หลังการปฏิรูปของซางยาง แคว้นฉินกลายเป็นมหาอำนาจ ประชาชนอยู่ในกฎระเบียบตั้งใจทำงาน ทำให้เศรษฐกิจแคว้นฉินมั่งคั่ง กองทัพเข้มแข็งเกรียงไกร ราชสำนักฉินจึงเริ่มเตรียมการใหญ่เพื่อช่วงชิงดินแดนของหกแคว้นทางตะวันออก สร้างความพรั่นพรึงไปทั่วแผ่นดินจีน
ณ เวลานั้น อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ อาจารย์ของซุนปิ้นและผังเจวียนยังมีลูกศิษย์อีกสองคน ทั้งสองได้แก่ ซูฉิน และจางอี้
ต่างกับซุนปิ้นและผังเจวียนที่ศึกษาเรื่องการทำสงคราม ซูฉินและจางอี้ศึกษาการทูต การต่อรอง และการใช้วาจาโน้มน้าว หลังจากศึกษาที่หุบเขาปีศาจเสร็จแล้ว ทั้งสองจึงปรารถนาจะลงไปสร้างชื่อเสียงในแผ่นดินบ้าง
ซูฉินท่องหกแคว้น
ซูฉินและจางอี้มาแจ้งอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อว่าตนเองขอลงไปแสวงหาชื่อเสียงและยศศักดิ์ อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อพยายามทัดทานแต่ก็ไม่เป็นผล ทั้งสองยืนกรานจะลงไป
ก่อนที่จะไปอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อทำนานให้ซูฉินว่า ชีวิตจะดีตอนต้น แต่ตอนปลายจะร้าย แต่ชีวิตของจางอี้จะร้ายตอนต้นและตอนปลายจะดี
อย่างไรก็ตามอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อได้แง่คิดไว้ว่า
ครั้งก่อนก่อนข้าส่งซุนปิ้นและผังเจวียนลงจากเขาไปนั้น ข้าคิดว่าพวกเขาจะต้องเป็นศัตรูกันในภายหลัง ข้าขอให้พวกเจ้าอย่าได้เป็นอย่างเช่นซุนปิ้นและผังเจวียน ขอให้พวกเจ้าอะลุ้มอล่วยให้กันและกัน เห็นแก่ที่จบมาจากสำนักเดียวกันและมีอาจารย์คนเดียวกัน
หลังจากนั้นซูฉินและจางอี้ก็ลาอาจารย์ไป
ซูฉินเดินทางกลับมาถึงบ้านในเมืองลั่วหยาง เมืองหลวงของราชวงศ์โจว พอมาถึงก็ไปหาญาติพี่น้องทันที และแจ้งความปรารถนายิ่งใหญ่ของตนว่าใช้วิชาการทูตที่ได้เรียนให้เกิดประโยชน์ แต่ญาติพี่น้องกลับไม่เชื่อว่าซูฉินจะทำได้จริง
ซูไต้และซูหลี น้องชายของซูฉิน (บ้างว่าเป็นพี่ชาย) จึงสนับสนุนให้ซูฉินไปเข้าเฝ้าโจวหวาง กษัตริย์ของราชวงศ์โจว
ซูฉินรอการเข้าเฝ้าอยู่นาน เพราะเหล่าชุนนางต่างดูถูกว่าซูฉินมีพื้นเพมาจากครอบครัวชาวนา คำพูดย่อมไม่น่าเชื่อถือ พวกเขาจึงกีดกั้นไม่ให้เข้าเฝ้าโจวหวาง ซูฉินเห็นว่าอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่มีทางประสบความสำเร็จ เขาจึงกลับมาบ้าน นำทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านออกขาย รวมทั้งหมดได้ทองสองพันกว่าตำลึง
หลังจากนั้นซูฉินเดินทางไปทั่วแผ่นดินจีน ศึกษาสภาพความเป็นอยู่และจุดแข็งจุดอ่อนของแคว้นต่างๆ จนเชี่ยวชาญ จนกระทั่งได้ข้อสรุปครบถ้วน ซูฉินตัดสินใจไปยังแคว้นฉิน เพราะว่าแคว้นฉินเข้มแข็งที่สุด
พอพบฉินฮุ่ยเหวินหวาง ซูฉินถูกซักถามว่ามาที่นี้ด้วยเหตุใด
ซูฉินจึงกราบทูลแผนการที่จะทำให้แคว้นฉินรวมแผ่นดินเป็นหนึ่ง แต่ในเวลานั้นฉินฮุ่ยเหวินหวางเพิ่งจะสังหารซางยาง เขาจึงเกลียดชังพวกบัณฑิตชอบพูดมากทั้งหลาย ฉินฮุ่ยเหวินหวางฟังอยู่พักหนึ่งก็ให้ซูฉินออกไป
บรรดาขุนนางแคว้นฉินเห็นซูฉินมีสติปัญญา พวกเขากลัวซูฉินแย่งตำแหน่งตน ทุกคนจึงกีดกันซูฉินไม่ให้รับราชการ ซูฉินอยู่ในแคว้นฉินได้ปีกว่าและใช้เงินสองพันตำลึงจนหมด สุดท้ายเลยต้องซมซานกลับมาที่บ้าน
บรรดาญาติพี่น้องเห็นซูฉินซมซานกลับมาเช่นนั้น ทุกคนพากันด่าว่าซูฉินกันยกใหญ่ ภรรยาของซูฉินเอาแต่ทอผ้าไม่เงยหน้ามามองสักนิดเดียว ส่วนพี่สะใภ้ก็ไม่ให้ข้าวกิน เพราะเธออ้างว่าไม่มีฟืน
ซูฉินน้ำตาไหลและรำพึงว่า
เมื่อข้าล้มเหลว ภรรยาถือว่าข้าไม่ใช่สามี บิดามารดาไม่นับข้าไม่ใช่บุตร พี่สะใภ้ไม่นับข้าเป็นน้อง ข้าขอไม่โทษใคร มันเป็นความผิดของข้าเองแม้แต่ผู้เดียว
ซูฉินจึงเข้าไปในบ้าน ภายในบ้านเขาพบของสิ่งๆ หนึ่ง ที่เขาไม่สนใจมันก่อนหน้านี้นั่นเอง
มันคือหนังสือลิ่วเทาของไท่กงวั่ง ที่ปรึกษาคนสำคัญของโจวหวู่หวาง กษัตริย์ราชวงศ์โจวที่ช่วยพระองค์ล้มราชวงศ์ซางของโจ้วหวางนั่นเอง อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อมอบหนังสือเล่มนี้ให้ซูฉินก่อนที่เขาจะลงจากเขา
ซูฉินนึกถึงคำที่อาจารย์สอนไว้ แล้วจึงเริ่มศึกษาหนังสือลิ่วเทาด้วยตนเอง ซูฉินพยายามศึกษาให้เข้าใจทุกตัวอักษรตลอดทั้งวันทั้งคืนโดยที่ไม่ได้หยุดพัก พอเริ่มจะง่วงนอนเขาจะนำเหล็กมาแทงขาท่อนบน เพื่อให้ตนเองรู้สึกเจ็บปวดจะได้หายง่วง บ่อยครั้งเขาแทงขาตนเองจนเลือดไหลยาวไปถึงเท้า
ภายในเวลาไม่นาน ซูฉินก็เข้าใจตำราดังกล่าวจนแจ่มแจ้ง ซูฉินนำแผนที่ดินแดนจีนมาเปิดดู และวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง
เมื่อเสร็จสิ้นแล้ว เขาตัดสินใจออกเดินทางไปเจรจาความกับแคว้นต่างๆ อีกครั้งหนึ่ง โดยมีพี่ชายทั้งสองเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้
เจรจาความเมือง
ซูฉินมองว่าแคว้นฉินเข้มแข็งที่สุด แต่กลับไม่ยอมรับตนเองเข้าทำงาน ถ้าไปอีกรอบคงไม่ต่างอะไรกับครั้งก่อน ซูฉินตัดสินใจว่าจะต้องไปแคว้นทั้งหกเพื่อวางแผนต่อสู้กับแคว้นฉิน
เขาเดินทางไปยังแคว้นจ้าวก่อนและได้ไปถกปัญหากับสมุหนายกแคว้นจ้าว แต่มีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ซูฉินจึงเดินทางไปแคว้นเยียน เขามีโอกาสเข้าพบเยียนเหวินกง เจ้าผู้ครองแคว้นเยียน เมื่อได้พบกับซูฉิน เยียนเหวินกงยินดีเป็นอย่างยิ่ง เขานำซูฉินไปที่ท้องพระโรงเพื่อพูดคุยเรื่องสถานการณ์ปัจจุบัน
ซูฉินจึงกล่าวว่า
แคว้นเยียนเป็นหนึ่งในแคว้นใหญ่ทั้งเจ็ดในยุคปัจจุบัน มีรถศึกมากมาย ไพร่พลหลายแสนคน แต่เมื่อเทียบกับแคว้นในภาคกลางยังไม่สามารถเทียบได้ ทหารเยียนยังไม่คุ้นชินกับสมรภูมิ แต่กลับไม่ถูกรุกราน ราษฎรเยียนอยู่อย่างสงบสุขสบายมานาน ท่านทราบหรือไม่เพราะเหตุอันใด
เยียนเหวินกงปฎิเสธว่าตนเองไม่ทราบ
ซูฉินกล่าวต่อไปว่า
สาเหตุคือแคว้นเยียนมีแคว้นจ้าวกั้นภัยอันตรายให้ นายท่านเหตุไฉนไม่ไปสนิทสนมกับแคว้นจ้าวที่อยู่ใกล้ แทนการไปตัดดินแดนตามพระบัญชาของฉินหวางเล่า ข้าเห็นว่านายท่านควรจะสนิทสนมกับแคว้นอื่นๆทั้งหก ร่วมแรงใจต่อต้านแคว้นฉิน แคว้นเยียนจะอยู่เป็นสุขสบายได้อีกหลายร้อยปีเลยทีเดียว
เยียนเหวินกงรู้สึกสนใจ เขาจึงถามซูฉินว่ามีแผนการอย่างไร
ซูฉินเห็นสถานการณ์เริ่มเป็นต่อจึงอาสาไปเจรจากับแคว้นจ้าวเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นเยียน
เยียนเหวินกงยินดียิ่งนัก เขาจึงประทานทรัพย์สินมากมายให้ซูฉินเพื่อเป็นทุนเดินทางไปแคว้นจ้าว
หลังจากนั้นซูฉินขับรถม้ามาถึงหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวราวกับลมพัด เมื่อมาถึงเขาจึงขอเข้าพบจ้าวสู้โหว เจ้าผู้ครองแคว้นจ้าวทันที
ซูฉินทูลว่า
การจะให้แคว้นอยู่อย่างสงบสุขจะต้องเป็นพันธมิตรกับแคว้นอื่นๆ เพื่อระวังภัย แคว้นต่างๆ ในดินแดนจงหยวนนั้น แคว้นจ้าวเป็นมหาอำนาจมีพื้นที่มาก ไพร่พลนับแสนคน เสบียงอาหารอุดมสมบูรณ์ เป็นศัตรูอันดับหนึ่งของแคว้นฉิน แต่ทว่านายท่านทราบหรือไม่เพราะสาเหตุใดที่แคว้นจ้าวยังไม่ถูกแคว้นฉินโจมตี
จ้าวสู้โหวตอบว่าไม่ทราบ
ซูฉินจึงกล่าวว่า
เพราะว่าแคว้นฉินเกรงว่าจะถูกแคว้นหานกับแคว้นเว่ยโจมตี แคว้นทั้งสองช่วยป้องกันทิศใต้ของแคว้นจ้าวเอาไว้ แคว้นฉินจึงโจมตีสองแคว้นนี้ก่อนเพื่อทำให้เส้นทางมาสู่แคว้นจ้าวของนายท่านสะดวก ถ้าแคว้นทั้งสองล่มสลายแล้ว ภัยพิบัติอีกไม่นานก็จะมาถึงแคว้นจ้าวอย่างแน่นอน ข้าพเจ้าเห็นว่ากองทัพของหกแคว้นมากกว่ากองทัพฉินหลายเท่า ดินแดนก็มากกว่ายิ่งนัก ถ้ารวมพลังกันได้เป็นหนึ่งแล้วบุกไปทางทิศตะวันตก แคว้นฉินจะแตกพ่ายได้โดยง่าย เช่นนี้แล้วนายท่านจะไปยกพื้นที่ให้แคว้นฉินเพราะสาเหตุใด มิสู้รวมพลังกับอีกหกแคว้นทำลายแคว้นฉินเสียก่อนเล่า
จ้าวสู้โหวเห็นแผนการของซูฉินเข้าท่า เขาจึงถามว่าแล้วควรจะทำอย่างไรต่อไป
ซูฉินตอบจ้าวสู้โหวว่า
ข้าพเจ้าขอให้หกแคว้นมานัดพบกันแล้วสาบานว่าเป็นพันธมิตร เป็นปากกับฟัน หากแคว้นฉินโจมตีแคว้นหนึ่ง อีกห้าแคว้นจะมาช่วยทันที ถ้าแคว้นใดทำลายสัญญาพันธมิตรอีกห้าแคว้นจะรุมโจมตีแคว้นนั้นทันที แคว้นฉินถึงแม้จะเข้มแข็งแต่ก็คงไม่กล้าต่อสู้กับทั้งหกแคว้นเป็นแน่
จ้าวสู้โหวเห็นด้วยกับแผนการของซูฉิน เขาแต่งตั้งซูฉินขึ้นเป็นสมุหนายกทันที และมอบทรัพย์สินมากมายเพื่อไปเจรจาเป็นพันธมิตรกับแคว้นต่างๆ
หากแต่ในวันที่ซูฉินกำลังจะออกเดินทางนั้น ทหารสอดแนมมารายงานต่อจ้าวสู้โหวที่นครหานตานว่า กองทัพฉินได้เข้าโจมตีแคว้นเว่ยอย่างรุนแรง กองทัพฉินฆ่าทหารเว่ยไปสี่หมื่นห้าพันคน เว่ยหวางทรงยอมสงบศึกด้วยการส่งมอบสิบหัวเมืองให้กับแคว้นฉิน กองทัพฉินเตรียมจะเข้าตีแคว้นจ้าวเป็นแคว้นต่อไป
จ้าวสู้โหวจึงขอให้ซูฉินอยู่กับตนเองไปก่อนเพื่อรอดูว่ากองทัพฉินจะยกมาตีแคว้นจ้าวหรือไม่
ซูฉินร้อนรนอย่างยิ่งที่กองทัพฉินกำลังจะเข้ามาถึง เพราะถ้ากองทัพฉินมาตีแคว้นจ้าว จ้าวสู้โหวต้องสงบศึกด้วยการตัดหัวเมืองให้แคว้นฉิน แผนการพันธมิตรที่ตนเองพยายามสร้างมาต้องถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง ซูฉินคิดไปคิดมาจึงได้แผนการแผนหนึ่งเพื่อยับยั้งกองทัพฉิน
เมื่อกลับมาถึงวัง ซูฉินจึงเรียกคนสนิทคนหนึ่งมาพบ และมอบแผนการให้ไปจัดการ คนสนิทรีบออกจากหานตานไปสถานที่แห่งหนึ่งทันที
คนสนิทของซูฉินเดินทางไปที่ใดกันแน่? ติดตามได้ในตอนหน้าครับ
Sources:
- Sima Qian, Records Of the Grand Historian
- วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3