เมื่อฉินหวางเจิ้งหรือฉินสื่อหวงตี้ (จิ๋นซีฮ่องเต้) ได้ราชสมบัติ ปรากฏว่าภายในเวลาไม่นาน ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นในราชสำนักฉิน
ทั้งนี้มีขุนนางแคว้นฉินบางคนที่สงสัยในชาติกำเนิดของฉินหวางเจิ้งที่อาจจะเป็นบุตรชายของหลี่ว์ปู้เหว่ย ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของหวางองค์ก่อน พวกเขาจึงเกลียดชังหลี่ว์ปู้เหว่ยที่คุมอำนาจในแคว้นฉินด้วยแผนการสกปรก
กบฏเฉิงเจียว
ด้วยเหตุนี้พวกขุนนางจึงให้การสนับสนุนต่อเฉิงเจียว โอรสอีกองค์ของฉินจวงเซียงหวางอย่างลับๆ เพื่อให้เป็นฉินหวางองค์ใหม่แทนฉินหวางเจิ้ง
เฉิงเจียวไม่ได้มีอุปนิสัยเหมือนฉินหวางเจิ้ง พระเชษฐาต่างมารดา เฉิงเจียวอายุได้เพียงสิบกว่าขวบ และมีจิตใจอ่อน ในพงศาวดารได้เปรียบไว้ว่าเยี่ยงเด็กน้อย
เหตุเกิดเมื่อหลี่ว์ปู้เหว่ยขัดเคืองแคว้นจ้าวที่ยกมาโจมตีแคว้นฉินพร้อมกับอีกสี่แคว้น หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงส่งเมิ่งเอ้าเป็นแม่ทัพใหญ่ไปตีแคว้นจ้าว โดยให้เฉิงเจียวพร้อมกับแม่ทัพฝานหยีฉี นำกองทัพหนุนไป
เมิ่งเอ้าปะทะกับแม่ทัพผังน่วงของแคว้นจ้าวที่มีฝีมือในการรบ เมิ่งอ้าวไม่สามารถเอาชนะได้ เขาจึงส่งคนไปเร่งให้เฉิงเจียวกับฝานหยีฉียกทัพมาช่วย
ฝานหยีฉีนั้นเป็นหนึ่งในขุนนางที่เกลียดชังหลี่ว์ปู้เหว่ย และตั้งแง่รังเกียจฉินหวางเจิ้งว่าไม่ใช่โอรสของฉินหวางองค์ก่อน เขาเห็นเป็นโอกาสจึงเข้าไปทูลยุยงเฉิงเจียวให้ก่อกบฎ เฉิงเจียวเป็นคนหัวอ่อน ไม่ว่าใครพูดอะไรก็เชื่อ จึงยอมทำตามแผนของฝานหยีฉีทุกประการ
ฝานหยีฉีให้คนออกประกาศประจานฉินหวางเจิ้งว่าเป็นบุตรของหลี่ว์ปู้เหว่ย โดยอธิบายว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยเคยมอบภรรยาน้อยของตนให้กับฉินหวางองค์ก่อน ฉินหวางเจิ้งจึงเกิดขึ้นมาได้ ฝานหยีฉีประณามว่าเป็นเรื่องลามกสกปรกควรต้องถูกกำจัดให้สิ้น
ราษฎรแคว้นฉินทราบดีในเรื่องนี้ แต่ในขณะนั้นหลี่ว์ปู้เหว่ยมีอำนาจมาก ทุกคนจึงไม่มีใครกล้าเอ่ยปาก และไปเข้าร่วมกับเฉิงเฉียวแต่อย่างใด ได้แต่รอดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
เมื่อฉินหวางเจิ้งได้ทราบข่าวก็พิโรธใหญ่ เขาเรียกหลี่ว์ปู้เหว่ยมาปรึกษา อดีตพ่อค้าหัวใสผู้นี้จึงให้หวางเจียนเป็นแม่ทัพใหญ่นำทหารหนึ่งแสนคน ยกไปปรามเฉิงเจียว และ ฝานหยีฉี
เมื่อทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ฝานหยีฉีพยายามเกลี้ยกล่อมให้หวางเจียนเข้าร่วมด้วย แต่หวางเจียนปฎิเสธ ทั้งสองกองทัพจึงเข้าต่อสู้กัน ฝานหยีฉีป็นหนึ่งในแม่ทัพมีฝีมือของแคว้นฉิน ทหารฉินล้วนแต่รู้ในฝีมือดี จึงไม่กล้าเข้าต่อสู้ กองทัพฉินที่นำมาโดยหวางเจียนถูกฝานหยีฉีไล่สังหารไปมากมาย
หวางเจียนพ่ายแพ้มาเช่นนั้นก็กังวล เขาวิเคราะห์ว่าจะเข้าต่อสู้ซึ่งหน้ากับฝานหยีฉีคงจะสู้ไม่ได้ จำจะต้องใช้แผนจารชนในการจัดการกับฝานหยีฉีเสีย
เขาได้สืบทราบมาว่าเฉิงเจียวนั้นอายุน้อย ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่ มิหนำซ้ำยังขี้กลัว ในวันรุ่งขึ้นเขาจึงแสร้งนำกองทัพเข้ารบกับฝานหยีฉี แล้วให้ทหารผู้หนึ่งปลอมตัวเป็นทหารฝานหยีฉีเข้าเมืองไป
หลังจากที่ทหารผู้นั้นเข้าเมืองไปทำภารกิจแล้ว หวางเจียนกลับตั้งทัพรออยู่ในค่ายไม่ยอมมาออกรบ ฝานหยีฉีใจร้อนจึงออกมาท้ารบทุกวัน และให้ทหารร้องด่าทออยู่หน้าค่าย
ในขณะนั้นฉินหวางเจิ้งให้นำสิ่งของมาเลี้ยงดูเหล่าไพร่พลที่ต้องมาลำบากมาปราบการกบฎ นอกจากนี้ยังแนบคำสั่งให้หวางเจียนจับเป็นฝานหยีฉี เพื่อจะสังหารเสียด้วยตนเอง
ในวันรุ่งขึ้น หวางเจียนจึงออกมาท้าทายฝานหยีฉีให้ออกมารบ ฝานหยีฉีออกมาต่อสู้อย่างบ้าบิ่น ปะทะกันได้ไม่นานหวางเจียนแสร้งแพ้ถอยทัพไป ฝานหยีฉีเห็นหวางเจียนถอยไปจึงยกติดตามไปอย่างไม่ลดละ
ที่แท้เป็นแผนการของหวางเจียนที่จะล่อฝานหยีฉีออกมาจากเมืองให้มากที่สุด เพื่อให้ทหารผู้นั้นมีโอกาสเข้าใกล้เฉิงเจียว
เมื่อเข้าถึงตัวเฉิงเจียว ทหารผู้นั้นจึงนำจดหมายของหวางเจียนเข้ามามอบให้ และบอกกับเฉิงเจียวว่าถ้าเฉิงเจียวยอมกลับใจ หวางเจียนจะกราบทูลให้ฉินหวางไว้ชีวิต แต่ถ้าต่อต้านต่อไปอีก หวางเจียนจะทำตามรับสั่งฉินหวางด้วยการจับเฉิงเจียวสังหารเสีย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนขวัญอ่อนอย่างเฉิงเจียวก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ยินดีที่จะยอมจำนนและส่งตัวฝานหยีฉีให้กับฉินหวางแต่โดยดี
หลังจากที่ฝานหยีฉียกทัพตามหวางเจียนไป กองทัพซุ่มที่หวางเจียนแอบไว้จึงพากันออกมาตีกระหนาบกองทัพฝานหยีฉีทั้งสองด้าน กองทัพฝานหยีฉีแตกกระจัดกระจายกลับไปที่หน้าเมือง ฝานหยีฉีร้องตะโกนให้เฉิงเจียวให้เปิดประตูเมือง แต่ในเมืองนั้นกลับเงียบไร้เสียง พวกทหารตะโกนลงมาว่า
ท่านเฉิงเจียวได้สวามิภักดิ์ต่อฉินหวางแล้ว ขอให้ทหารทั้งปวงจงจับเป็นตัวฝานหยีฉีไปถวายแก่ฉินหวางให้จงได้
หลังจากนั้นทหารทั้งหมดจึงเข้าจับกุมฝานหยีฉี ฝานหยีฉีเผชิญกับศัตรูล้อมอยู่รอบด้าน แต่ด้วยความที่ตนเองเป็นผู้กล้า เขาจึงแหวกวงล้อมกองทัพฉินออกไปได้ ฝานหยีฉีหลบหนีไปไกลถึงแคว้นเยียน
สำหรับเฉิงเจียวไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา บ้างว่าหลังจากยอมจำนน ฉินหวางเจิ้งลงอาญาเฉิงเจียวจนถึงสิ้นชีวิต บ้างว่าเขาหนีไปแคว้นจ้าวได้สำเร็จ จ้าวหวางมอบดินแดนส่วนหนึ่งให้เขาดูแล แต่ตัวเขาถูกสังหารเมื่อกองทัพฉินรุกรานแคว้นจ้าวในเวลาต่อมา
กรณีฉาวโฉ่ในวังฉิน
เนื่องจากฉินหวางเจิ้งยังอายุน้อยจึงยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ด้วยตนเอง ทำให้หลี่ว์ปู้เหว่ยทำหน้าที่สำเร็จราชการแผ่นดินร่วมกับนางจ้าวจี อดีตภรรยาน้อยผู้ที่เวลานั้นได้เป็นถึงไท่โฮ่ว (ไทเฮา) แห่งแคว้นฉิน
หลี่ว์ปู้เหว่ยมีอำนาจใหญ่โตยิ่งในแคว้นฉินเหนือกว่าผู้ใด และเพื่อแสดงอำนาจนั้น เขาเชิญผู้มีปัญญาทั่วสารทิศมาเขียนสารานุกรมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สมัยชุนชิวโดยเน้นหนักไปที่การรวบรวมคำสอนของแนวคิดปรัชญาจำนวนหนึ่งร้อยแขนง (Hundred Schools of Thought) แห่งยุคจ้านกว๋อ
หลังจากเขียนเสร็จ หลี่ว์ปู้เหว่ยนำสารานุกรมดังกล่าวมาวางไว้ที่กลางเมืองเสียนหยาง เมืองหลวงแคว้นฉิน โดยมัดทองพันตำลึงติดไว้ด้วย พร้อมกับคำประกาศที่ว่า
ถ้ามีผู้ใดสามารถเพิ่มหรือลดคำในหนังสือนี้ได้แม้แต่ตัวอักษรเดียว ก็เอาทองคำไปเลยพันตำลึง
แต่ไม่มีผู้ใดที่สามารถแก้ไขแล้วเอาทองไปได้เลย
เป็นโชคดีของชาวจีนที่สารานุกรมเล่มนี้ตกทอดมาถึงปัจจุบัน เพราะมันเป็นสารานุกรมที่ครบถ้วนและสมบูรณ์มากๆ เล่มหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับยุคโบราณของจีน
การเขียนสารานุกรมนี้เป็นการแสดงความเป็นปราชญ์ของตัวหลี่ว์ปู้เหว่ย อนึ่งก็เป็นการแสดงบารมีของตนเองไปด้วยกลายๆ
นอกจากนั้นหลี่ว์ปู้เหว่ยยังคุมอำนาจในกองทัพอย่างเบ็ดเสร็จ เขาสั่งให้กองทัพฉินเข้าโจมตีแคว้นทั้งหกที่อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ อยู่เนืองๆ
อำนาจของเขาจึงล้นฟ้าและมีอิทธิพลสูงมากในแคว้นฉิน
การที่มีอำนาจล้นฟ้าทำให้หลี่ว์ปู้เหว่ยเริ่มเห่อเหิม และทำสิ่งที่ตนเองตั้งใจไว้มานานแล้ว นั่นคือไปเสวยสุขกับอดีตภรรยาน้อยอย่าง นางจ้าวจีที่เวลานั้นเป็นถึงไท่โฮ่ว
หลี่ว์ปู้เหว่ยเข้ามาฝ่ายในและหาความสุขกับนางอยู่โดยตลอด ทุกคนรู้ว่าพวกเขาทำอะไรกัน แต่ไม่มีใครกล้าพูดเพราะหลี่ว์ปู้เหว่ยมีอำนาจมาก
เมื่อเวลาผ่านไป ฉินหวางเจิ้งเริ่มจะมีอายุมากขึ้น และปรากฏให้เห็นชัดว่ามีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ทำให้หลี่ว์ปู้เหว่ยเริ่มจะเกรงกลัวว่าฉินหวางเจิ้งจะทราบเรื่องของเขาและจ้าวจี หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงคิดหาทางเอาตัวรอดด้วยการไม่เข้ามาหาพระนางในวังหลวงอีกต่อไป
แม้ว่าจ้าวจีจะเรียกตัวเขาสักกี่รอบก็ตาม หลี่ว์ปู้เหว่ยก็ไม่ยอมเข้าไปในฝ่ายใน ด้วยความที่จ้าวจียังสาว นางน่าจะเพียงสามสิบเศษเท่านั้น นางจึงมีความต้องการตามธรรมชาติ
หลี่ว์ปู้เหว่ยคิดว่าถ้าเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ทั้งสองคงจะถูกจับได้สักวัน เขาจึงต้องหาชายที่สามารถให้ในสิ่งที่นางจ้าวจีต้องการได้ ผู้นั้นก็คือ เล่าไอ่ (嫪毐) ผู้ที่ชื่อเสียงว่ามีพลังทางเพศสูง
ถ้าชายผู้นี้เข้าไปในฝ่ายในได้ เขาน่าจะให้ความสุขกับพระนางจ้าวจีได้อย่างเต็มที่ หลี่ว์ปู้เหว่ยจะได้ไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยวกับนางอีกต่อไป แต่ความยากอยู่ที่จะส่งเล่าไอ่ไปพบกับจ้าวจีได้อย่างไร
หลี่ว์ปู้เหว่ยจึงสั่งให้ขุนนางผู้คัดกรองนำเล่าไอ่เข้าไปในวังในฐานะขันที แต่ต่างกับขันทีคนอื่น เล่าไอ่ไม่ต้องผ่านการตอน เมื่อได้พบกับเล่าไอ่ จ้าวจีโปรดปรานเขายิ่งนัก หลังจากนั้นนางจึงไม่เรียกตัวหลี่ว์ปู้เหว่ยอีกเลย
ต่อมาจ้าวจีในฐานะไท่โฮ่วย้ายไปอยู่ที่พระราชวังเมืองหย่งตู เมืองหลวงเดิมของแคว้นฉิน เพื่อที่จะเสพสุขกับเล่าไอ่ทั้งวันคืนอย่างเปิดเผย ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองมีบุตรด้วยกันถึงสองคน
จ้าวจีจึงใช้พระราชลัญกจรแต่งตั้งให้ เล่าไอ่เป็นถึงฉางซินโหว เล่าไอ่จึงสร้างฐานอำนาจของตนเองจนมีบริวารหลายพันคน
ด้วยความที่ถือว่าตนเองมีไท่โฮ่วหนุนหลัง เล่าไอ่จึงเหิมเกริมมาก เขาให้คนเรียกตนเองว่า “พระบิดาบุญธรรม” ของฉินหวางและกร่างไปทั่วราชสำนัก
ฉินหวางเจิ้งปราบกบฏเล่าไอ่
จนกระทั่งปีที่ 7 แห่งรัชกาลฉินหวางเจิ้ง บุตรทั้งสองคนของเล่าไอ้และจ้าวจีเริ่มจะโตขึ้น เล่าไอ่จึงคิดว่าเรื่องที่ตนเองแอบเป็นชู้กับจ้าวจียากที่จะปกปิดได้อีกต่อไป ถ้าทิ้งไว้ฉินหวางเจิ้งคงจะทราบและเล่นงานตนเองในสักวันหนึ่งแน่ แล้วทำไมเล่าไอ่ไม่ลงมือก่อนเล่า?
ในเวลาเดียวกันฉินหวางเจิ้งก็ทราบเรื่องความฉาวโฉ่ของเล่าไอ่และจ้าวจี มารดาของตนเอง ฉินหวางเจิ้งจึงสั่งให้แม่ทัพที่ชายแดนรีบนำกองทัพเข้ามาจัดการกับเล่าไอ่
เล่าไอ่เป็นคนกว้างขวาง เขาทราบเช่นกันว่าฉินหวางเจิ้งรู้เรื่องของตนแล้ว และกำลังส่งนำกองทัพเข้ามาปราบปรามตนเอง เล่าไอ่จึงตัดสินใจที่จะลงมือก่อกบฏ
เขารีบไปปรึกษากับจ้าวจีทันที จ้าวจีหลงเล่าไอ่อย่างหนัก นางจึงยินยอมที่จะร่วมหัวจมท้ายกับเล่าไอ่ด้วย ถึงแม้ฉินหวางเจิ้งจะเป็นลูกแท้ๆที่ตนเองเป็นผู้ให้กำเนิดก็ตาม
แผนการของเล่าไอ่คือ เขาจะก่อกบฏจับฉินหวางเจิ้งมาสังหาร แล้วสถาปนาบุตรของตนเองที่เกิดจากจ้าวจีขึ้นเป็นหวาง ส่วนตนเองจะเป็นผู้สำเร็จราชการสบายใจเฉิบ เพราะกุมอำนาจทั้งหมดในแคว้นฉิน
การก่อกบฏของเล่าไอ่เป็นเรื่องด่างพร้อยในประวัติศาสตร์แคว้นฉิน เพราะแคว้นฉินไม่ค่อยการแย่งชิงอำนาจภายในมากนักมาตั้งแต่สมัยตั้งแคว้น
เมื่อตัดสินใจได้แล้ว แผนการทั้งหมดเริ่มต้นด้วยการที่เล่าไอ่นำตราพระลัญจกรของไท่โฮ่วจ้าวจีมาอ้างกับทหารม้ารักษาพระองค์ให้เคลื่อนกำลังไปยังวังหลวง
พวกทหารม้าเห็นตราพระลัญจกร พวกเขาจึงไม่สามารถจะขัดขืนใดๆ ได้ ทุกนายเดินทางไปวังที่ฉินหวางเจิ้งประทับอยู่ตามที่ได้รับคำสั่ง ทหารและแขกบ้านของเล่าไอ่จำนวนหนึ่งตามหลังทหารเหล่านี้ไปด้วย
ฉินหวางเจิ้งยืนอยู่บนกำแพงวังพอดี เขาเห็นทหารม้ารักษาพระองค์เดินทางมาถึงหน้าวัง เขาจึงถามว่า
พวกเจ้ามาที่นี้มาด้วยเหตุใด ข้าไม่มีคำสั่งให้พวกเจ้ามาที่นี่ พวกเจ้าริอาจจะเป็นกบฎหรือ
หัวหน้าทหารรักษาพระองค์ตอบว่า
ข้าพระองค์ได้ทราบคำสั่งจากฉางซินโหว (เล่าไอ่) ว่ามีคนร้ายในวังหลวง จึงใคร่มาปราบปรามและรักษาความปลอดภัยให้กับพระองค์
ฉินหวางเจิ้งตวาดกลับไปว่า
ที่นี่นั้นหรือมีคนร้าย คนร้ายที่แท้จริงนั่นคือไอ้ฉางซินโหวต่างหาก พวกเจ้าจะเข้าร่วมกับข้าปราบปรามพวกมัน หรือว่าจะร่วมกับพวกมันมาเป็นกบฏ
เหล่าทหารม้ารักษาพระองค์ได้ยินคำกล่าวของฉินหวางทุกทั่วตัวตน ทุกคนจึงกลัวลนลานและหนีไปทันที บางส่วนตัดสินใจหันหลังกลับไปปะทะกับทหารและแขกบ้านของเล่าไอ่
ฉินหวางเจิ้งจึงมีคำสั่งผู้ใดจับตัวเล่าไอ่ได้จะมอบเงินหนึ่งล้านตำลึง ใครตัดหัวเล่าไอ่มาได้จะมอบเงินห้าแสนตำลึง ใครจัดการทหารเล่าไอ่ได้ล้วนแต่จะได้รางวัล ดังนั้นพวกขุนนาง ขันที และราษฎรทั่วไปต่างออกมาช่วยกันไล่สังหารพวกกบฏ
ในเวลาเดียวกันทหารสามหมื่นคนที่ฉินหวางเจิ้งสั่งให้เข้ามาในเมืองก็เข้ามาถึง ทหารและแขกบ้านของเล่าไอ่ถูกสังหารอย่างไม่ปรานี พวกกบฏจึงแตกพ่ายไป
กวาดล้าง
เมื่อพวกกบฏแตกหนีไปหมดแล้ว ฉินหวางเจิ้งจึงเข้ามาในพระราชวังและสั่งให้จับบุตรสองคนที่เป็นลูกของเล่าไอ่และจ้าวจีไปประหารชีวิตทันที โดยไม่กลัวว่าใครจะว่าตนเองเหี้ยมโหด
จ้าวจีไม่อาจจะทำอันใดได้ นางได้แต่กันแสงจนแทบจะขาดใจ ฉินหวางเจิ้งโกรธเคืองมารดายิ่งนัก เขาจึงไม่เข้าเฝ้ามารดา แต่ให้ลงทัณฑ์พวกกบฏโดยไม่ต้องสนใจคำสั่งของไท่โฮ่ว
หลังจากนั้นฉินหวางเจิ้งมีรับสั่งให้ประหารชีวิตเล่าไอ่ด้วยวิธีห้าม้าแยกร่างที่กลางตลาด ส่วนญาติพี่น้องของเล่าไอ่ต่างรับโทษประหารจนหมดสิ้น ส่วนพรรคพวกของเล่าไอ่ที่ร่วมการกบฎต่างถูกลงอาญา บ้างถูกประหารชีวิต บางคนโชคดีหน่อยไม่ตาย แต่ถูกเนรเทศไปอยู่ที่ซื่อชวน (เสฉวน)
สำหรับจ้าวจีที่ร่วมมือกับกบฏนั้น ฉินหวางเจิ้งสั่งให้นางไปอยู่ตำหนักเล็กในพระราชวัง ลดเงินส่วนตัว และให้ทหารหลายร้อยคนคอยดูการเคลื่อนไหวทุกฝีก้าว และยังไม่ให้นางออกไปที่ใดโดยไม่มีรับสั่งฉินหวางด้วย
เพลิงพิโรธของฉินหวางยังคงไม่จบสิ้น ตามกฎหมายแคว้นฉินนั้น ถ้าผู้ที่ถูกแนะนำมาเป็นกบฎ ผู้แนะนำจะมีความผิดด้วย
ในกรณีนี้ หลี่ว์ปู้เหว่ยที่แนะนำเล่าไอ่เข้ามาในวังจึงต้องมีความผิดด้วย ฉินหวางเจิ้งต้องการจะลงอาญาประหารชีวิตเขาเสีย แต่เนื่องจากหลี่ว์ปู้เหว่ยคบค้าสมาคมกับขุนนางต่างๆ มาก ขุนนางบางคนจึงรักเขาไม่น้อย พวกเขาร่วมกันทูลทัดทานฉินหวางไม่ให้ประหารหลี่ว์ปู้เหว่ยโดยอ้างว่า
ทูลต้าหวาง หลี่ว์ปู้เหว่ยมีความดีความชอบใหญ่หลวงต่อหวางองค์ก่อน เล่าไอ่เองก็ไม่เคยซัดทอดว่าหลี่ว์ปู้เหว่ยร่วมเป็นกบฏด้วย พวกข้าพระองค์ใคร่ครวญแล้วเห็นว่า ความผิดของหลี่ว์ปู้เหว่ยมีเพียงแต่นำเล่าไอ่เข้ามาในพระราชวังเท่านั้น โทษมิควรถึงประหาร ขอให้ต้าหวางทรงพิจารณาด้วย
ด้วยเหตุนี้ฉินหวางเจิ้งจึงไม่สังหารหลี่ว์ปู้เหว่ย แต่ให้พ้นจากตำแหน่งสมุหนายก และเนรเทศไปอยู่ที่ซื่อชวน ต่อมาหลี่ว์ปู้เหว่ยเกรงว่าฉินหวางเจิ้งจะสังหารตนเอง เขาจึงกินยาพิษฆ่าตัวตายจนสิ้นชีวิตลง
อำนาจทั้งปวงในแคว้นฉินจึงเป็นสิทธิ์ขาดแก่ฉินหวางเจิ้งนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเรื่องภายในเสร็จสิ้นแล้วก็ถึงเวลาที่ฉินหวางจะจัดการกับหกแคว้นตะวันออกเสียที