ท่านที่อ่านสามก๊กคงจะทราบเป็นอย่างดีว่า ในบั้นปลาย สุมาเอี๋ยน หรือ ซือหม่าเยียน เป็นผู้ชนะแห่งสามก๊ก เขาบีบให้โจฮวน ฮ่องเต้แห่งวุยก๊กสละราชสมบัติให้กับตน ต่อให้ก็ให้แม่ทัพนำกองทัพไปตีง่อก๊กจนล่มสลาย ทำให้แผ่นดินสามก๊กรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งหนึ่ง
นวนิยายสามก๊กปิดฉากลงตรงที่การล่มสลายของง่อก๊ก (จ๊กก๊กได้ล่มสลายไปก่อนหน้านั้นแล้ว) แต่ทราบหรือไม่ว่าการรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งของสุมาเอี๋ยนเป็นแค่ความสำเร็จชั่วครั้งชั่วคราว หลังจากนั้นไม่กี่สิบปี ดินแดนจีนก็แตกออกเป็นหลายส่วนนานกว่าสามร้อยปี จนกระทั่งถึงสมัยราชวงศ์สุยที่แผ่นดินได้รวมเป็นหนึ่งอีกครั้งหนึ่ง
ทำไมราชวงศ์จิ้นของสุมาเอี๋ยนถึงไม่อยู่ยืนยาวเหมือนราชวงศ์ฮั่น สาเหตุสำคัญนั้นอยู่ที่การกระทำของสุมาเอี๋ยนเองหลังจากขึ้นครองราชย์
หมายเหตุ: เนื่องจากเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องสามก๊กแล้ว ผมขออนุญาตใช้ ซือหม่าเยียน (ภาษาจีนกลาง) แทนที่สุมาเอี๋ยน และตัวละครอื่นๆ จะเป็นภาษาจีนกลางทั้งหมด
ไม่ได้ทำอะไรเลย
ซือหม่าเยียน ผู้นี้เป็นบุตรชายคนโตของซือหม่าเจา (สุมาเจียว) มหาอุปราชผู้ทรงอำนาจในวุยก๊ก เดิมทีซือหม่าเจายังลังเลว่าจะแต่งตั้งให้ใครเป็นทายาท ระหว่างซือหม่าเยียนกับซือหม่าโยว
ซือหม่าเจาคิดว่าซือหม่าโยวฉลาดดี และบุตรบุญธรรมของซือหม่าชือ (สุมาสู) แต่พวกขุนนางจำนวนมากต่างสนับสนุนซือหม่าเยียน ท้ายที่สุดแล้วซือหม่าเจาก็อนุญาตให้ซือหม่าเยียนเป็นทายาทของตน
ต่อมาไม่นาน ซือหม่าเจาสิ้นชีวิต ก่อนตายเขาได้ดำรงตำแหน่งเป็นจิ้นหวาง (จิ้นอ๋อง) แล้ว ซือหม่าเยียนจึงครองตำแหน่งสืบต่อจากบิดา หลังจากนั้นไม่กี่เดือน เขาบีบให้โจฮวนสละราชสมบัติให้กับตน ซือหม่าเยียนจึงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เขามีนามว่าจิ้นหวู่ตึ้
ดังนั้นเห็นได้ว่า จิ้นหวู่ตี้ หรือ ซือหม่าเยียนผู้นี้ไม่ได้ทำอะไรเลย แผ่นดินเกือบทั้งหมดอยู่ในมือของเขาอยู่แล้ว เหลือแต่เพียงง่อก๊กเท่านั้น จิ้นหวู่ตี้ได้ให้กองทัพยกไปตีง่อก๊กในเวลาต่อมา และก็ตีได้สำเร็จ แผ่นดินก็รวมกลับเข้าเป็นหนึ่ง
ระเบิดเวลา
ในใจของจิ้นหวู่ตี้เกรงว่า ราชวงศ์จิ้นจะสูญสิ้นไปเหมือนกับราชวงศ์เฉาเว่ยที่ตนเองเพิ่งล้มมาหมาดๆ เขาคิดว่าสาเหตุสำคัญที่เฉาเว่ยล่มสลายก็เพราะพวกเชื้อพระวงศ์ไม่มีอำนาจเสียเลย
ดังนั้นจิ้นหวู่ตี้จึงอวยยศถาบรรดาศักดิ์ให้กับเชื้อพระวงศ์ตระกูลซือหม่าอย่างมากมาย นอกจากนี้ยังมอบเมืองใหญ่ๆ ให้ไปครอบครองเป็นสิทธิ์ขาด จิ้นหวู่ตี้หวังว่าถ้ามอบอำนาจให้กับเชื้อพระวงศ์เช่นนี้แล้ว จะไม่มีขุนศึกคนใดที่หาญกล้าสร้างฐานกำลังขึ้นมาแข่งกับตระกูลซือหม่า
จิ้นหวู่ตี้จึงเหมือนกับเจ้าพ่อมาเฟียที่ส่งให้ลูกตัวเองไปคุมถนนนี้ แขวงนี้ เพราะเกรงว่าจะมีคนมาตั้งแก๊งแข่งกับตนเอง
ในใจจิ้นหวู่ตี้คงลืมไปสนิทว่า พวกเชื้อพระวงศ์ก็ต่อตีกันเองได้เช่นกัน ถึงแม้จะเป็นพี่น้องกันก็ตาม ในประวัติศาสตร์จีนก็มีเคสคนในครอบครัวเดียวกันฆ่ากันเองเพื่อช่วงชิงอำนาจกันถมไป
นอกจากนี้จิ้นหวู่ตี้คงจะลืมไปว่า การที่อำนาจและดินแดนให้กับเชื้อพระวงศ์เหล่านี้จะทำให้พวกเขามีศักยภาพเพียงพอที่จะไม่ฟังคำสั่งของราชสำนัก และอาจจะแข็งข้อด้วยซ้ำไป
ต่อมาหลังจากที่จิ้นหวู่ตี้ตีง่อก๊กได้แล้ว เขาได้สั่งให้ออกกฎระเบียบใหม่
ตั้งแต่นี้ต่อไป เจ้าเมืองต่างๆที่เป็นสามัญชนไม่มีอำนาจในการจัดตั้งกองทัพ เจ้าเมืองต่างๆ ต้องสังกัดฝั่งพลเรือน และให้ยกเลิกการฝึกชาวบ้านเป็นทหาร
ข้อนี้จิ้นหวู่ตี้น่าจะเห็นตัวอย่างจากยุคสามก๊กที่เมื่อเจ้าเมืองสามารถจัดตั้งกองทัพได้ พวกเขาจะต่อสู้กันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ จิ้นหวู่ตี้น่าจะต้องการถอนรากถอนโคนการที่คนอย่างโจโฉ อ้วนเสี้ยว ซุนเซ็ก ขึ้นมามีอำนาจได้
แผนนี้เหมือนจะดี แต่การที่ไม่ให้เจ้าเมืองจัดตั้งกองทัพได้ แล้วถ้ามีศัตรูบุกมาเร็วๆ จะจัดตั้งกองทัพกันทันหรือ?
นโยบายทั้งสองเหมือนว่าจะช่วยป้องกันไม่ให้ความวุ่นวายในยุคสามก๊กเกิดในแผ่นดินจีนอีกครั้งหนึ่ง แต่มันก็ได้สร้างระเบิดเวลาลูกใหญ่ไว้ด้วยเช่นกัน อย่างที่จะปรากฏต่อไป
สุมาเอี๋ยนใช้ชีวิตเสเพล
การที่แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งทำให้จิ้นหวู่ตี้เริ่มต้นชีวิตเสเพล เดิมทีจิ้นหวู่ตี้เองก็มักมากในกามอยู่แล้ว เขาสั่งให้นำนางสนมจำนวนห้าพันคนของซุนเฮ่า (ซุนโฮ) มาเป็นสนมของตน
ทำไปทำมานางสนมของจิ้นหวู่ตี้มีมากถึงหนึ่งหมื่นคน นับว่าจิ้นหวู่ตี้มีสนมมากที่สุดในประวัติศาสตร์จีน
นักประวัติศาสตร์จีนเล่าว่า การที่มีนางสนมมากเช่นนี้ ทำให้จิ้นหวู่ตี้ไม่อาจเลือกคนที่จะมาเสพสุขด้วยได้ จิ้นหวู่ตี้จึงใช้วิธีการนั่งรถเทียมแพะ ถ้ารถหยุดที่ตำหนักหรือห้องของใคร เขาก็จะเข้าไปเสพสุขกับนางสนมนางนั้น
หลังจากนั้นพวกนางสนมจึงนำอาหารที่แพะชอบมาโปรยปรายหน้าห้องของพวกเธอ เพื่อที่รถเทียมแพะของฮ่องเต้จะได้หยุดลงที่ห้องหับของพวกเธอ
ต่อมาจิ้นหวู่ตี้เห็นว่ากฎหมายอาญาสมัยเฉาเว่ยหนักหนาเกินไป (คล้ายราชวงศ์ฉิน) เขาเลยพยายามปรับโทษของกฎหมายฉบับต่างๆ ให้เบาลง ปรากฏว่าการปรับกฎหมายของจิ้นหวู่ตี้ได้ทำให้พวกชนชั้นสูงกร่างมากขึ้น
พวกคนเหล่านี้ฉวยโอกาสที่โทษเบาลงฉ้อราษฎร์บังหลวง สังหารผู้คนเพื่อประโยชน์ส่วนตนมากมาย และกดขี่ราษฎรจนร่ำรวยมากขึ้นตามลำดับ สือฉง และหวางไข่ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
นานวันเข้าพวกชนชั้นสูงก็สำมะเลเทเมา พวกเขาต่างเสพสุขแข่งกับฮ่องเต้ ราชสำนักจิ้นจึงเริ่มเสื่อมทรามลงไปตามลำดับ บ้านเมืองมีเค้าว่าจะกลับไปเหมือนยุคสามก๊กอีกครั้งหนึ่ง
ว่านเมล็ดแห่งความพินาศ
เมื่อจิ้นหวู่ตี้แก่ตัวลง เขาก็เริ่มคิดถึงวันตายของตนเองมากยิ่งขึ้น จิ้นหวู่ตี้ไม่เคยหยุดระแวงว่าซือหม่าโยว น้องชายที่ซือหม่าเจาเคยคิดจะมอบตำแหน่งทายาทให้ จะแย่งบัลลังก์จากรัชทายาทของเขา
จิ้นหวู่ตี้ไม่ต้องการเช่นนั้น เขาไม่ลังเลที่จะสกัดไม่ให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นได้ เขาจึงเนรเทศซือหม่าโยวออกไปจากเมืองหลวง ในเวลาไม่นานซือหม่าโยวก็ป่วยและสิ้นชีวิตลง
รัชทายาทของจิ้นหวู่ตี้คือ ซือหม่าจง แต่เจ้าชายผู้นี้กลับมีปัญหาหลายอย่างทางด้านสติปัญญา (เชื่อว่าเกิดจากความผิดปกติทางร่างกาย) ซือหม่าจงสามารถพูดและเขียนได้ แต่เขามีปัญหาเรื่อง การวิเคราะห์ และการใช้เหตุและผลอย่างมาก
เหล่าขุนนางต่างเห็นซือหม่าจงเป็นเช่นนี้ พวกเขาจึงทูลว่าเจ้าชายองค์นี้ไม่เหมาะจะเป็นรัชทายาท แต่จิ้นหวู่ตี้ปฏิเสธมาโดยตลอด แม้ว่าตัวเองจะใกล้สิ้นชีวิตแล้วก็ตาม
การมอบบัลลังก์ให้โอรสที่ไม่ค่อยมีความสามารถเช่นนี้เป็นระเบิดเวลาลูกสุดท้ายที่จิ้นหวู่ตี้ได้วางไว้ให้กับลูกหลานและราชวงศ์
จิ้นหวู่ตี้สวรรคตในปี ค.ศ.290 ซือหม่าจงได้ครองราชย์สืบต่อในนาม จิ้นฮุ่ยตี้
เปลวเพลิงปะทุ
ภายในเวลาไม่กี่ปี ระเบิดเวลาลูกใหญ่ก็แตกออก แผ่นดินจิ้นก็แตกแยกเป็นเสี่ยงๆ
เรื่องเริ่มต้นจากการที่จิ้นฮุ่ยตี้ไม่สามารถพิจารณาอะไรด้วยตัวเองได้ เขาจึงไม่มีอำนาจ ขุนนางในราชสำนักต่างแย่งชิงอำนาจกันยกใหญ่
เท่านั้นยังไม่พอ บรรดาเชื้อพระวงศ์ที่มีอำนาจต่างไม่เห็นหัวฮ่องเต้ พวกเขามีเมืองและกองทัพเป็นของตนเองจึงต่อสู้กันเพื่อแย่งชิงอำนาจ เกิดเป็นสงครามใหญ่โตที่เรียกว่า สงครามหวางทั้งแปด หรือ ปาหวางจือล่วน สงครามครั้งนี้ยาวนานถึงสิบห้าปี ทำให้ราษฎรบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมากจากการต่อสู้และการขาดแคลนอาหาร
ถึงแม้สงครามจะสงบลงได้ แต่ราชสำนักจิ้นก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแออย่างยิ่ง พื้นที่การเกษตรถูกทำลายย่อยยับ บ้านเรือนไร้ผู้อยู่อาศัย
พวกอนารยชนทั้งห้าเผ่า (หรือที่เรียกว่าอู่หู ประกอบด้วย ซงหนู เซียนเปย ตี เจี๋ย และเฉียง) เห็นเป็นโอกาสที่จะยึดครองแผ่นดินจีน พวกเผ่าต่างๆ เข้าตีดินแดนทางตอนเหนือของราชวงศ์จิ้นได้อย่างง่ายดาย เพราะเมืองต่างๆ ของราชวงศ์จิ้นต้องใช้เวลานานมากกว่าจะจัดตั้งกองทัพขึ้นมาได้ (ตามกฎหมายใหม่ เจ้าเมืองจัดตั้งกองทัพเองไม่ได้)
พวกซงหนูสามารถตีเมืองหลวงทั้งสองอย่างฉางอานและลั่วหยางแตก และยังจับกุมจักรพรรดิราชวงศ์จิ้นได้ถึงสองพระองค์อีกด้วย
ต่อมาหลิวฉง จักรพรรดิของฮั่นจ้าว (ชื่ออาณาจักรของพวกซงหนู) ได้มีคำสั่งให้ปลงพระชนม์จิ้นไหวตี้ และจิ้นหมิ่นตี้ ฮ่องเต้ทั้งสองของราชวงศ์จิ้น และประหารชีวิตขุนนางจิ้นมากมาย
หลังจากนั้นราชวงศ์จิ้นก็สิ้นชื่อ ซึ่งเราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าจิ้นหวู่ตี้มีส่วนสำคัญที่ทำให้ราชวงศ์จิ้นประสบชะตากรรมเช่นนี้
แต่ทว่าเชื้อพระวงศ์ราชวงศ์จิ้นคนหนึ่งได้หนีลงใต้ไปสถาปนาราชวงศ์ใหม่ขึ้นมา ราชวงศ์นี้ยังใช้ชื่อราชวงศ์จิ้นเหมือนเดิม ราชวงศ์ใหม่นี้เรียกว่าราชวงศ์จิ้นตะวันออก