ประวัติศาสตร์จูโหย่วหลาง หรือ จักรพรรดิหย่งลี่ ผู้หนีตายไปยังอาณาจักรพม่า

จูโหย่วหลาง หรือ จักรพรรดิหย่งลี่ ผู้หนีตายไปยังอาณาจักรพม่า

ในช่วงที่ราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูเข้าแผ่นดินจีนได้สำเร็จเพราะการทรยศของอู๋ซานกุ้ยนั้น ขุนนางและเชื้อพระวงศ์หมิงพยายามจับอาวุธขึ้นต่อสู้ จูโหย่วหลาง (Zhu Youlang) ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นกุ้ยหวางก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ชายผู้นี้จะต่างกับคนอื่นเสียหน่อย เพราะว่าเขาได้หนีตายไปยังในดินแดนของประเทศพม่า หรือว่าเมียนมาร์ในปัจจุบัน และได้ก่อเรื่องอีกมากมายอีกด้วย

ชีวิตของเขาเป็นอย่างไรกันแน่ เราไปดูกันเลยครับ

ชีวิตที่ต้องหนีตาย

ในปี ค.ศ.1644 ราชวงศ์หมิงสูญสิ้นหลังจากที่กองทัพกบฏของหลี่จื้อเฉิงได้เข้าประชิดกรุงปักกิ่ง ทำให้จักรพรรดิฉงเจินปลงพระชนม์พระองค์เอง เหล่าเชื้อพระวงศ์หมิงที่หลงเหลือช่องทางจึงเร่งหลบหนีไปยังดินแดนแห่งอื่นๆ เพื่อต่อชีวิตของราชวงศ์ต่อไป

จูโหย่วหวังผู้ดำรงตำแหน่งเป็นกุ้ยหวังก็เป็นหนึ่งในนั้น แม้ว่าตนเองจะเป็นเชื้อพระวงศ์ระดับกลางค่อนไปทางล่างก็ตาม จูโหย่วหวังได้หลบหนีลงใต้และอยู่ในอำนาจของจักรพรรดิแห่งราชวงศ์หมิงใต้ที่พวกขุนนางสถาปนาขึ้นอย่างจักรพรรดิหงกวง (Hongguang Emperor)

อย่างไรก็ดีกองทัพแมนจูได้เข้าด่านและตีกองทัพกบฏแตก หลังจากนั้นก็ยกพลลงใต้เพื่อบดขยี้อำนาจรัฐของราชวงศ์หมิงใต้ให้จบสิ้น ราชวงศ์ชิงจะได้ครองแผ่นดินจีนแต่เพียงหนึ่งเดียว พวกขุนนางหมิงตลอดจนประชาชนทั่วไปต่างต่อสู้อย่างเข้มแข็ง แต่เหลือกำลังที่จะต้านกองทัพชิงที่เก่งกาจ จักรพรรดิหงกวงได้ถูกจับกุมและประหารชีวิตโดยกองทัพแมนจู

หลังจากนั้นพวกขุนนางที่เหลือรอดมาก็ได้พยายามสถาปนาราชวงศ์ขึ้นมาใหม่ด้วยการยกจักรพรรดิพระองค์ใหม่ขึ้นครองบัลลังก์ในนามจักรพรรดิหลงหวู่ แต่ก็ไม่แคล้วเผชิญกับชะตากรรมเหมือนกับจักรพรรดิหงกวง นั่นคือเมืองที่อยู่อำนาจถูกกองทัพแมนจูตีแตก ส่วนตัวจักรพรรดิก็ถูกจับกุมและสำเร็จโทษ

เมื่อเชื้อพระวงศ์ระดับสูงหมดไป ท้ายที่สุดจึงเหลือแต่จูโหย่วหวังที่พอจะมีสิทธิ์ในการครองบัลลังก์ เพราะตัวเขาก็เป็นหลานปู่ของจักรพรรดิว่านหลี่แห่งราชวงศ์หมิง ดังนั้นพวกขุนนางจึงยกจูโหย่วหวังขึ้นครองบัลลังก์ในนามจักรพรรดิหย่งลี่ ขณะเดียวกันขุนนางอีกกลุ่มหนึ่งก็ยกเชื้อพระวงศ์อีกคนหนึ่งขึ้นครองบัลลังก์หมิงเหมือนกันในนามจักรพรรดิเซ่าหวู่

แทนที่ทั้งสองจักรพรรดิจะร่วมมือกันต่อต้านแมนจู แต่กลับทำสงครามแย่งตำแหน่งฮ่องเต้กัน ผลสุดท้ายกองทัพแมนจูจึงเข้าทำลายดินแดนของจักรพรรดิเซ่าหวู่ก่อน และยกทัพมายังกว่างโจว ซึ่งจูโหย่วหวังหรือจักรพรรดิหย่งลี่ใช้เป็นฐานที่มั่น

ในเวลานั้นดินแดนที่อยู่ในอาณัติของราชวงศ์หมิงเหลือแค่กว่างโจวบางส่วน กุ้ยโจวบางส่วน เจียงซีและหูหนานบางส่วน กว่างซี และยูนนาน (อวิ๋นหนาน) เท่านั้น ส่วนดินแดนอื่นๆ อยู่ในการครอบครองของกองทัพแมนจู ดังนั้นแม้แต่พระเจ้าก็ช่วยจักรพรรดิหย่งลี่ไม่ได้ กองทัพแมนจูรุกคืบเข้ามาใกล้พระองค์ทุกที ท้ายที่สุดจักรพรรดิหย่งลี่จึงต้องหนีไปตั้งหลักตามที่ต่างๆ แม้ว่าบางช่วงจะมีช่วงที่กองทัพหมิงมีชัยได้บ้าง แต่ก็เป็นเพียงช่วงสั้นๆ ที่ไม่ได้เปลี่ยนชะตากรรมของราชวงศ์แต่อย่างใด

ช่วงปี ค.ศ.1658 จักรพรรดิหย่งลี่หนีมาถึงเมืองคุนหมิงที่ตั้งอยู่ในมณฑลยูนนานทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ซึ่งจากตรงนี้นั้นไม่มีแผ่นดินจีนอีกแล้ว กองทัพแมนจูได้บีบเข้ามาจากทุกด้าน และเข้าใกล้เมืองคุนหมิงทุกที แต่จักรพรรดิหย่งลี่ตัดสินพระทัยว่าจะไม่ยอมแพ้ และไม่ยอมสู้ตายกับพวกแมนจูด้วย พระองค์ทรงหลบหนีลงใต้ไปยังดินแดนพม่า โดยเสี่ยงชีวิตผ่านป่าสูงอันหนาแน่นเข้าไป

ชีวิตในพม่า

ในเวลานั้นพม่าอยู่ในการปกครองของราชวงศ์ตองอู ราชวงศ์ของบุเรงนอง แต่อยู่ในช่วงหลังจากที่พระเจ้าอนัคเปตลุนฟื้นฟูอาณาจักร ดังนั้นจะไม่ได้เข้มแข็งเหมือนกับในอดีต กษัตริย์ที่ปกครองอยู่คือพระเจ้าพินดาเล (Pindale) ที่เพิ่งครองราชย์ได้ไม่นานนัก ฐานอำนาจของพระองค์จึงไม่ค่อยมั่นคง พระองค์เองก็ไม่ได้เก่งกาจด้านใดเป็นพิเศษ แต่ก็เป็นคนมีความเมตตาระดับหนึ่ง เมื่อจักรพรรดิหย่งลี่มาขออาศัย พระองค์ก็ทรงอนุญาต แม้ว่าจะสุ่มเสี่ยงต่อการคุกคามของราชวงศ์ชิงก็ตาม

เมืองอังวะ Image by Martine Auvray from Pixabay

จักรพรรดิหย่งลี่จึงได้ไปอยู่ที่เมืองสะแกง (Sagaing) แต่ไม่ได้ทำตนว่าเป็นผู้อาศัยแต่อย่างใด จักรพรรดิหย่งลี่ว่าราชการที่เมืองสะแกงราวกับว่าเป็นจักรพรรดิผู้หนึ่งเลยทีเดียว

ผ่านไปไม่นานกองทัพแมนจูก็ได้ตามจักรพรรดิหย่งลี่เข้ามา และได้ตีเมืองพม่า พร้อมกับสังหารชาวพม่าล้มตายจำนวนมาก กองทัพแมนจูถึงกับเข้าตีกรุงอังวะอันเป็นเมืองหลวงด้วย แต่มีกองทหารโปรตุเกสอยู่ที่เมืองอังวะ พวกเขาจึงระดมยิงกองทัพแมนจูจนล้มตายมากมาย สุดท้ายพอกองทัพแมนจูหมดเสบียงก็ถอยไป

แม้ว่ากองทัพแมนจูจะถอยไปแล้ว แต่พม่าได้รับความสูญเสียอย่างมาก ประชาชนล้วนแต่อดอยากเพราะนาข้าวถูกทำลายสิ้น ชาวพม่าจึงโกรธแค้นทั้งจักรพรรดิหย่งลี่ที่ชักนำภัยมาให้ และพระเจ้าพินดาเลเองด้วยที่พยายามหากำไรด้วยการขายข้าวในท้องพระคลังราคาแพงๆ

ในช่วงเวลานี้เองพระเจ้าแปรที่มีศักดิ์เป็นพระอนุชาก็ได้ก่อรัฐประหารสำเร็จ พระเจ้าพินดาเลถูกนำไปสำเร็จโทษด้วยการถ่วงน้ำเช่นเดียวกับครอบครัวของพระองค์

ต่อสู้กับผู้ให้ที่อาศัย

พระเจ้าแปรที่ขึ้นครองราชย์ใหม่นั้นไม่ไว้ใจจักรพรรดิหย่งลี่ ส่วนหนึ่งก็เพราะจักรพรรดิหย่งลี่ได้กระทำตนเหมือนกับว่าเป็นเจ้าของแผ่นดินเสียเอง ดังนั้นพระองค์จึงต้องการแยกจักรพรรดิหย่งลี่จากขุนนางของพระองค์เสีย

แผนการของพระเจ้าแปรก็คือ พระองค์จะให้จัดพิธีน้ำพิพัฒน์สัตยา โดยจะให้ขุนนางจีนเข้าร่วมพิธีทั้งหมด หลังจากนั้นจะให้ไปดำรงตำแหน่งที่อื่น เพียงเท่านี้ทุกอย่างก็เรียบร้อย

แต่แผนที่วางไว้อย่างดีกลับล้มเหลวไม่เป็นท่า เพราะเมื่องานจัดขึ้นที่เจดีย์แห่งหนึ่งนั้น จักรพรรดิหย่งลี่และพวกขุนนางจีนต่างตื่นตระหนกว่าจะถูกลวงมาสังหาร ต่างคนจึงเข้าแย่งอาวุธ พระเจ้าแปรไม่มีทางเลือกอื่นจึงต้องสั่งให้สังหารพวกขุนนางจีนทั้งหมด ท้ายที่สุดจึงเหลือแค่จักรพรรดิหย่งลี่และเชื้อพระวงศ์อีกไม่กี่คนเท่านั้นในเมืองพม่า

ระหว่างที่พระเจ้าแปรกำลังดำริว่าจะทำอย่างไรกับจักรพรรดิหย่งลี่ดี กองทัพแมนจูของอู๋ซานกุ้ยได้ยกเข้ามาในแผ่นดินพม่า แต่มาด้วยท่าทีเป็นมิตรกว่าแต่ก่อน อู๋ซานกุ้ยให้คนส่งสาส์นไปแจ้งว่าตนเองไม่ต้องการรบกับพม่า เพียงแค่พระเจ้าแปรยอมส่งจักรพรรดิหย่งลี่ให้ ตนจะถอยกองทัพไปทันที

เงื่อนไขของอู๋ซานกุ้ยนั้นเป็นสิ่งที่พระเจ้าแปรทรงต้องการอยู่แล้ว เพราะจักรพรรดิหย่งลี่เปรียบเหมือนกับเนื่อร้ายที่สร้างปัญหา และนำความวุ่นวายมาไม่รู้จักจบสิ้น ดังนั้นพระองค์จึงมอบตัวจักรพรรดิหย่งลี่และเชื้อพระวงศ์หมิงให้กับอู๋ซานกุ้ย ซึ่งอู๋ซานกุ้ยก็ตามทำที่สัญญาไว้ ด้วยการถอนกำลังไปทันที

ในน้ำมืออู๋ซานกุ้ย

อู๋ซานกุ้ยได้นำตัวจักรพรรดิหย่งลี่ไปที่ยูนนาน และได้รัดคอพระองค์จนสวรรคตด้วยตนเอง ว่ากันว่าก่อนที่จักรพรรดิหย่งลี่จะล่วงลับ พระองค์ได้ด่าว่าอู๋ซานกุ้ยอย่างมากมายว่าเป็นคนทรยศ (ซึ่งก็เป็นความจริง) การสวรรคตของพระองค์ทำให้ราชวงศ์หมิงจบสิ้นอย่างเป็นทางการ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!