช่นไร
ทั้งนี้คำว่าเจิ้น (朕) เป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 ที่ใช้กันโดยทั่วไปในยุคก่อนรวมแผ่นดิน แต่หลังจากฉินสื่อหวงตี้ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้สถาปนาตนเองเป็นฮ่องเต้หรือหวงตี้ ฉินสื่อหวงตี้ได้สั่งให้สงวนสรรพนามนี้ไว้ให้ฮ่องเต้ หรือจักรพรรดิใช้เท่านั้น ธรรมเนียมนี้ได้สืบต่อมาจนสิ้นยุคราชวงศ์
หวู่เหม่ยเหนียงตอบพระองค์ว่า นางจะไปบวชเป็นชีอยู่ที่วัดตามธรรมเนียม สวดมนต์ให้ดวงวิญญาณของพระองค์
คำกล่าวของนางทำให้ถังไท่จงสบายใจขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ถังไท่จงระแวงหวู่เหม่ยเหนียงมากว่านางจะก่อเรื่องหลังจากที่ตนเองจากโลกนี้ไปแล้ว
ถังไท่จงไม่ทราบเลยว่าฟ้าได้กำหนดทุกสิ่งไว้แล้วว่าหวู่เหม่ยเหนียง หรือ บูเช็คเทียนจะต้องเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้
หลังจากนั้นไม่นาน ถังไท่จง จักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังก็สวรรคต ด้วยอายุเพียง 51 ปี
ไปอยู่วัด
ตามธรรมเนียมแล้ว หวู่เหม่ยเหนียงต้องย้ายออกไปอยู่วัดตราบจนสิ้นชีวิตเพราะนางเป็นสนมที่ไม่มีบุตรกับฮ่องเต้ที่เพิ่งจะจากไป
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ถังไท่จงจะสวรรคตเล็กน้อย นางได้แอบพบกับหลี่จื้อ ชู้รักของนางอีกครั้งหนึ่ง
นางถามหลี่จื้อว่าเขาจะทำเช่นไรกับความรักของทั้งสอง เพราะหวู่เหม่ยเหนียงรู้ชะตาของตนเองดีอยู่แล้วว่าจะต้องไปเป็นแม่ชีอยู่ที่วัดตลอดชีวิต
หลี่จื้อตอบว่า ถ้าตนได้ขึ้นครองราชย์จะแต่งตั้งหวู่เหม่ยเหนียงเป็นหวงโฮ่ว หลังจากนั้นหลี่จื้อได้มอบกำไลหยกให้กับหวู่เหม่ยเหนียงไว้อันหนึ่งเป็นตัวแทนของคำสัญญาที่ให้ไว้กับนาง หวู่เหม่ยเหนียงจึงหวังว่านางคงจะอยู่วัดไม่นาน ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ก็จะมารับนางเข้าวัง
หลังจากที่พระศพถังไท่จงฮ่องเต้ถูกฝังตามธรรมเนียมเรียบร้อยแล้ว หลี่จื้อขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้นามว่า ถังเกาจงส่วนหวู่เหม่ยเหนียงต้องเดินทางไปวัดก่านเย่สื้อเหมือนกับนางสนมคนอื่นๆ นางปลงผมแล้วบวชเป็นชีอยู่ในวัดนั้น
สามวันจากนารีเป็นอื่น
การจะตั้งหวู่เหม่ยเหนียงเป็นหวงโฮ่วไม่ใช่เรื่องง่าย ตำแหน่งหวงโฮ่วไม่ใช่ว่าฮ่องเต้จะแต่งตั้งผู้หญิงที่ตนเองรักเป็นหวงโฮ่วได้ตามใจชอบ
ตำแหน่งหวงโฮ่วมีนัยสำคัญทางการเมือง ตระกูลชนชั้นสูงมากมายล้วนต้องการให้หญิงจากตระกูลของตนเป็นหวงโฮ่ว เพื่อที่จะได้มาซึ่งลาภยศและอำนาจ
การที่หลี่จื้อจะแต่งตั้งหวู่เหม่ยเหนียงเป็นหวงโฮ่วจึงเป็นไปได้ยากมาก เพราะหวู่เหม่ยเหนียงมีสถานะเป็นเพียงชู้รัก หลี่จื้อเองมีภรรยาเอกเป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว นั่นคือพระชายาหวางที่ถังไท่จงฝากฝังให้ขุนนางช่วยกันดูแลควบคู่กับหลี่จื้อ พวกขุนนางย่อมสนับสนุนพระชายาหวางอย่างสุดกำลัง หลี่จื้อย่อมไม่สามารถขัดพวกขุนนางได้
คำพูดของหลี่จื้อจึงเป็นคำพูดลอยๆ ของ “เสือ” ที่ใช้หลอกสาวไปวันๆ เท่านั้น ไม่แปลกอะไรที่หลังจากหลี่จื้อขึ้นครองราชย์เป็นถังเกาจงแล้ว ถังเกาจงได้แต่งตั้งพระชายาหวางเป็นหวงโฮ่ว
แม้ถังเกาจงจะไม่ฉลาดและขี้เกียจด้วย แต่เมื่อเป็นฮ่องเต้แล้ว เขาเชื่อฟังคำแนะนำของจ่างซุนหวู่จี้ และ ฉู่ซุ่ยเหลียง ทำให้ราชวงศ์ถังยังรุ่งเรืองเหมือนกับสมัยที่ถังไท่จงยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่
แต่เอาเข้าจริง ถังเกาจงที่เชื่อขุนนางไปทั้งหมดก็ไม่ต่างอะไรกับการนั่งเป็นหุ่นยนต์และคอยประทับตราเอกสารที่ทั้งสองส่งขึ้นมาเท่านั้นเอง การบริหารราชการจึงไม่ได้ทำให้ถังเกาจงเหนื่อยล้าสักเท่าใดนัก ถังเกาจงจึงมีเวลาและกำลังในการแสวงหาความสุขกับเหล่าสาวงามในวังที่มีอยู่มากหน้าหลายตา ยศศักดิ์ฝ่ายในสมัยถังมีดังต่อไปนี้
- หวงโฮ่ว (皇后) พระมเหสีเอก/จักรพรรดินี
- กุ้ยเฟย (貴妃) พระอัครเทวี
- ซูเฟย (淑妃)
- เต๋อเฟย (德妃)
- เซียนเฟย (賢妃)
ตำแหน่ง 2-4 นี้เป็นตำแหน่งพระสนมระดับสูง หรือถ้าแบบไทยคงเป็นพระภรรยาเจ้า หลังจากนั้นยังมีตำแหน่งลดหลั่นไปอีกดังต่อไปนี้
- จาวหยี (昭儀) เจ้าคุณพระ
- จาวหรง (昭容) เจ้าจอม
- จาวหยวน (昭媛)
- ซิวหยี (修儀)
- ซิวหยง (修容)
- ซิวหยวน (修媛)
- ซงหยี (充儀)
- ซงหรง (充容)
- ซงหยวน (充媛)
ต่ำลงไปยังมีอีก 27 คนได้แก่ เจี้ยห่าว (婕妤) 9 คน เหม่ยเหยิน (美人) 9 คน และ ไฉเหยิน (才人) ซึ่งเป็นตำแหน่งเดิมของหวู่เหม่ยเหนียง) อีก 9 คน
สาวงามในวังจึงมีไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเธอเป็นสตรีหน้าใหม่ทั้งสิ้น เพราะสนมเก่าๆของฮ่องเต้องค์ก่อนโดนอัปเปหิไปที่อยู่วัดก่านเย่สื้อหมดแล้ว
ดังนั้นไม่แปลกที่ถังเกาจงที่ยังหนุ่มแน่น หรืออายุ 22-23 ปีจะ “ได้ใหม่ลืมเก่า” เพราะสาวสนมคงสวยน่ารักไม่แพ้หวู่เหม่ยเหนียงที่อายุ 27 แล้ว
ผู้ที่ถังเกาจงโปรดปรานมากที่สุดก็คือสนมเซียว ถังเกาจงโปรดปรานนางอย่างไม่ลืมหูลืมตาเลยทีเดียว จนหวางหวงโฮ่วอิจฉาริษยา
การที่ถังเกาจงหลงสนมเซียวทำให้เขาลืมทุกสิ่งเกี่ยวกับหวู่เหม่ยเหนียง ถังเกาจงลืมว่านางรออยู่ที่วัดก่านเย่สื้อทุกวัน
หวู่เหม่ยเหนียงไปเวลาไปกับการกวาดลานวัดเพื่อรอเวลาที่ถังเกาจงจะพานางกลับเข้าวังตามสัญญา แต่ผ่านไปปีนึงแล้วทุกอย่างกลับเงียบหายไปอย่างไร้วี่แวว
หวู่เหม่ยเหนียงจึงแอบไปร้องไห้ไม่ให้ผู้ใดเห็นแทบทุกวัน
เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ