ประวัติศาสตร์จีนจ้านกว๋อไป๋ฉีบดขยี้กองทัพพันธมิตรหานเว่ยแตกยับที่ยีเชวีย

ไป๋ฉีบดขยี้กองทัพพันธมิตรหานเว่ยแตกยับที่ยีเชวีย

หลังจากการปฏิรูปของซางยาง แคว้นฉินเป็นมหาอำนาจทั้งการเมือง เศรษฐกิจและการทหาร ดังนั้นแคว้นฉินจึงพยายามจะรุกรานแคว้นอื่น หกแคว้นตะวันออกจึงรวมตัวเป็นพันธมิตรในสัญญาร่วมประสาน เพื่อป้องกันการรุกรานจากแคว้นฉิน

แต่ทว่าในเวลาไม่นานพันธมิตรดังกล่าวก็แตกออก แต่ละแคว้นกลับมาสู้รบกันเองอีกครั้งหนึ่ง เช่นแคว้นฉีรบกับแคว้นเยียนเป็นต้น

การที่หกแคว้นไม่เป็นเอกภาพ เปิดโอกาสให้แคว้นฉินส่งกองทัพเข้ารุกรานแคว้นอื่น การรุกรานเหล่านี้กระทำโดยไป๋ฉี แม่ทัพอันดับหนึ่งของแคว้นฉิน หรืออาจจะเป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์จีนด้วยซ้ำไป

ไป๋ฉี

ไป๋ฉีเผชิญกองทัพพันธมิตร

ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าไป๋ฉีได้เป็นแม่ทัพแคว้นฉินได้อย่างไร แต่เขาคงทำความดีความชอบมาหลายครั้ง จนได้เป็นแม่ทัพในที่สุด

ไป๋ฉีผู้นี้เป็นยอดแม่ทัพหนึ่งในสี่แห่งยุคจ้านกว๋อ (ไป๋ฉี หวางเจียน เหลียนโป และหลี่มู่) และเป็นหนึ่งในแม่ทัพไม่กี่คนในประวัติศาสตร์สามพันปีที่ทำสงครามหลายสิบครั้งโดยที่ไม่เคยแพ้ใคร นอกจากนี้เขายังเป็นแม่ทัพผู้ใช้ทหารม้าที่เก่งกาจที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน

ในปี 293 BC ฉินจาวเซียงหวางให้ไป๋ฉีเป็นแม่ทัพนำทหาร 120,000 คนไปตีแคว้นหานและแคว้นเว่ย ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นฉิน

แคว้นเว่ยและแคว้นหานตกอยู่ในสภาวะคับขันจึงรวมกำลังทหารกันเพื่อมาต้านทานกองทัพฉิน ทั้งสองแคว้นรวบรวมทหารได้มากกว่ากองทัพฉินหลายเท่า

ถึงแม้จะมีจำนวนมากกว่า ทหารหานและเว่ยกลับเกรงกลัวกองทัพฉินมาก เพราะกองทัพฉินได้รับการฝึกมาดีกว่า มีประสบการณ์การทำสงครามทั่วทิศมาอย่างโชกโชน แถมยังโหดเหี้ยมด้วย ทหารฉินมักได้รับคำสั่งให้ตัดศีรษะศัตรูให้มากที่สุดเพื่อเอาไปเป็นความดีความชอบ

ดังนั้นแม่ทัพฝ่ายพันธมิตรหานเว่ย อย่างกงซุนซีจึงเลือกที่จะตั้งรับอยู่ในค่ายไม่ออกรบ เขาพยายามที่จะอาศัยชัยภูมิที่ดีเยี่ยมที่มีภูเขาสูงชันและแม่น้ำเป็นปราการธรรมชาติสกัดกองทัพฉินไว้

ไป๋ฉีเป็นแม่ทัพชั้นยอด แต่เขาก็ไม่สามารถทำอะไรถ้าศัตรูเลือกที่จะไม่ออกมารบ กองทัพทั้งสองฝ่ายจึงตั้งยันกันอย่างสงบอยู่สักช่วงหนึ่งยังไม่เคลื่อนไหว

ไป๋ฉีใช้เวลาที่เขามีศึกษาจุดอ่อนของศัตรู เขาพบว่าแคว้นหานและแคว้นเว่ยยังคงบาดหมางกันอยู่ แต่เมื่อมีศัตรูร่วมกันอย่างแคว้นฉิน แคว้นทั้งสองจึงต้องรวมตัวกันเข้าทำนอง “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย”

หลังจากนั้นไป๋ฉีออกไปสำรวจป้อมค่ายของกองทัพพันธมิตรหานเว่ย แล้วได้แผนการขึ้นมาแผนหนึ่ง

แผนการของไป๋ฉี

ในวันต่อมา ไป๋ฉีใช้กองทัพขนาดเล็กไม่กี่พันคนบุกค่ายของกองทัพหาน ในขณะเดียวกันก็ให้กองทัพหลวงของตนที่มีกำลังทหารส่วนใหญ่บุกค่ายของกองทัพเว่ย

เมื่อกองทัพหานถูกโจมตีด้วยกองทัพขนาดเล็กก็เกิดระแวงว่า ไป๋ฉีจะล่อลวงพวกตนไปติดกับดัก กองทัพหานจึงนิ่งเฉยไม่ยกออกไปช่วยกองทัพเว่ย ทำให้กองทัพเว่ยต้องต่อสู้กับกองทัพฉินอยู่อย่างโดดเดี่ยวและได้รับความเสียหายอย่างหนัก

เหล่าแม่ทัพเว่ยเห็นกองทัพหานนิ่งเฉยไม่ยอมมาช่วยตนเองจึงโกรธเคืองยิ่งนัก พวกเขาพากันกล่าวหาว่ากองทัพหานเจตนาอยู่เฉยๆ ทิ้งให้กองทัพเว่ยพินาศ ซึ่งฝ่ายหานก็ปฎิเสธ ทำให้ทั้งสองกองทัพเริ่มบาดหมางกัน

หลังจากนั้นไม่นาน ไป๋ฉีให้กองทัพฉินเข้าโจมตีค่ายของกองทัพเว่ยอีกครั้ง ปรากฏว่าครั้งนี้ไม่มีกองทัพหานมาช่วยเลยแม้แต่คนเดียว!

สาเหตุคือเหล่าแม่ทัพหานต้องการจะรักษาไพร่พลของตนไว้ ไม่ให้ไปตายฟรีเพื่อกองทัพเว่ย

เมื่อเห็นว่าแผนการของตนเองได้ผล ไป๋ฉีจึงสั่งให้กองทัพฉินหลีกเลี่ยงกองทัพหาน แล้วตีกระหน่ำกองทัพเว่ยอย่างหนักทุกด้าน ภายในเวลาไม่กี่เดือน แคว้นเว่ยเสียไปห้าหัวเมือง ทหารจำนวนมากถูกกองทัพฉินสังหารในสมรภูมิ

เมื่อจัดการกองทัพเว่ยได้แล้วจึงเหลือเพียงกองทัพหานเท่านั้น กองทัพหานอ่อนแอที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งหกอยู่แล้ว ไป๋ฉีจึงสั่งให้ล้อมกองทัพหานเอาไว้ 

กองทัพหานต่อสู้เพื่อจะฝ่าวงล้อมออกมา แต่ว่าไป๋ฉีได้เตรียมการไว้ล่วงหน้าไว้แล้ว ทหารม้าเจนศึกฝ่ายฉินได้ดักรอซุ่มโจมตีอยู่ เมื่อทหารหานฝ่าวงล้อมออกมา พวกเขาต่างโดนแทงสังหารด้วยคมทวนของทหารม้าของไป๋ฉีเป็นจำนวนมาก

หนังสือสื่อจี้เขียนว่ากองทัพหานและเว่ยแตกยับเยินจนแทบไม่เหลือเป็นกองทัพ ทหารถูกตัดศีรษะล้มตายในสมรภูมิถึงสองแสนสี่หมื่นคน

อย่างไรก็ตามในพงศาวดารอื่นเขียนว่าตัวเลขสองแสนสี่หมื่นคนคือตัวเลขของกองทัพพันธมิตรทั้งหมด จำนวนทหารที่ตายของฝ่ายหานและเว่ยคืออย่างน้อยหนึ่งแสนห้าหมื่นคน ในขณะที่กองทัพฉินมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บไม่ถึงหนึ่งหมื่นคน

แคว้นหานและแคว้นเว่ยไม่มีทางเลือก ทั้งสองต้องขอสงบศึกด้วยการยกดินแดนเพิ่มเติมให้แคว้นฉินอีก นอกเหนือจากดินแดนที่แคว้นฉินยึดไว้ได้แล้วเพื่อสงบศึก ทั้งสองแคว้นจึงอ่อนแอลงไปตามลำดับ และไม่อยู่ในสถานะที่จะต่อกรกับแคว้นฉินได้อีกเลย

สงครามที่ยีเชวียทำให้ไป๋ฉีมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เป็นชื่อเสียงทางด้านไม่ดี ผู้คนในเวลานั้นจึงเรียกไป๋ฉีว่า “ผู้ค้าเนื้อมนุษย์” เพราะความโหดร้ายของเขาในการสังหารทหารศัตรูจำนวนมากๆ ในคราวเดียว

ทำลายล้างกองทัพหกแคว้น

หลังจากนั้นสิบห้าปี ฉินจาวเซียงหวางให้ไป๋ฉีนำกองทัพไปตีแคว้นฉู่ สงครามครั้งนี้เป็นสงครามครั้งใหญ่ แต่กลับมีบันทึกหลงเหลือไว้น้อยมาก เชื่อว่าน่าจะเกิดจากการเผาตำราจำนวนมากในสมัยของจิ๋นซีฮ่องเต้ ที่เพ่งเล็งหนังสือประวัติศาสตร์ของแคว้นทั้งหกเป็นสำคัญ

ในพงศาวดารกล่าวไว้แต่เพียงว่า ไป๋ฉีกรีธาทัพเข้าตีแคว้นฉู่ เขาตีเมืองหลวงยิงตู เมืองหลวงของแคว้นฉู่แตกย่อยยับ รวมไปถึงเมืองต่างๆ อีกหลายสิบเมือง แถมยังใช้การทดน้ำสังหารกองทัพฉู่อีกแสนกว่าคน

ฉู่ฉิ่งเซียงหวางต้องหนีกองทัพฉินไปตั้งเมืองหลวงใหม่ลึกไปทางทิศตะวันออกของแคว้นที่เมืองเฉิน เพื่อหนีกองทัพฉินในระยะยาว หลังจากนั้นแคว้นฉู่ก็ทรุดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับแคว้นหานและแคว้นเว่ย

ชัยชนะครั้งนี้ของไป๋ฉีทำให้ฉินจาวเซียงหวางยินดียิ่งนัก เขาแต่งตั้งไป๋ฉีให้เป็นหวู่อันจวิน

ในปี 273 BC ไป๋ฉีก็ได้รับคำสั่งให้ไปตีแคว้นเว่ยอีก แคว้นจ้าวส่งกองทัพบางส่วนมาช่วยเหลือ ไป๋ฉีทำอย่างไรไม่ทราบ แต่เขาเอาชนะกองทัพทั้งสองได้อย่างง่ายดาย เขาจับเป็นทหารเว่ยและจ้าวได้มากถึงแสนห้าหมื่นคน ไป๋ฉีมีคำสั่งให้สังหารเชลยศึกจนหมดสิ้น

เก้าปีต่อมา ไป่ฉียกทัพไปตีแคว้นหาน กองทัพฉินยึดเมืองหลวงได้ห้าหัวเมืองและสังหารศัตรูอีกห้าหมื่นคน

ชัยชนะของไป๋ฉีทำให้ความอ่อนแอของแคว้นหาน เว่ย และฉู่ลดลงอย่างมาก เหลือแต่เพียงแคว้นจ้าวแคว้นเดียวเท่านั้นที่พอจะสู้กับแคว้นฉินได้

การปฏิรูปของแคว้นจ้าว

สาเหตุที่แคว้นจ้าวสามารถต่อกรกับแคว้นฉินได้ เพราะว่าแคว้นจ้าวได้ผ่านการปฏฺิรูปมาเช่นกัน

การปฏิรูปที่ว่ากระทำโดยจ้าวหวู่หลิงหวาง กษัตริย์แคว้นจ้าว

จ้าวหวู่หลิงหวางคิดว่า ชาวจีนโดยทั่วไปใส่ชุดคลุมยาวทั้งในการทำงานและออกรบ เสื้อผ้าเหล่านี้รุ่มร่ามและไม่สะดวก เขาเห็นว่าราษฎรจ้าวควรจะเอาแบบอย่างพวกหู ชนเผ่าทางตอนเหนือที่ใช้เสื้อผ้าที่สั้นและไม่คลุมขา ทำให้ทำงานในที่ราบได้อย่างสะดวก

นอกจากนั้นจ้าวหวู่หลิงหวางตระหนักว่ากองทัพจ้าวควรจะเอาแบบอย่างพวกหูเช่นกันที่ใช้กองทัพม้าในการทำสงคราม ดังนั้นจ้าวหวู่หลิงหวางจึงเลิกการใช้รถศึกที่เทอะทะไม่สะดวก และจ้างให้ชาวหูมาฝึกหัดทหารจ้าว ภายในเวลาไม่กี่ปี กองทัพจ้าวก็มีกองทัพที่แข็งแกร่ง

ทหารจ้าวใช้กองทัพม้าเป็นหลักในการทำสงครามและใช้เทคโนโลยีของชาวจีนเช่นหน้าไม้ (Crossbow) ด้วย กองทัพจ้าวจึงแข็งแกร่งมาก ผิดกับสมัยที่ซุนปิ้นเคยยกไปช่วยจากหน้ามือเป็นหลังมือ หลังจากการปฏฺิรูปกองทัพจ้าวได้ทำลายแคว้นจงซาน หลินหู โหลวฝัน และยังยึดพื้นที่บางส่วนของ แคว้นเว่ย เยียน และรวมไปถึงแคว้นฉินอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้เองทหารจ้าวจึงเป็นทหารของแคว้นทั้งหกแคว้นเดียวเท่านั้นที่ทหารฉินถือว่ามีศักยภาพทัดเทียมกับพวกตน

นอกจากทหารจะมีฝีมือแล้ว แคว้นจ้าวยังมีแม่ทัพที่มีความสามารถอย่าง เหลียนพอ จ้าวเชอ และหลี่มู่ ผู้เคยตีกองทัพฉินแตกพ่ายมาแล้วทั้งสิ้น รวมไปถึงยังมีแม่ทัพที่มาสวามิภักดิ์อย่างเยว่อี้ ผู้ปราบแคว้นฉีอีกด้วย

แคว้นจ้าวจึงเป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดของแคว้นฉินที่ต้องการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง แคว้นฉินจะต้องกำจัดเสี้ยนหนามที่เหมือนกรวดในเท้าอย่างแคว้นจ้าวไปเสียให้จงได้!!

ฉินจาวเซียงหวางปรารถนาจะให้ไป๋ฉียกไปตีแคว้นจ้าว แต่ก็ยังไม่มีโอกาส แถมถ้ายกไปตีก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าจะได้รับชัยชนะ เพราะแม่ทัพแคว้นจ้าวมีฝีมือมาก ฉินจาวเซียงหวางจึงให้กองทัพยกไปตีแคว้นหานแคว้นเว่ยไปพลางก่อน

เหตุการณ์จะเป็นไปอย่างไร ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

Sources:

  • Sima Qian, Records of The Grand Historian
  • วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!