ตลอดเวลาประวัติศาสตร์จีนที่มีอายุนานกว่า 5,000 ปีมีหญิงงามมากมาย แต่หญิงงามที่ขึ้นชื่อว่าเป็นที่สุดมีอยู่ 4 คน ประกอบด้วย
- ซีชือ หรือ ไซซี (Xi Shi) มีความงามที่เรียกว่า “มัจฉาจมวารี”
- หวางเจาจวิน (Wang Zhaojun) มีความงามที่เรียกว่า “ปักษีตกนภา”
- เตี้ยวฉาน หรือ เตียวเสี้ยน (Diao Chan) มีความงามที่เรียกว่า “จันทร์หลบโฉมสุดา”
- หยางกุ้ยเฟย (Yang Guifei) หรือชื่อจริงหยางยี่ว์หวน (กุ้ยเฟยแปลว่าพระราชเทวี) มีความงามที่เรียกว่า “มวลผกาละอายนาง
คำแปลภาษาไทยของ “ความงาม” มาจากการแปลของ อาจารย์ถาวร สิกขโกศล
ซีชือ หรือ ไซซี
นางซีชือ คนไทยมักเรียกว่า ไซซี ชีวิตของไซซีเรียกว่าเป็นชีวิตของผู้หญิงผู้เสียสละตนเองเพื่อบ้านเกิดเมืองนอนของตน
ไซซีเป็นชาวแคว้นเยว่ ในเวลานั้นแคว้นเยว่ทำศึกติดพันกับแคว้นอู๋และพ่ายแพ้ในการศึกอย่างอัปยศ เยว่หวางโกวเจี้ยน กษัตริย์แคว้นเยว่ทรงปรารถนาจะล้างแค้น พระองค์ต้องการทำให้แคว้นอู๋อ่อนแอ เหวินจ้งหนึ่งในเสนาบดีผู้ใหญ่จึงเสนอให้ส่งหญิงงามไปถวายอู๋หวางฟูไช กษัตริย์แคว้นอู๋ เพื่อให้พระองค์ลุ่มหลง
ฟ่านหลี เสนาบดีอีกคนหนึ่งได้ทำการคัดเลือกหญิงงาม ไซซีเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือก เธอได้ถูกส่งตัวไปยังแคว้นอู๋ เมื่ออู๋หวางฟูไชทอดพระเนตรเห็นความงามของเธอก็ลุ่มหลงในบัดดล หลังจากนั้นอู๋หวางก็ประทับอยู่กับนางไซซีจนไม่ใส่พระทัยในราชการแผ่นดิน แคว้นอู๋จึงอ่อนแอลงตามลำดับ เปิดโอกาสให้แคว้นเยว่เข้าโจมตีและเอาชัยชนะได้ในที่สุด
หลังจากการล่มสลายของแคว้นอู๋ และการสวรรคตของอู๋หวางฟูไช นางไซซีก็ไม่ถูกกล่าวถึงอีก บ้างว่าเธอถูกชายาของเยว่หวางโกวเจี้ยนฆ่าตายเพราะเกรงว่าพระองค์จะลุ่มหลงนาง บ้างว่าเธอแอบหลบหนีไปครองรักกับฟ่านหลี เสนาบดีที่เคยคัดเลือกเธอมา
ตำนานทั้งหลายล้วนแต่บอกว่าใบหน้าของไซซีงดงามมากจนขนาดปลาที่ว่ายในน้ำจมน้ำตายเพราะลืมว่ายน้ำ แต่เสียอย่างเดียวคือ ไซซีเท้าใหญ่กว่าคนโบราณทั่วไป เพราะเธอไม่ได้รัดเท้า ทำให้เธอมีเท้าเหมือนคนทั่วไปในปัจจุบัน
หวางเจาจวิน
หวางเจาจวินมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ในรัชกาลฮั่นหยวนตี้ ด้วยความงดงาม เธอจึงได้รับการคัดเลือกให้ถวายตัวเข้าเป็นนางใน แต่ผ่านไปหลายปี เธอยังมิได้เข้าใกล้ฮ่องเต้เสียที เพราะเธอไม่เคยติดสินบนจิตรกรหลวง เขาจึงวาดรูปให้เธอให้ดูน่าเกลียดเพื่อไม่ให้ฮ่องเต้ทรงสนพระทัย
มีอยู่วันหนึ่ง ฮูหานเย่ ประมุขของพวกซงหนูได้มาเยี่ยมเยือนราชสำนักฮั่นที่เมืองฉางอาน (ซีอานในปัจจุบัน) เขาต้องการเชื่อมสัมพันธไมตรีกับราชสำนักฮั่นด้วยการขอแต่งงานกับเจ้าหญิงองค์ใดองค์หนึ่ง ฮั่นหยวนตี้จะไม่ให้ก็มิได้ เพราะจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์เสียเปล่าๆ พวกซงหนูอาจจะหาเหตุมารุกรานชายแดนฮั่นอีก
ทั่วทั้งราชสำนักไม่มีเจ้าหญิงคนใดต้องการจะไป ฮ่องเต้จึงให้หาเหล่านางใน ก็ไม่มีใครต้องการจะไปอีก ถึงแม้ว่าฮั่นหยวนตี้จะทรงประกาศว่าถ้าผู้ใดยินยอมไปดินแดนซงหนู พระองค์จะประกาศให้เธอผู้นั้นมีศักดิ์เป็นพระธิดาของพระองค์ก็ตาม สาเหตุสำคัญที่ไม่มีใครไปคือ พวกซงหนูจัดว่าป่าเถื่อนในสายตาคนฮั่น ขนบธรรมเนียมก็ยังหยาบกระด้างห่างไกลความเจริญ ดินแดนของพวกซงหนูก็แห้งแล้งกันดารอย่างมาก
แต่ทว่ามีนางในผู้หนึ่งที่ต้องการจะไป เธอผู้นั้นคือหวางเจาจวิน ฮั่นหยวนตี้ทรงโปรดให้นำรูปภาพที่จิตรกรหลวงวาดมาทอดพระเนตร เมื่อเห็นเธอหน้าตาไม่ค่อยสวย พระองค์จึงประกาศว่าจะพระราชทานนางให้กับฮูหานเย่
ต่อมาหวางเจาจวินตัวเป็นๆถูกนำตัวมาพบกับฮั่นหยวนตี้ พระองค์ทรงตกตะลึงว่าในฝ่ายในมีหญิงงามเช่นนี้อยู่ด้วย พระองค์ปรารถนาจะปฏิเสธแต่ก็ได้ลั่นวาจาออกไปแล้วว่าจะพระราชทานนางให้กับประมุขของพวกซงหนู พระองค์จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีก ฮั่นหยวนตี้สถาปนาหวางเจาจวินให้เป็นพระธิดาและมอบนางให้กับฮูหานเย่
ฮูหานเย่ดีใจยิ่งนัก เขาพานางกลับไปดินแดนของพวกซงหนูด้วย ต่อมาก็ได้เป็นถึงมเหสีเอกของฮูหานเย่ ความสัมพันธ์ของราชวงศ์ฮั่นและซงหนูดีขึ้นตามลำดับ
แต่สำหรับฮั่นหยวนตี้แล้ว พระองค์ทรงพิโรธยิ่งนักที่เสียหวางเจาจวินไปเพราะรูปภาพปลอมของจิตรกรหลวง พระองค์จึงโปรดให้ประหารชีวิตเขาเสียในข้อหาหลอกลวงฮ่องเต้
หวางเจาจวินมีโอรสสองคนกับฮูหานเย่ ต่อมาเมื่อฮูหานเย่สิ้นชีวิต หวางเจาจวินได้ทูลขอฮั่นเฉิงตี้ ฮ่องเต้องค์ใหม่ของราชวงศ์ฮั่นกลับมายังแผ่นดินจีน แต่ฮั่นเฉิงตี้ได้ขอให้นางปฏิบัติตามธรรมเนียมของซงหนู โดยการยอมเป็นมเหสีเอกของชาห์ฮันองค์ใหม่ เพื่อที่พัฒนาความสัมพันธ์กับซงหนูต่อไป หวางเจาจวินยอมทำตามแต่โดยดี เธอเป็นมเหสีของชาห์ฮันพระองค์ใหม่ จนกระทั่งสิ้นชีวิตในดินแดนซงหนู
บางตำนานเล่าว่า หวางเจาจวินสวยถึงขนาดที่ นกที่บินผ่านมาพบเธอถึงกับตกตะลึงในความสวยของเธอจนลืมบิน แต่ทว่าไหล่ของเธอไม่เท่ากัน ทำให้เธอต้องสวมใส่เครื่องแต่งกายช่วยอยู่เสมอ
เตี้ยวฉาน หรือ เตียวเสี้ยน
เตี้ยวฉาน หรือ เตียวเสี้ยน เป็นสตรีที่ทุกท่านน่าจะทราบดีอยู่แล้ว เธอเสียสละตนเองเพื่อทำให้ลิโป้และตั๋งโต๊ะผิดใจกัน ทำให้ทรราชและศัตรูของราชบัลลังก์ฮั่นอย่างตั๋งโต๊ะถูกลิโป้สังหารในที่สุด
ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว เตี้ยวฉานและบทบาทของเธอไม่มีอยู่จริง แต่ทว่าลิโป้มีชู้กับนางในคนหนึ่งของตั๋งโต๊ะจริงๆ เขาเกรงว่าตั๋งโต๊ะจะจับได้ ลิโป้จึงสังหารตั๋งโต๊ะเสีย ในหน้าประวัติศาสตร์ไม่ได้ปรากฏชื่อของนางคนดังกล่าวว่าชื่ออะไร
หยางกุ้ยเฟย
หยางกุ้ยเฟย หรือ หยางยี่ว์หวน เป็นหญิงงามคนที่สี่แห่งประวัติศาสตร์จีน แต่เธอต่างกับหญิงงามคนอื่นโดยสิ้นเชิง หญิงงามสามคนก่อนหน้าล้วนแต่เป็นผู้ที่เสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ไซซีเสียสละตนเองเพื่อแคว้น หวางเจาจวินเสียสละตนเองเพื่อไม่ให้พวกซงหนูมารุกราน เตี้ยวฉาน (ในนิยาย) เสียสละตนเองกำจัดศัตรูราชสมบัติทิ้งเสีย
มีแต่หยางกุ้ยเฟยแต่เพียงนางเดียวที่เป็น นงคราญล่มเมือง
หยางยี่ว์หวนมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ถัง นางได้สมรสกับโส้วหวาง พระโอรสของพระเจ้าถังเสวียนจงตั้งแต่วัย 14 ปี หลังจากนั้นไม่นาน ความสวยของเธอกลับไปเข้าสายตาของพระเจ้าถังเสวียนจงผู้เพิ่งจะเสียพระมเหสีคู่ทุกข์ยากมาใหม่ๆ ทำให้พระองค์ปรารถนาจะได้เธอมาเป็นสนม แต่ติดขัดว่าเธอเป็นมเหสีของพระโอรสของพระองค์เอง
โส้วหวางเห็นว่าพระบิดาต้องการมเหสีของตน พระองค์จึงยินยอมพระราชทานให้พระบิดาแต่โดยดี โดยหวังว่าถังเสวียนจงจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้กับตน แต่ทว่าถังเสวียนจงกลับสรรหาพระมเหสีองค์ใหม่ให้กับโส้วหวางเท่านั้น
ถังเสวียนจงโปรดให้หยางยี่ว์หวนบวชเป็นแม่ชีก่อนเพื่อหลบคำครหา หลังจากนั้นจึงโปรดให้นางมาถวายตัวในภายหลัง พระองค์ทรงอวยยศให้นางเป็นถึงกุ้ยเฟย (พระราชเทวี) เป็นรองเพียง หวงโฮ่ว หรือ ฮองเฮาเท่านั้น นางจึงเป็นที่เรียกกันว่า หยางกุ้ยเฟย
หลังจากนั้นถังเสวียนจงลุ่มหลงนางอย่างหนัก ไม่ว่านางต้องการสิ่งใดนางก็ต้องได้ ครอบครัวของนางได้พระราชทานข้าวของมากมาย และยศถาบรรดาศักดิ์ หยางกว๋อจง ลูกพี่ลูกน้องของนางก็ได้ดำรงตำแหน่งเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี ถังเสวียนจงเองก็มัวแต่อยู่กับนางโดยไม่ใส่พระทัยในราชการแผ่นดิน ราชสำนักถังที่เคยรุ่งเรืองกลับกลายเป็นฟั่นเฟือน
ในปี ค.ศ.755 อานลู่ซานก่อกบฏและนำกองทัพที่มีอยู่เข้าตีราชวงศ์ถัง กองทัพราชสำนักแตกกระจัดกระจาย อานลู่ซานตีเมืองลั่วหยางได้อย่างรวดเร็ว และยกกองทัพเข้าประชิดฉางอาน เมืองหลวงของราชวงศ์ถัง
ถังเสวียนจงทรงไม่มีทางเลือก พระองค์เสด็จหนีไปซื่อชวน (เสฉวน)พร้อมกับนางหยางกุ้ยเฟย แต่เมื่อเสด็จมาถึงหม่าเหวย กองทหารองครักษ์ปฏิเสธที่จะเดินทางต่อไป นอกเสียจากว่าถังเสวียนจงจะประหารชีวิต หยางกุ้ยเฟย และหยางกว๋อจง ลูกพี่ลูกน้องของนาง
ถังเสวียนจงไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้นเพราะรักนางมาก แต่ไม่มีทางเลือกอื่น พระองค์โปรดให้ประหารชีวิตหยางกุ้ยเฟยด้วยการรัดคอ หยางกุ้ยเฟยจึงเสียชีวิตที่หม่าเหวยนี้เอง นางถูกฝังอย่างลวกๆ โดยปราศจากโลงศพ มีแต่เพียงเครื่องหอมบางส่วนเท่านั้นที่ถูกฝังไปพร้อมกับเธอ
ต่อมาถังเสวียนจงสละราชสมบัติให้กับพระโอรส การกบฏเริ่มที่จะสงบลงด้วยการปราบปรามของจักรพรรดิพระองค์ใหม่ ถังเสวียนจงในฐานะไท่ซ่างหวง (บิดาของฮ่องเต้) เดินทางผ่านหม่าเหวยเพื่อกลับฉางอาน พระองค์ปรารถนาจะให้ขุดศพหยางกุ้ยเฟยกลับไปเพื่อทำพิธีฝังศพแต่โดยดี แต่ข้าราชบริพารห้ามไว้ว่าทำเช่นนั้น เหล่าทหารองครักษ์อาจจะก่อกบฏขึ้นมาได้
ถังเสวียนจงจึงทรงทำได้แค่เพียงลักลอบส่งคนไปนำร่างของนางใส่โลงศพ แต่ร่างของนางแตกสลายไปมากแล้ว เหลือแต่เพียงเครื่องหอมเท่านั้น คนสนิทของถังเสวียนจงนำเครื่องหอมดังกล่าวมาถวายพระองค์ เมื่อได้สัมผัสเครื่องหอมนั้น ถังเสวียนจงก็ทรงพระกันแสงอย่างมากมาย
นางหยางกุ้ยเฟยได้รับการสดุดีว่างดงามยิ่ง ถึงขนาดที่เหล่าดอกไม้ที่กำลังบานอยู่จะหุบลง เพราะไม่อาจประชันความงามของนางได้ แต่ทว่านางมีรูปร่างค่อนข้างอ้วน ถ้าเทียบกับคนทั่วไปในปัจจุบัน แต่ถ้าเป็นในยุคราชวงศ์ถัง รูปร่างของนางจะถือว่าไร้ที่ติ เพราะเทรนด์ในเวลานั้นคือชอบท้วมๆ