เมิ่งฉางจวิน (孟尝君) ผู้นี้มีนามเดิมว่า เถียนเหวิน เขาเป็นตัวอย่างหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์จีนที่แสดงให้เห็นว่า บริวารเป็นผู้ช่วยที่สำคัญยิ่งที่ทำให้เจ้านายรุ่งโรจน์ และบางครั้งยังเป็นผู้อุ้มชูเจ้านายเวลาที่ตกระกำลำบากด้วย
เรามาดูกันดีกว่าครับว่า บริวารจะช่วย “อุ้ม” เจ้านายอย่างไร
ชาติกำเนิดของเมิ่งฉางจวิน
เถียนเหวินเป็นบุตรชายของเถียนอิง สมุหนายกแคว้นฉีผู้เคยไปออกรบกับซุนปิ้นมาแล้ว เถียนเหวินเกิดมาในเดือนห้า วันที่ห้า ของปฎิทินแบบจันทรคติ ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวจีนถือว่าเป็นเวลาตกฟากที่เลว บุตรที่เกิดจะนำความหายนะมาสู่ครอบครัว
เถียนอิงผู้บิดาต้องการนำเขาไปทิ้งเสียให้อดอาหารตาย แต่มารดาของเขายังแอบเลี้ยงดูเถียนเหวินไว้จนเติบโตขึ้นเป็นเด็กน้อยคนหนึ่ง เมื่อเถียนเหวินมีอายุห้าขวบ มารดาของเขาซึ่งเป็นภรรยาน้อยที่ไม่ได้มีฐานะอะไรมากนัก จึงนำเรื่องทั้งหมดไปสารภาพกับเถียนอิง
เมื่อเวลาผ่านไปถึงห้าปี เถียนอิงก็ยังไม่เคยเลิกคิดจะนำลูกชายคนนี้ของตนเองไปทิ้ง พอได้ยินเรื่องทั้งหมดก็โกรธมาก เขาตวาดด่าว่า
เพราะเหตุใดเจ้าถึงไม่ทำตามคำสั่งของข้า เจ้าก็รู้อยู่แก่ใจ เด็กคนนี้เกิดวันที่ห้าเดือนห้า มันจะสูงเท่าประตูบ้านแล้วนำความพินาศมาสู่ครอบครัว เจ้านำมันไปทิ้งเสียบัดนี้
เถียนเหวินที่มีอายุห้าขวบกลับตอบกับบิดาของเขาว่า
มนุษย์เกิดมาด้วยบัญชาจากสวรรค์ ทำไมเราจะต้องไปยึดติดกับคำเล่าลือเช่นนี้ ถ้าการสูงถึงประตูบ้านเป็นอัปมงคล เพราะเหตุใดเราไม่สร้างประตูบ้านให้มันสูงขึ้นไปอีกเล่า
เมื่อโดนเด็กสวนเช่นนี้ เถียนอิงถึงกับอึ้งไป เถียนอิงเลยเปลี่ยนใจและเลี้ยงดูเถียนเหวินต่อไป ในใจของเขากลับรู้สึกชื่นชมความสามารถของลูกชายคนนี้อย่างเงียบๆ
พอเติบโตขึ้น เถียนเหวินได้เสนอให้ตระกูลเถียนเปิดรับแขกเข้ามาอาศัยในบ้าน ตระกูลเถียนจะเลี้ยงดูแขกเหล่านี้โดยไม่มีข้อแม้เรื่องชาติตระกูล ฐานะ สติปัญญา หรือ รูปร่างหน้าตา ทำให้คนทั้งหลายมาอยู่อาศัยกับตระกูลเถียนจำนวนมาก
สมาชิกตระกูลเถียนปฏิบัติต่อแขกทุกคนเป็นอย่างดี พวกเขาให้ความเคารพและให้เกียรติ ในเวลาต่อมาส่งผลให้ตระกูลเถียนสายของเถียนอิงเจริญรุ่งเรืองเป็นอันดับหนึ่งในแคว้นฉี และเถียนเหวินจึงมีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่เจ้าผู้ครองแคว้น ต่างคนต่างส่งทูตมาติดต่อกับเถียนเหวินทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามแขกทุกคนไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน บรรดาแขกหลายพันคนของตระกูลเถียนแบ่งออกเป็นสามชั้น แขกชั้นสูงจะมีรถให้นั่ง อาหารมีเนื้อสัตว์อย่างดี แขกชั้นกลาง อาหารจะมีเนื้อและปลาให้กิน ส่วนแขกชั้นต่ำจะมีที่ซุกหัวนอนอย่างง่ายๆและอาหารมังสวิรัติเท่านั้น
เถียนอิง บิดาของเถียนเหวินมีอายุมากแล้ว เขาต้องการจะเลือกบุตรมาสืบต่อตำแหน่งของตน และเป็นหัวหน้าตระกูลสืบต่อไป เขาเห็นเถียนเหวินมีสติปัญญาและชื่อเสียง ผู้คนให้การยอมรับ เถียนอิงจึงแต่งตั้งให้เถียนเหวินเป็นบุตรเอกสืบตำแหน่งของตนเองต่อไป หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ล้มป่วยเสียชีวิต
เถียนเหวินจึงขึ้นครองตำแหน่งของบิดา โดยมีนามว่า เมิ่งฉางจวิน
เมื่อเมิ่งฉางจวินได้สืบตำแหน่งของบิดานั้น กษัตริย์ผู้ครองแคว้นฉีก็ไม่ใช่ใครอื่น ฉีหมิ่นหวาง ผู้หยิ่งยโสนั่นเอง
ก่อนที่เถียนอิงจะจากไปนั้น เขาได้ทูลฉีหมิ่นหวางอย่างหนักให้ใส่ใจในราชการแผ่นดิน และอยู่ในทศพิธราชธรรม รวมไปถึงไม่สร้างศัตรูกับแคว้นรอบข้าง หากแต่ว่าฉีหมิ่นหวางทรงหาฟังไม่ เขาสำมะเลเทเมา และกร่างใส่แคว้นเพื่อนบ้านอยู่ตลอดเวลา
เมื่อเมื่งฉางจวินเมื่อได้เป็นสมุหนายก เขาก็พยายามทัดทานฉีหวางเช่นกัน แต่ฉีหมิ่นหวางไม่สนใจ จนกระทั่งวันหนึ่ง
ฉินจาวเซียงหวางแห่งแคว้นฉิน (บุตรชายฉินฮุ่ยเหวินหวาง เจ้านายของจางอี้) หรือเรียกสั้นๆว่าฉินหวาง ได้ยินชื่อเสียงของเมิ่งฉางจวินจึงต้องการจะพบตัวเขาเสียหน่อย แคว้นฉินจึงส่งทูตไปที่แคว้นฉีเพื่อเรียกตัวเมิ่งฉางจวินมาที่เมืองเสียนหยาง เมืองหลวงของแคว้นฉิน
เมื่อได้รับสาส์นมาจากฉินหวาง ฉีหมิ่นหวางดีใจมากจึงกล่าวกับเมิ่งฉางจวินว่า
“ท่านสมุหนายกเดินทางไปแคว้นฉินเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉินเพื่อแคว้นฉีจะได้หรือไม่ แคว้นฉินกับแคว้นเราจะได้สนิทสนมกัน การที่จะจัดการแคว้นอื่นก็จะทำได้โดยง่าย
เมิ่งฉางจวินกลัวมาก เนื่องจากแคว้นฉินแต่ไหนแต่ไรมาชอบหาข้ออ้างมาเจรจา หรือขอดูตัว หลังจากนั้นจะบีบบังคับไม่ให้กลับแคว้น ก่อนหน้านี้ไม่นานแคว้นฉินเพิ่งจะกักตัวฉู่ไหวหวางไว้ไม่ให้กลับแคว้นฉู่เป็นแรมปี จนสุดท้ายฉู่ไหวหวางสวรรคตในแคว้นฉิน เมิ่งฉางจวินจึงไม่ต้องการไปเข้าปากเสือเลยสักนิดเดียว
หากแต่ว่าฉีหวางทรงมีพระบัญชา เขาก็ขัดไม่ได้จึงต้องไปแคว้นฉินตามรับสั่ง
ไปแคว้นฉิน
เมิ่งฉางจวินให้แขกที่พำนักอาศัยอยู่ในบ้านเขาเดินทางไปด้วยถึงพันกว่าคน เมิ่งฉางจวินเดินทางอยู่แรมเดือนกว่าจะถึงเสียนหยางเมืองหลวงของแคว้นฉิน (ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) เมื่อมาถึงแล้วจึงไปเข้าเฝ้าฉินหวาง
ฝ่ายฉินหวางดีใจมากที่เมิ่งฉางจวินมาถึง เขาถึงกับลงจากบัลลังก์มาต้อนรับเมิ่งฉางจวิน ฉินจาวเซียงหวางต้องการแสดงให้เมิ่งฉางจวินว่าตนเองเป็นกษัตริย์ที่ดีและให้ความเคารพต่อนักปราชญ์ ในเวลานั้นเมิ่งฉางจวินจึงนำเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกถวายแด่ฉินหวาง
เมื่อฉินหวางได้รับของขวัญเป็นเสื้อหนังสุนัขจิ้งจอกขาวก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่ เขาสวมเสื้อดังกล่าวทันที และเดินไปทั่วตำหนักในให้เหล่านางสนมกำนัลได้ชมดู จนกระทั่งมาถึงตำหนักของพระสนมเยียนจีที่ฉินหวางโปรดปราน พระสนมเอี้ยนจีถามว่า
ต้าหวางทรงมีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกนับไม่ถ้วน เหตุไฉนพระองค์ทรงโสมนัสยิ่งนักที่ได้เสื้อคลุมตัวนี้มา หม่อมฉันไม่เข้าใจเลย ขอพระองค์ทรงกรุณาอธิบายให้หม่อมฉันผู้ต่ำต้อยได้ทราบความด้วย
ฉินหวางได้ฟังก็หัวเราะและกล่าวกับพระสนมเอี้ยนจีว่า เสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกตัวอื่นสู้เสื้อคลุมตัวนี้ไม่ได้ เพราะมันมีสีขาวงดงามทั้งตัว ถ้าจะหาได้ต้องหาได้จากแคว้นฉีทางทิศตะวันออกเท่านั้น มันจึงเป็นของหายากมาก
พระสนมเอี้ยนจีจึงเข้าใจและนางเริ่มปรารถนาอยากได้เสื้อตัวนี้ขึ้นมาอย่างลึกๆ เช่นเดียวกัน
ฉินหวางโปรดปรานเมิ่งฉางจวินมากหลังจากได้พูดคุยกับเขา เขาจึงวางแผนจะแต่งตั้งเมิ่งฉางจวินขึ้นเป็นสมุหนายกแคว้นฉินเสียเลย
บรรดาขุนนางแคว้นฉินได้ยินข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วราชสำนักว่าฉินหวางจะทรงแต่งตั้งให้เมิ่งฉางจวินที่เพิ่งมาจากแคว้นฉีเป็นสมุหนายกก็ไม่พอใจมาก หัวหน้าของกลุ่มแอนตี้เมิ่งฉางจวินคือ ซู่ลี่จี สมุหนายกแคว้นฉินคนปัจจุบันและแม่ทัพที่เคยบดขยี้กองทัพห้าแคว้นมาแล้ว
ซู่ลี่จีกลัวจะสูญเสียอำนาจถ้าตนเองกระเด็นจากตำแหน่งสมุหนายก เขาจึงลอบให้ขุนนางคนสนิทไปทูลต่อฉินหวางว่า
ต้าหวางทรงแน่พระทัยแล้วหรือว่าจะทรงแต่งตั้งเมิ่งฉางจวินเป็นสมุหนายก เมิ่งฉางจวินหรือเถียนเหวินเป็นถึงเชื้อพระวงศ์แคว้นฉี ถ้าเขาได้เป็นสมุหนายกแคว้นฉินย่อมจะคิดถึงแคว้นฉีก่อนแคว้นฉิน นอกจากนั้นเขายังมีแขกบ้านกว่าพันคนที่ติดตามเขามา แต่ละคนล้วนแต่มีความสามารถมากมายที่ต่างกัน ถ้าเขาลอบคิดทรยศแคว้นฉินเราเล่า ต้าหวางทรงมิกลัวแคว้นฉินอยู่ในอันตรายหรืออย่างไร
เมื่อได้รับฟังเช่นนั้น ฉินหวางกลับกระวนกระวายใจจึงให้ขุนนางทั้งปวงตัดสิน บรรดาขุนนางแคว้นฉินล้วนแต่อิจฉาเมิ่งฉางจวิน พวกเขาต่างพากันทัดทานฉินหวางไม่ให้แต่งตั้งเมิ่งฉางจวินเป็นสมุหนายก สุดท้ายฉินหวางจึงล้มเลิกความคิดจะแต่งตั้งเมิ่งฉางจวิน
อย่างไรก็ตามฉินหวางถามพวกขุนนางว่าจะทำอย่างไรกับเมิ่งฉางจวินดี จะปล่อยกลับแคว้นฉีดีหรือไม่
ซู่ลี่จีทูลต่อฉินหวางว่า
เมิ่งฉางจวินได้อยู่เมืองเสียนหยางมาเดือนเศษแล้ว บัดนี้พวกแขกของเขาคงได้สำรวจเมือง และรับทราบเรื่องภายในแคว้นฉินจนสิ้นแล้ว ถ้าต้าหวางทรงปล่อยเขาไป ข้าพระองค์เกรงว่าจะเป็นการปล่อยเสือเข้าป่า ดังนั้นข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงสังหารเขาเสีย เพื่อไม่ให้เป็นภัยกับแคว้นเราในภายภาคหน้า
ฉินหวางได้ฟังก็เห็นด้วยจึงอนุมัติให้ตามคำขอ ทหารฉินจำนวนหนึ่งไปคุมตัวเมิ่งฉางจวินไว้ในห้องพัก ไม่ให้ออกไปไหน
ชีวิตของเมิ่งฉางจวินจึงอยู่ในอันตรายอย่างฉับพลัน เขาจะเอาตัวรอดได้อย่างไร?
แขกเก่งลักขโมย
เมิ่งฉางจวินอยู่ในสถานการณ์ที่คับขันยิ่งนัก เขาอยู่ภายในเมืองหลวงของศัตรูไม่สามารถจะหลบหนีได้โดยง่าย แถมยังมีทหารควบคุมตัวอย่างเคร่งครัดอีก
อย่างไรก็ดีช่วงเวลาที่เขาอยู่ในแคว้นฉิน เมิ่งฉางจวินได้ผูกมิตรกับน้องชายของฉินหวาง ซึ่งเป็นขุนนางสำคัญคนหนึ่งในราชสำนักฉิน เขาจึงมาเตือนเมิ่งฉางจวินด้วยตนเอง
เมื่อเมิ่งฉางจวินได้ทราบข่าวถึงกับตกตะลึง เขาไม่ทราบว่าจะเอาตัวรอดได้อย่างไรดี น้องชายของฉินหวางจึงแนะนำให้เมิ่งฉางจวินส่งคนไปติดต่อกับพระสนมเยียนจี และให้นางทูลฉินหวางให้ปล่อยตัวเขากลับแคว้นฉี
คนของเมิ่งฉางจวินรีบเข้าวังทันที พระสนมเอี้ยนจีระลึกได้ว่าเมิ่งฉางจวินเคยถวายเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกกับฉินหวาง นางจึงบอกกับคนของเมิ่งฉางจวินว่า ถ้าเมิ่งฉางจวินหาเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกสีขาวมาให้นางได้ นางจะทูลให้เขากลับแคว้นฉี
เมื่อได้ทราบเงื่อนไขแล้ว เมิ่งฉางจวินยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่าเดิมเสียอีก เพราะเขามีเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกเพียงตัวเดียว และตัวนั้นเขาก็ถวายต่อฉินหวางไปแล้ว!
เขาจึงนำเรื่องมาปรึกษากับบรรดาแขก ในบัดนั้นมีแขกระดับล่างที่มีฐานะต่ำต้อยกล่าวกับเมิ่งฉางจวินว่า เขาสามารถนำเสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกมาให้ท่านได้
เมิ่งฉางจวินถามเขาทันทีว่าเขาจะไปหาเสื้อมาจากที่ใด แขกคนนั้นบอกแค่ว่าขอให้เมิ่งฉางจวินวางใจ เพราะเขาจะหาเสื้อคลุมตัวนั้นมาให้เมิ่งฉางจวินได้แน่ๆ เมิ่งฉางจวินไม่มีทางเลือกเลยจำต้องอนุญาตให้แขกผู้นั้นไปดำเนินการได้
อันที่จริงแขกของเมิ่งฉางจวินคนนี้มีความสามารถในการย่องเบาราวกับสุนัข เขารอให้ฟ้ามืดแล้วจึงเดินทางไปในสถานที่หนึ่งในแคว้นฉิน ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีการรักษาความปลอดภัยสูงที่สุด
นั่นคือพระราชวังหลวงของฉินหวางนั่นเอง!!
แขกของเมิ่งฉางจวินแต่งกายปอนๆ แล้วลักลอบเข้าไปในวังหลวง เขาเดินสี่ขาแบบสุนัขเข้าไปถึงหน้าท้องพระคลังแคว้นฉิน
จังหวะนั้นเองทหารยามได้ยินเสียงเดินขลุกขลักจึงเดินเข้ามาใกล้ตัวเขา แขกของเมิ่งฉางจวินผู้นี้จึงส่งเสียงร้องเหมือนกับสุนัข เหล่าทหารยามจึงคิดว่าเป็นสุนัขที่ตนเองเลี้ยงไว้เฝ้าเวรยาม เลยไม่ได้ระแวงสงสัย
แขกของเมิ่งฉางจวินรอจนถึงเที่ยงคืนเศษ พวกทหารยามล้วนแต่เหนื่อยล้าจากการเฝ้าเวร พวกเขาจึงพากันนั่งหลับ เปิดโอกาสให้แขกของเมิ่งฉางจวินดึงกุญแจจากทหารยาม ฝีมือของเขาช่างเยี่ยมยอดราวกับนักล้วงระดับท็อป เขาได้กุญแจมาโดยที่พวกทหารไม่รู้สึกตัวเลย
หลังจากนั้นเขานำกุญแจไปเปิดประตูท้องพระคลัง เขาค้นอยู่ไม่นานก็พบกับเสื้อคลุมขนสุนัขจิ้งจอกที่ต้องการอยู่ในคลังจริงๆ เขาจึงรีบนำมันกลับมาให้เมิ่งฉางจวินทันที
เมิ่งฉางจวินดีใจยิ่งนัก เขาให้คนสนิทนำไปถวายพระสนมเยียนจีเพื่อให้นางช่วยเหลือตนโดยด่วน เมื่อได้รับเสื้อแล้ว พระนางจึงกราบทูลฉินหวางในคืนต่อมาว่าฉินหวางจะสังหารเมิ่งฉางจวินจริงหรือไม่
ฉินหวางตอบรับว่าเป็นความจริง นางเลยกราบทูลฉินหวางว่า
“แต่เดิมเมิ่งฉางจวินไม่ได้ต้องการมาแคว้นฉินเรา แต่เพราะต้าหวางทรงส่งทูตไปเชิญตัวเขามาพบ เขาจึงยอมเสี่ยงอันตรายมาแคว้นฉิน แล้วต้าหวางจะทรงสังหารเขาโดยไม่มีความผิดเช่นนี้ พวกผู้มีสติปัญญาจะคิดอย่างไรกับแคว้นฉิน พวกเขาจะไม่เข้ามาทำงานให้ต้าหวางและกลับไปทำงานให้แคว้นทั้งหก แล้วบรรดาราษฎรจะมองต้าหวางอย่างไรกันเล่า พวกเขาจะมองต้าหวางว่าทรงไม่มีคุณธรรม หม่อมฉันขอร้องให้ต้าหวางทรงทบทวนพระราชวินิจฉัยด้วยเถิด
ฉินจาวเซียงหวางคิดว่าคำพูดของพระสนมมีเหตุผลไม่น้อยจึงเปลี่ยนใจ ในวันรุ่งขึ้นจึงสั่งให้ทหารออกเอกสารผ่านด่านให้เมิ่งฉางจวินกลับไปได้
เอกสารผ่านด่านในที่นี้คล้ายคลึงกับพาสปอร์ตในยุคปัจจุบัน ตามกฎหมายของซางยาง ราษฎรแคว้นฉินจะเดินทางไปที่ใดนอกบ้านเกิดเมืองนอนต้องพกเอกสารผ่านด่านติดตัว มิฉะนั้นจะไม่สามารถเดินทางไปที่ใดได้ และไม่สามารถพักในโรงเตี๊ยมใดๆ ได้อีกด้วย
เมิ่งฉางจวินรีบออกจากเมืองเสียนหยางราวกับลมพัด เนื่องจากเขาเกรงกลัวว่าฉินหวางจะเปลี่ยนใจอีกครั้ง
แขกผู้ปลอมเอกสารเก่ง
อย่างไรก็ตามออกจากเมืองเสียนหยางมาได้ก็ไม่ใช่ว่าจะรอด ด่านต่างๆ ของแคว้นฉินยังมีอยู่อีกมากมาย และแต่ละด่านต่างจับตาดูเขาเป็นพิเศษ ทำให้เมิ่งฉางจวินเดินทางไปได้ช้ามาก
แขกคนหนึ่งกล่าวกับเมิ่งฉางจวินว่า เขามีความสามารถในการปลอมแปลงเอกสาร ขอให้เขาเปลี่ยนเอกสารผ่านด่านให้กับเมิ่งฉางจวิน
แขกคนนั้นเปลี่ยนเอกสารผ่านด่านของเมิ่งฉางจวินทั้งหมด ทำให้เขาผ่านด่านต่างๆ ได้โดยไม่เป็นที่สงสัยของบรรดาทหารฉิน จนกระทั่งมาถึงด่านสุดท้ายก่อนจะออกไปสู่พรมแดนของแคว้นทั้งหก ด่านนี้คือด่านหานกู่นั่นเอง
เมื่อเมิ่งฉางจวินเดินทางมาถึงด่านหานกู่เป็นเวลาดึกสงัด ประตูด่านจึงปิดแล้วเรียบร้อย และจะเปิดใหม่ตอนเช้า ทำให้เขายังติดอยู่ไม่สามารถออกไปได้
เมิ่งฉางจวินรู้สึกร้อนใจยิ่งนัก เพราะถ้าฉินหวางส่งกองทัพตามมา เขาต้องถูกจับไปประหารอย่างไม่ต้องสงสัย
แขกผู้ร้องเป็นเสียงไก่ขัน
จู่ๆ แขกผู้หนึ่งกลับเดินมาเขาและบอกว่า
ข้าสามารถร้องเป็นเสียงไก่ขันได้ ขอให้ท่านสมุหนายกโปรดให้ข้าลองร้องดู บรรดาทหารยามจะได้เข้าใจผิดว่า เป็นเวลาเช้าแล้ว จะได้ปล่อยท่านออกไป
เมิ่งฉางจวินได้ยินเช่นนั้นก็หัวเราะ แล้วบอกให้เขาไปลองทำได้
แขกคนดังกล่าวจึงร้องเป็นเสียงไก่ขันดังไปทั่วรอบบริเวณ พวกไก่ที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้จึงขันรับต่อกันไป พวกทหารที่รักษาด่านจึงคิดว่าฟ้าสางแล้ว พวกเขาจึงออกมาตรวจเอกสารของเมิ่งฉางจวินและบรรดาแขก และอนุญาตให้เดินทางออกจากด่านไปได้
เมิ่งฉางจวินและแขกเหรื่อจึงเดินทางออกจากแคว้นฉินตลอดคืนเพราะเกรงกลัวว่าฉินหวางจะทรงส่งกองทัพตามมา ซึในภายหลังฉินหวางก็ทรงส่งกองทัพมาตามตัวเมิ่งฉางจวินจริงๆ เพราะซูลี่จีได้ทักท้วงฉินหวางเปลี่ยนใจอีกครั้ง
แต่ในเวลานั้น เมิ่งฉางจวินออกจากแคว้นฉินไปไกลแล้ว ไม่สามารถจะตามตัวได้อีกต่อไป
ผ่านไปสองสามวัน ฉินหวางเห็นพระสนมเยียนจีใส่เสื้อคลุมสุนัขจิ้งจอกสีขาว ฉินหวางเกิดสงสัยว่านางได้เสื้อตัวนี้มาอย่างไร เขาจึงขุนนางผู้ดูแลรักษาคลังสืบสวน ขุนนางพบว่าแขกของเมิ่งฉางจวินได้ขโมยไปถวายพระสนมเยียนจี
ฉินหวางถอนหายใจใหญ่และปรารภกับเหล่าขุนนางว่า
เมิ่งฉางจวินช่างเป็นยอดบุรุษแห่งยุค เขามีผู้ติดตามที่มีความสามารถไปทุกสิ่งราวกับ ตลาดใหญ่ในเมืองเสียนหยางที่มีของขายครบ แม้แต่แคว้นฉินของข้ายังไม่อาจจะเทียบได้กับเขาเลย
ฉินหวางไม่ได้ทรงถือสาเอาความต่อไป เสื้อดังกล่าวมอบให้พระสนมเอี้ยนจีเอาไว้ใส่ และไม่เอาโทษขุนนางผู้รักษาคลังด้วย
เมิ่งฉางจวินเดินทางกลับไปยังแคว้นฉีได้สำเร็จ ฉีหมิ่นหวางให้เขาดำรงตำแหน่งสมุหนายกตามเดิม เมิ่งฉางจวินได้ปูนบำเหน็จให้แขกที่ลักขโมยเหมือนสุนัข ปลอมแปลงเอกสาร และ ขันเหมือนไก่ขันอย่างงามเป็นแขกบริวารชั้นสูง
เรื่องดังกล่าวเป็นคติสอนใจชาวจีนในภายหลังว่า ความสามารถทุกสิ่งมีประโยชน์ แม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม อย่างเช่น ขโมยได้อย่างสุนัข หรือ ขันอย่างไก่ขันในเรื่องของเมิ่งฉางจวินนั่นเอง
หากแต่ว่าชีวิตของเมิ่งฉางจวินยังจะต้องประสบพบเจอกับเรื่องอีกมากมาย จะเป็นเรื่องอะไรกันแน่
เฝิงซวนแขกผู้หยิ่งยโส
ในนครหลวงของแคว้นฉีอย่างเมืองหลินจือคลาคล่ำไปด้วยเหล่าราษฎรมากมาย หากแต่ว่าไม่มีที่ใดคึกคักเท่ากับที่บริเวณบ้านของเมิ่งฉางจวินที่มีแขกพักอาศัยถึงสามพันคน
หลังจากกลับมาจากแคว้นฉินนั้น ชื่อเสียงของเมิ่งฉางจวินโด่งดังไปกว่าเดิม มีผู้คนต่างๆ มาขออาศัยกับเขามากมาย
มีอยู่วันหนึ่งมี ชายผู้หนึ่งชื่อว่าเฝิงซวน เขาถือกระบี่เก่าแก่คร่ำคร่าเดินทางมาขออยู่อาศัยด้วย
เมิ่งฉางจวินจึงถามเฝิงซวนว่า เขาชื่ออะไร และมีความสามารถอะไร
เฝิงซวนตอบสั้นๆ เพียงว่า
ข้าชื่อเฝิงซวน ไม่มีความสามารถอะไร ปรารถนาจะมาอยู่กับท่านเพื่ออยู่ไปวันๆ เท่านั้น
เมิ่งฉางจวินเห็นเขาไม่มีความสามารถอะไรจึงให้เขาไปอยู่บ้านพักของแขกชั้นล่าง นั่นคือมีข้าวกินแต่ไม่มีเนื้อสัตว์ และที่พักก็ค่อนข้างจะแออัด
หลังจากที่เฝิงซวนอยู่ที่บ้านพักแขกชั้นล่างได้ไม่นาน เขาก็ออกมานั่งหน้าบ้าน และร้องเพลงกับกระบี่ลอยๆ ว่า
กระบี่เอ๋ย เรากลับบ้านกันเถิด อยู่ที่นี่กินข้าวทีไรก็ไม่มีปลาให้กิน
บรรดาคนใช้ได้ยินคำกล่าวของเฝิงซวนจึงไปรายงานต่อเมิ่งฉางจวิน เขาคิดว่าเฝิงซวนกล่าวเช่นนี้ก็เพราะคิดว่าเขาดูแลเฝิงซวนได้ไม่ดีพอ เมิ่งฉางจวินจึงสั่งให้ปรับเปลี่ยนอาหารเป็นของแขกระดับกลางให้เขา ทุกมื้ออาหารมีเนื้อสัตว์พร้อม
แต่แล้วจู่ๆ เฝิงซวนก็ร้องเพลงเดิมอีก แต่เปลี่ยนเนื้อร้องว่า
กระบี่เอ๋ย เรากลับบ้านกันเถิด อยู่ที่นี่จะไปที่ไหนก็ไม่มีรถ
เมิ่งฉางจวินจึงเลื่อนให้เขาเป็นแขกชั้นหนึ่ง ไปไหนก็มีรถให้นั่ง หลังจากนั้นเฝิงซวนก็ไม่ได้ร้องเพลงอีก
เวลาผ่านไปปีเศษ ที่วังของเมิ่งฉางจวินเกิดปัญหาใหญ่ขึ้นปัญหาหนึ่ง การที่แขกมาพักอยู่จำนวนมากทำให้เขาต้องแบกรับค่าใช้จ่ายสูงมาก การเงินของเมิ่งฉางจวินจึงเริ่มร่อยหรอ
เมิ่งฉางจวินคิดได้ว่าที่เมืองเซียเมืองศักดินาของเขานั้น ยังมีผู้ติดหนี้เขาที่ยังไม่จ่ายอีกมากมาย เมิ่งฉางจวินจึงต้องการนำเงินที่ปล่อยกู้ให้ราษฎรเมืองเซียไปบรรเทาปัญหาเรื่องเงินทอง
เขาจึงเรียกประชุมบรรดาแขกว่าจะมีผู้ใดจะไปเก็บหนี้สินที่เมืองเซียได้บ้าง
เฝิงซวนเห็นไม่มีแขกคนอื่นอาสา ตนเองจึงเดินออกมาและขอเมิ่งฉางจวินไปเก็บหนี้ที่เมืองเซีย
ฝ่ายเมิ่งฉางจวินกลับครุ่นคิดว่าจะให้เฝิงซวนไปดีหรือไม่ แขกคนหนึ่งจึงกล่าวว่า
เฝิงซวนไม่บอกว่าตนเองมีความสามารถอันใด แต่กลับมาขอเป็นแขกชั้นหนึ่งของนายท่าน เขาน่าจะมีความสามารถและความซื่อสัตย์อยู่บ้าง ข้าขอให้นายท่านลองดู
เมิ่งฉางจวินจึงยินยอมให้เฝิงซวนไป ก่อนที่จะไปเฝิงซวนได้กล่าวกับเมิ่งฉางจวินว่า
เรียนนายท่าน ก่อนที่จะกลับมาจากเมืองเซีย ข้าขออนุญาตซื้อของมาฝากนายท่านได้หรือไม่
เมิ่งฉางจวินได้ฟังก็หัวเราะและตอบไปว่า
ท่านพิจารณาดูเองก็แล้วกัน ถ้าวังของเราขาดอะไรท่านก็ซื้อกลับมาตามที่ท่านเห็นสมควรเถิด
พอเฝิงซวนไปถึงเมืองเซีย เขาเรียกเหล่าชาวบ้านมาจ่ายหนี้สิน โดยรวมแล้วได้เงินมาประมาณหนึ่งแสนชั่ง เฝิงซวนกลับนำเงินไปซื้ออาหารและเหล้ามาเลี้ยงชาวบ้านเหล่านั้นจนอิ่มหนำสำราญกันทุกคน
พองานกินเลี้ยงจบลง เฝิงซวนประกาศว่า
ข้าได้พิจารณาเอกสารของพวกท่านที่เหลือแล้ว ผู้ที่มีฐานะพอจะชำระหนี้ได้ก็ขอให้ชำระหนี้เสียเถิด ส่วนผู้ที่ยังไม่สะดวกจะชำระหนี้ได้ตอนนี้ก็ผัดผ่อนไปชำระทีหลัง ส่วนผู้ที่ยากจนยังไม่สามารถชำระหนี้ได้ขอให้ตามข้ามาตรงนี้
เฝิงซวนจึงนำเอกสารของพวกที่ยากจนค้นแข้นที่เขาเห็นว่าไม่มีปัญหาชำระหนี้มาทั้งหมด แล้วเผาทิ้งเสียสิ้น แล้วประกาศด้วยเสียงอันดังว่า
ท่านเมิ่งฉางจวินกล่าวว่าที่มอบเงินกู้ให้กับพวกท่านนั้นก็เพราะให้พวกท่านพัฒนาที่ดินทำกิน ไม่ใช่ว่าต้องการค่าดอกเบี้ย พวกท่านอย่าได้ลืมบุญคุณของท่านเมิ่งฉางจวินครั้งนี้เสียละ
บรรดาราษฎรเมืองเซียทั้งหมื่นครอบครัวรู้สึกปลี้มปิติเป็นล้นพ้น ทุกคนพากันกล่าวว่า
ท่านเมิ่งฉางจวินเหมือนกับบิดาของพวกเรา พวกเราจะเทิดทูนบุญคุณของท่านตลอดไป
เมิ่งฉางจวินที่อยู่ที่เมืองหลินจือได้ทราบพฤติกรรมของเฝิงซวนตลอด เขาโมโหโกรธาจนหน้าแดงไปหมด เขาใช้ให้คนไปพาตัวเฝิงซวนมาโดยเร็ว พอพบหน้าเฝิงซวน เมิ่งฉางจวินรีบถามว่า
ท่านแขกเก็บหนี้สินได้เสร็จแล้วหรือ เหตุไฉนจึงกลับมามือเปล่าเล่า แล้วท่านซื้ออะไรกลับมาให้ข้าหรือไม่”
เฝิงซวนจึงรีบตอบว่า
ข้าได้เก็บหนี้ให้ท่านเสร็จแล้ว แต่เงินเหล่านั้นข้าได้ใช้ไปหมดแล้วเพื่อซื้อคุณธรรมให้กับท่าน
เมิ่งฉางจวินตกตะลึงจึงกล่าวว่า
ข้ามีแขกสามพันคน รายจ่ายมีมากมายจึงให้ท่านไปเมืองเซีย หวังให้ท่านเก็บดอกเบี้ยเหล่านั้นมาเป็นค่าใช้จ่ายเลี้ยงแขก แต่ท่านไปเมืองเซียแล้วเผาเอกสารไปครึ่งนึง แถมนำเงินที่เก็บได้ไปเลี้ยงเหล้าและอาหารเหล่าราษฎรจนหมด ท่านซื้อคุณธรรมอะไรมาให้ข้ากันเล่า”
เฝิงซวนจึงตอบว่า
เมืองเซียเป็นเมืองศักดินาของตระกูลนายท่านมาหลายยุคหลายสมัย นายท่านต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับบรรดาราษฎร ถ้านายท่านไปเร่งรัดดอกเบี้ยกับพวกที่จ่ายไม่ได้อยู่แล้ว พวกเขาจะโกรธเคืองนายท่าน หรือไม่ก็หนีไปจากเมืองเซีย แล้วนายท่านจะได้ประโยชน์ใดกัน ข้าจึงเผาเอกสารที่ไม่เกิดประโยชน์เหล่านั้นเสีย เพื่อแสดงให้ราษฎรเห็นว่านายท่านรักราษฎร เช่นนี้พวกเขาก็จะรักในความเมตตาของนายท่าน เช่นนี้ไม่เรียกว่าซื้อคุณธรรมหรืออย่างไร
ในใจของเมิ่งฉางจวินไม่เห็นด้วยเลยสักนิดเดียว แต่เมื่อเอกสารเงินกู้ถูกเผาไปหมดแล้วจึงไม่สามารถทำอะไรได้ เขาต้องอนุโลมให้ไปเป็นตามคำของเฝิงซวน
กระต่ายดีต้องมีสามโพรง
ในขณะนั้นฉินจาวเซียงหวางกลับเสียดายในตัวของเมิ่งฉางจวิน เขาคิดว่าเมิ่งฉางจวินมีผู้ติดตามที่มีสติปัญญาและความสามารถ ถ้าแคว้นฉีใช้เขา แคว้นฉินจะอยู่ในอันตราย ฉินหวางจึงให้จารชนไปปล่อยข่าวในแคว้นฉีว่า เมิ่งฉางจวินมีผู้ติดตามมากมาย เขาคิดจะครองบัลลังก์แคว้นฉีเป็นแน่
ข่าวลือแพร่สะพัดไปในแคว้นฉีอย่างรวดเร็ว ทำให้ฉีหมิ่นหวางระแวงสงสัย สุดท้ายจึงปลดเมิ่งฉางจวินออกจากตำแหน่งสมุหนายกแล้วไล่กลับไปยังเมืองเซีย
พวกแขกหนีหายไปทั้งหมดหลังจากที่เขาพ้นจากตำแหน่ง เหลือเพียงแขกคนเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเฝิงซวนนั่นเอง!
เฝิงซวนขับรถม้าให้เขาไปถึงเมืองเซีย
พอมาถึงเมืองเซีย เมิ่งฉางจวินตกใจยิ่งนัก เพราะบรรดาชาวเมืองเซียต่างสำนึกในบุญคุณของเมิ่งฉางจวินในเรื่องหนี้เมื่อคราวก่อน พวกเขาจึงพากันมาต้อนรับเมิ่งฉางจวินที่หน้าเมือง และนำสุราอาหารมาเลี้ยงดูเมิ่งฉางจวินอย่างดี
เมิ่งฉางจวินซาบซึ้งใจยิ่งนัก ในที่สุดเขาจึงเข้าใจในคำกล่าวของเฝิงซวนก่อนหน้านี้ที่ได้ซื้อคุณธรรมให้เขาไว้ล่วงหน้า ทำให้เขาได้รับการต้อนรับอย่างดีจากบรรดาชาวเมือง
เขาเรียกเฝิงซวนมาพบและขอบคุณเขา ที่ได้เผาเอกสารของชาวเมืองก่อนหน้านี้ แต่เฝิงซวนกลับกล่าวว่า
นายท่านอย่าเพิ่งได้พอใจที่ได้รับการรักและเคารพจากชาวเมืองเซีย ข้าได้ยินมาว่ากระต่ายฉลาดจะต้องมีโพรงอยู่อาศัยถึงสามแห่ง ข้าขอรถม้าคันหนึ่ง และค่าใช้จ่ายบางส่วน ข้าจะสร้างรังแห่งที่สองและสามให้กับท่าน
เมิ่งฉางจวินไม่สงสัยในสติปัญญาของเฝิงซวนอีกต่อไป เขาจึงมอบสิ่งที่เฝิงซวนต้องการ เฝิงซวนรีบเดินทางไปแคว้นฉินทันทีเพื่อเข้าพบฉินจาวเซียงหวาง เขาทูลต่อฉินหวางว่าฉินหวางทราบเรื่องที่เมิ่งฉางจวินถูกปลดออกจากตำแหน่งหรือไม่
ฉินหวางตอบว่าตนเองได้รับทราบแล้ว
เฝิงซวนทูลต่อไปว่า
ความเข้มแข็งของแคว้นฉีเกิดขึ้นเพราะการบริหารงานอันชาญฉลาดของเมิ่งฉางจวิน ถ้าต้าหวางทรงให้เมิ่งฉางจวินมาเป็นสมุหนายกแคว้นฉิน พระปณิธานอันยิ่งใหญ่ของต้าหวางที่จะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งต้องเป็นจริงอย่างแน่นอน
หลังจากนั้นฉินหวางนำวาจาของเฝิงซวนไปครุ่นคิด สุดท้ายฉินหวางตัดสินใจส่งทูตพร้อมคณะใหญ่โตไปรับเมิ่งฉางจวินมาเป็นสมุหนายกแคว้นฉิน
ระหว่างที่ขบวนของแคว้นฉินกำลังเดินทางมาเมืองเซีย เฝิงซวนรีบขับรถม้าอย่างรวดเร็วไปทางทิศตะวันออกเพื่อให้ไปถึงก่อนขบวนแคว้นฉิน เขาไปเข้าเฝ้าฉีหมิ่นหวางและทูลว่า
ทูลต้าหวาง แคว้นฉินกับแคว้นฉีเป็นแคว้นที่ชิงดีชิงเด่นกัน แคว้นฉินเป็นมหาอำนาจทางทิศตะวันตก ส่วนแคว้นฉีของต้าหวางเป็นมหาอำนาจทางทิศตะวันออก บัดนี้ฉินหวางทรงมีพระบัญชาส่งทูตมาเชิญเมิ่งฉางจวินไปเป็นสมุหนายกที่แคว้นฉิน ถ้าฉินหวางได้เมิ่งฉางจวินไปแล้วจะเป็นเช่นไร ข้าเห็นว่าจะไม่เป็นประโยชน์กับแคว้นฉี จึงรีบมาทูลให้ต้าหวางทรงทราบ
ฉีหมิ่นหวางรีบส่งคนไปสืบข่าวก็ได้ความว่า ฉินหวางทรงส่งทูตมาจริงๆ ฉีหวางจึงทรงมีพระบัญชาให้เมิ่งฉางจวินกลับเข้ารับตำแหน่งสมุหนายกตามเดิม และเพิ่มศักดินาให้อีกพันครัวเรือน
ภารกิจของเฝิงซวนจึงเสร็จสมบูรณ์ เขาได้กล่าวกับเมิ่งฉางจวินว่า
บัดนี้เมืองเซีย เมืองเสียนหยาง (แคว้นฉิน) เมืองหลินจือ (แคว้นฉี) ล้วนแต่รักและเคารพท่าน ต่อจากนี้นายท่านสามารถนอนบนหมอนสูงได้อย่างไร้กังวลแล้ว
เรื่องนี้ทำให้เกิดสำนวนจีนที่มีชื่อเสียงสำนวนหนึ่งเรียกว่า เจี่ยวทู่ซานคู (狡兔三窟) หรือ กระต่ายชาญฉลาดมีสามโพรง แปลว่า ผู้มีสติปัญญาควรจะเตรียมหนทางไว้สามหนทางเพื่อมีชีวิตรอด หรือมี Plan A, Plan B และ Plan C นั่นเอง
เรื่องที่ผมเล่าเกี่ยวกับ เมิ่งฉางจวินนั้นเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงที่สุดของเมิ่งฉางจวิน หนังสือทั่วไปก็จะเน้นหนักไปที่ตรงนี้ และจบลงหลังจากที่ เมิ่งฉางจวินเป็นกระต่ายมีสามโพรง โดยที่ไม่เล่าถึงชีวิตของเขาต่อไป
แต่ในโพสนี้ ผมจะเล่าด้วยว่าเขามีชีวิตในบั้นปลายอย่างไร
บั้นปลายของเมิ่งฉางจวิน
เมิ่งฉางจวินบริหารงานด้วยความเฉลียวฉลาดและซื่อสัตย์อย่างยิ่ง แต่ว่าฉีหมิ่นหวางกลับไม่โปรดปรานเขาเท่าไรนัก เพราะว่าเขาทัดทานพระองค์เรื่องความฟุ่มเฟือยและเรื่องการแสดงอำนาจกดขี่แคว้นอื่นอยู่บ่อยๆ
หลังจากที่ฉีหมิ่นหวางทำลายแคว้นซ่งได้สำเร็จ และบีบบังคับให้เจ้าผู้ครองแคว้นเล็กๆอย่างแคว้นเว่ย (คนละแคว้นกับแคว้นเว่ยที่เป็นหนึ่งในแคว้นสามจิ้น) แคว้นลู่ มาเข้าเฝ้า ฉีหวางยิ่งเย่อหยิ่งจองหอง โอ้อวดพระราชอำนาจยิ่งไปมากกว่าเดิม มีอยู่วันหนึ่งถึงกับกล่าวกับบรรดาขุนนางว่า
ข้าได้ทำลายแคว้นเยียนและแคว้นซ่งย่อยยับ ส่วนแคว้นเว่ย แคว้นฉู่ถูกข้าโจมตีแตกพ่ายจนต้องยอมสงบศึกตัดดินแดนมามอบให้ ทุกแคว้นล้วนแต่เกรงกลัวพลังอำนาจของข้า ข้าจะยกกองทัพไปทำลายแคว้นโจวทั้งสองเสีย แล้วไปยกกระถางถูปมาตั้งไว้ที่นี่เพื่อสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิเช่นดั่งยุคโบราณจะดีหรือไม่
บรรดาขุนนางทุกคนต่างเงียบ เพราะรู้ซึ้งถึงความบ้าระห่ำของฉีหมิ่นหวาง หากแต่ว่ามีสมุหนายกเมิ่งฉางจวินผู้เดียวที่กล่าวคำทัดทานต่อพระองค์
ซ่งหวางมักมากกักขฬะเป็นทรราช เบียดเบียนแว่นแคว้นอื่น ต้าหวางจึงทรงใช้เป็นโอกาสทำลายแคว้นซ่งสูญสิ้น ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงใช้แคว้นซ่งเป็นบทเรียน แคว้นโจวถึงแม้จะอ่อนแอ แต่เจ็ดแคว้นยึดถือว่าเป็นประมุขสูงสุดมาตั้งแต่โบราณ เจ็ดแคว้นทำสงครามกันก็ไม่ได้นำแคว้นโจวไปยุ่งเกี่ยว ข้าพระองค์เห็นว่าการจะทำลายแคว้นโจวเป็นเรื่องเกินตัวนัก ต้าหวางจะนำพาความโกรธแค้นเกลียดชังของแคว้นอื่นมาสู่แคว้นฉีเรามากกว่าเดิม ทำให้แคว้นฉีจักประสบภัยพิบัติเป็นแน่
ฉีหมิ่นหวางไม่พอใจมากกับคำกล่าวของเมิ่งฉางจวิน เขากล่าวว่า
ซางทังปราบปรามราชวงศ์เซี่ย โจวอู่หวางทรงปราบปรามราชวงศ์ซาง (ของโจ้วหวาง) สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์รวมรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง ข้านั้นหรือจะด้อยกว่าซางทังและ จวหวู่หวาง เพียงแต่ท่านนั้นเองที่ไม่อาจเทียบเท่ากับอีอิ่น และ เจียงไท่กง
หลังจากนั้นฉีหวางสั่งให้ถอดเมิ่งฉางจวินออกจากตำแหน่งสมุหนายกเป็นคำรบสอง
เมื่อพ้นจากตำแหน่งในรอบนี้นั้น เมิ่งฉางจวินไม่มีความกล้าหาญจะอยู่ในแคว้นฉีอีกต่อไป เขาหลบหนีออกจากแคว้นไปอาศัยอยู่กับ ซิ่นหลิงจวินที่แคว้นเว่ย ภายหลังเมิ่งฉางจวินได้เป็นสมุหนายกแคว้นเว่ย
เขาสนับสนุนให้เว่ยหวางเข้าร่วมกับกองทัพพันธมิตรปราบปรามฉีหมิ่นหวางจนประสบความสำเร็จ
เมื่อเมิ่งฉางจวินเริ่มชราภาพจึงกลับไปอาศัยอยู่ในเมืองเซีย ฉีเซียงหวางกษัตริย์พระองค์ใหม่ได้ส่งทูตมาพบกับเมิ่งฉางจวินโดยขอให้เขากลับมาเป็นสมุหนายกแคว้นฉีตามเดิม แต่เมิ่งฉางจวินปฏิเสธข้อเสนอของฉีหวาง แต่ยินยอมเป็นทูตประสานไมตรีระหว่างแคว้นฉีและแคว้นเว่ย จนกระทั่งเสียชีวิตลง
เมิ่งฉางจวินได้รับการจดจำในหน้าประวัติศาสตร์ของยุคจ้านกว๋อในฐานะผู้ที่ใช้วัฒนธรรมการ “เลี้ยงแขก” จนมีชื่อเสียงอย่างมาก และเป็นหนึ่งในสี่เจ้าชายผู้มีชื่อเสียงแห่งยุคจ้านกว๋อ ประกอบด้วย เมิ่งฉางจวิน ผิงหยวนจวิน ซิ่นหลิงจวิน และซุนเซินจวิน
Sources:
- Sima Qian, Records of The Grand Historian
- วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3