ประวัติศาสตร์จีนจ้านกว๋อซุนปิ้น (ตอนจบ): ชำระแค้นผังเจวียนด้วยเกาทัณฑ์นับหมื่นดอก

ซุนปิ้น (ตอนจบ): ชำระแค้นผังเจวียนด้วยเกาทัณฑ์นับหมื่นดอก

ตอนที่ 1 อยู่ที่นี่

เมื่อเอาตัวรอดจากแคว้นเว่ยมาได้แล้ว ซุนปิ้นจึงเข้าไปอยู่ในบ้านของเถียนจี้ในฐานะแขกบ้านของตระกูลเถียน เถียนจี้ชื่นชมในความสามารถของซุนปิ้นมากจึงได้มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้อยู่เสมอ ทำให้ทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน

ส่วนหนึ่งของตำราพิชัยสงครามซุนปิ้น By AlexHe34 – Own work, CC BY-SA 3.0,

กลสลับคู่ม้า

มีอยู่วันหนึ่ง ซุนปิ้นได้ไปร่วมดูการแข่งขันม้าที่ฉีเวยหวางแข่งกับเชื้อพระวงศ์ตระกูลเถียน ปรากฏว่าม้าของเถียนจี้พ่ายแพ้แก่ฉีเวยหวางขาดลอยทั้งสามคู่ ทำให้เถียนจี้สูญเสียทองคำที่เดิมพันไปมากมาย

ซุนปิ้นจึงกล่าวกับเถียนจี้ว่าขอให้ไปท้าฉีเวยหวางแข่งอีกครั้งหนึ่ง แต่ครั้งนี้ขอให้ใช้วิธีการของเขา

เถียนจี้จึงไปท้าให้ฉีเวยหวางมาแข่งกันอีกในวันรุ่งขึ้น โดยมีทองสามพันตำลึงเป็นเดิมพัน ฉีเวยหวางหัวเราะใหญ่ เขาบอกเถียนจี้ว่าเห็นทีเถียนจี้จะต้องหมดตัวกันคราวนี้เป็นแน่

ในวันรุ่งขึ้น เถียนจี้ขี่ม้าตัวแรกแข่งกับฉู่เวยหวาง เถียนจี้นั้นถูกนำม้วนเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ เถียนจี้เสียทองไปทั้งหมดหนึ่งพันตำลึง

แต่ทว่าม้าของเถียนจี้กลับเอาชนะม้าของฉีเวยหวางได้อย่างเด็ดขาด ทำให้ได้ทองคำมาสองพันตำลึง เท่ากับว่าเถียนจี้ได้กำไรหนึ่งพันตำลึงและเอาชนะฉีเวยหวางได้สำเร็จ

ฉีเวยหวางไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตนเองจึงแพ้ เพราะม้าของตนที่ดีที่สุดในแผ่นดิน ฉีเวยหวางจึงถามเถียนจี้ว่าเอาชนะตนเองได้อย่างไร

เถียนจี้จึงทูลว่าทั้งหมดเป็นแผนอุบายของซุนปิ้นที่ให้สลับคู่ม้าอย่างชาญฉลาด

ในวันนั้นซุนปิ้นเห็นว่า ถ้าเปรียบเทียบกันตัวต่อตัวแล้ว ม้าของเถียนจี้ไม่สามารถเทียบกับม้าของฉีเวยหวางได้เลย แต่ถ้า “เปลี่ยน” คู่แล้วจะสามารถสู้ได้ เพราะฉะนั้นซุนปิ้นจึงให้เถียนจี้นำม้าตัวที่อ่อนด้อยที่สุดใส่เครื่องทรงว่าเป็นม้าอันดับหนึ่งแล้วแข่งกับม้าตัวที่ดีที่สุดของฉีเวยหวาง

การที่ม้าตัวที่ดีที่สุดของฉีเวยหวางเอาชนะม้าตัวที่แย่ที่สุดของเถียนจี้ เถียนจี้จึงแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ ต่อการพ่ายแพ้นั้นเลย เพราะม้าตัวนั้นแข่งกับตัวใดก็แพ้อยู่แล้ว

ส่วนที่คู่ที่สอง ซุนปิ้นให้เถียนจี้ใช้ม้าตัวที่ดีที่สุดของตนเองใส่เครื่องทรงเป็นม้าตัวรองและแข่งกับม้าตัวรองของฉีเวยหวาง ถึงแม้ม้าอันดับหนึ่งของเถียนจี้จะไม่สามารถเอาชนะม้าอันดับหนึ่งของฉีเวยหวางได้ แต่ถ้าแข่งกับม้าตัวรองของฉีเวยหวางแล้วนั้น ม้าอันดับหนึ่งของเถียนจี้สามารถเอาชนะได้อย่างสบายมาก

ส่วนคู่สุดท้าย ซุนปิ้นก็ให้เถียนจี้ใช้ม้าตัวรองของตนเองเอาชนะม้าตัวด้อยที่สุดของฉีเวยหวาง ซึ่งก็เอาชนะได้อย่างไม่ต้องลำบากอะไร

โดยรวมแล้วก็เท่ากับว่า เถียนจี้สามารถเอาชนะฉีเวยหวางได้ด้วยทรัพยากรที่น้อยกว่า ถึงแม้จะเสียเงินรางวัลไปบ้างก็ตาม

เพราะเหตุนี้ทั้งเถียนจี้ และฉีเวยหวางจึงยิ่งประทับใจในความสามารถของซุนปิ้นยิ่งขึ้นไปอีก

ศึกกุ้ยหลิง

กลับมาที่แคว้นเว่ย หลังจากที่ซุนปิ้นได้หนีออกมาแล้วนั้น เว่ยฮุ่ยหวางทรงต้องการให้ผังเจวียนไปตีดินแดนแคว้นจงซานคืนจากแคว้นจ้าว ผังเจวียนโอ้อวดว่า ดินแดนแคว้นจงซานเล็ก ตนเองไปตีเมืองหานตาน เสียเลยจะดีกว่า

เมืองหานตานนี้เป็นเมืองหลวงของแคว้นจ้าวที่ย้ายมาจากจิ้นหยางที่เคยรับศึกใหญ่ตระกูลจื้อก่อนแบ่งแคว้นจิ้นเป็นสามส่วนนั่นเอง

เว่ยฮุ่ยหวางพอใจในแผนการดังกล่าว เขาจึงให้ทหารผังเจวียนแปดหมื่นคนยกไปตีเมืองหานตานตามที่โม้เอาไว้

จ้าวเฉิงโหว เจ้าผู้ครองแคว้นจ้าวคาดว่าแคว้นจ้าวไม่สามารถจะสู้กองทัพเว่ยได้ เขาจึงขอความช่วยเหลือมายังแคว้นข้างเคียงอย่างแคว้นฉี โดยสัญญาว่าจะมอบดินแดนจงซานให้เป็นข้อแปลกเปลี่ยน

ฉีเวยหวางต้องการจะไปช่วยแคว้นจ้าว แต่ปัญหาอยู่ที่จะให้ใครไปเป็นแม่ทัพ โดยในใจของเขาอยากจะให้ซุนปิ้นเป็นแม่ทัพยกไปช่วยแคว้นจ้าว

ซุนปิ้นกลับปฎิเสธโดยกล่าวว่า

ข้าพระองค์เป็นนักโทษเหลือเดน มิหนำซ้ำยังพิการไม่อาจจะขี่ม้าได้เยี่ยงนักรบคนอื่นๆ ถ้าต้าหวางทรงให้ข้าพระองค์เป็นแม่ทัพ เกรงว่าจะเป็นที่หัวเราะเยาะของแคว้นอื่นว่า แคว้นเราไร้ผู้เหมาะสมแล้วหรือ ถึงให้คนพิการอย่างข้าพระองค์เป็นแม่ทัพ ขอให้พระองค์แต่งตั้งเถียนจี้ เป็นแม่ทัพใหญ่เถิด ข้าพระองค์ยินดีเป็นที่ปรึกษาของเถียนจี้ในการทำสงครามครั้งนี้

ฉีเวยหวางจึงให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพ ซุนปิ้นเป็นเสนาธิการทัพ ทั้งสองนำทหารฉีหนึ่งแสนคนยกไปช่วยแคว้นจ้าว กองทัพฉีพยายามเก็บงำความลับที่ซุนปิ้นอยู่ในกองทัพเป็นอย่างดี

เมื่อเถียนจี้นำกองทัพออกมาจากเมืองหลินจือแล้ว เขาปรึกษาซุนปิ้นว่าจะทำอย่างไรดี เถียนจี้ต้องการจะนำทหารฉีไปช่วยแก้วงล้อมเมืองหานตาน แต่ซุนปิ้นกลับตอบว่า

ข้าไม่เห็นด้วยกับท่านแม่ทัพ เพราะถ้าเรายกไปช่วยเมืองหานตาน กองทัพเราจะปะทะกับกองทัพหลักของศัตรูที่กำลังได้ใจเพราะได้ชัยชนะหลายครั้ง และยังไม่เหนื่อยอ่อนอีกด้วย

ซุนปิ้นจึงให้เถียนจี้ดำเนินแผนการตามนี้

อีกไม่กี่วันต่อมา มีทหารวิ่งมารายงานผังเจวียนที่หน้าเมืองหานตานว่า

เว่ยฮุ่ยหวางทรงมีพระบรมราชโองการให้ท่านแม่ทัพถอยทัพไปจากที่นี่เพื่อยกไปช่วยเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของแคว้นเว่ยโดยด่วน เพราะทหารฉีจำนวนมากยกเข้ามาใกล้เมืองต้าเหลียงแล้ว

หมายเหตุ: พงศาวดารหลายเล่มอธิบายไม่ตรงกันในประเด็นที่ว่าเมืองหลวงแคว้นเว่ยที่ซุนปิ้นไปโจมตีคือเมืองใด บ้างว่าเมืองอันยี่ บ้างว่าเมืองต้าเหลียง ทั้งนี้ฉบับที่ใช้ว่าต้าเหลียงนั้นมีมากกว่า ผมจึงขอใช้ต้าเหลียงในที่นี้ครับ

แต่ทว่าจริงๆแล้วกองทัพฉีไม่ได้ยกไปตีเมืองต้าเหลียง ซุนปิ้นได้สั่งให้ทหารบางส่วนบุกเมืองผิงหลิง เมืองหน้าด่านของเมืองต้าเหลียง แล้วใช้จารชนปล่อยข่าวลวงทหารสอดแนมของแคว้นเว่ยว่ากำลังมุ่งหน้ามายังต้าเหลียง เว่ยฮุ่ยหวางเกรงกลัวจึงสั่งให้ผังเจวียนยกทัพกลับ

ผังเจวียนเร่งรีบถอยกลับมาเพื่อช่วยเมืองต้าเหลียง ดังนั้นทหารเว่ยแทบไม่ได้พักผ่อนเลย เนื่องจากคิดว่าเมืองหลวงของตนเองกำลังอยู่อันตราย

กองทัพฉีจำนวนหนึ่งแสนคนดักรออยู่ใกล้กับเมืองผิงหลิง เมื่อซุนปิ้นเห็นกองทัพเว่ยมาถึงแล้วนั้น เขาก็ส่งกำลังทหารสามพันคนมาท้ารบ ผังเจวียนใจร้อนดั่งไฟ เขาจึงสั่งให้กองทัพทั้งหมดเข้าโจมตี กองทัพฉีเห็นกองทัพหลวงฝ่ายเว่ยเข้าโจมตีจึงทำเป็นแตกหนี ล่อให้ทหารเว่ยไล่ตามมาจนใกล้จะถึงเมืองกุ้ยหลิง

ระหว่างนั้นเองผังเจวียนกับกองทัพเว่ยกลับเห็นทหารฉีตั้งขบวนรบรออยู่แล้ว เมื่อผังเจวียนพอเห็นกระบวนรบก็รู้สึกว่าคุ้นๆ พอนึกไปนึกมาเขาก็จำได้ว่าเป็นกลอะไร

กระบวนรบนี้คือกระบวนรบพยุหะแปดทิศที่ซุนปิ้นเคยตั้งให้ผังเจวียนดูที่แคว้นฉีนั่นเอง ผังเจวียนรู้สึกสงสัยทันทีว่าซุนปิ้นน่าจะยังไม่ตาย และอยู่ในกองทัพฉี เพราะเถียนจี้ไม่น่าจะรู้วิธีตั้งกระบวนรบแบบนี้

เถียนจี้เห็นกองทัพเว่ยมาถึงแล้ว เขาจึงไปเรียกผังเจวียนมาพูดคุยกัน

ผังเจวียนขี่รถศึกของตนเองออกมาแล้วกล่าวกับเถียนจี้ว่า

แคว้นฉีกับแคว้นเว่ยเรามีไมตรีที่ดีต่อกัน แคว้นเว่ยกับแคว้นจ้าวต่อสู้กัน แล้วมันเรื่องอะไรของแคว้นฉีเล่า ฉีหวางตัดสินพระทัยผิดแล้วที่มาทิ้งไมตรีกับแคว้นเว่ยเช่นนี้

เถียนจี้จึงกล่าวว่า

แคว้นจ้าวเอาดินแดนแคว้นจงซานมามอบให้ต้าหวางของเรา พระองค์จึงมีพระราชบัญชาให้ข้านำกองทัพมาช่วยเหลือแคว้นจ้าว ถ้าแคว้นเว่ยยอมตัดดินแดนมอบให้แคว้นฉีเยี่ยงแคว้นจ้าวแล้ว ข้าจะถอยทัพไปทันที

ผังเจวียนได้ยินเช่นนั้นก็โกรธและร้องท้าเถียนจี้ให้ตั้งกระบวนรบสู้กัน เถียนจี้ได้ฟังก็หัวเราะ เขาถามว่าผังเจวียนต่างหากที่รู้หรือไม่ว่ากองทัพฉีตั้งกระบวนทัพแบบใด

ผังเจวียนตอบว่า

นี่เป็นกลพยุหะแปดทิศ ข้าได้เรียนมาจากอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ อาจารย์ของข้า เจ้าไปลักลอบเรียนรู้แล้วลอกมาใช้ แล้วยังมีหน้ามาถามข้าผู้ได้เรียนรู้จากเจ้าของวิชาได้อย่างไร

ผังเจวียนช่างขี้โม้ โกหก ได้เก่งจริงๆ ซุนปิ้นต่างหากที่ได้เรียน!!

เถียนจี้จึงยั่วอารมณ์ต่อไปว่า ถ้าผังเจวียนรู้จักแล้ว เขาจะกล้าโจมตีค่ายกลนี้หรือไม่

เมื่อได้รับคำท้า ผังเจวียนรู้สึกหนาวขึ้นมาโดยฉับพลัน ใจหนึ่งไม่รู้ว่าเถียนจี้ไปรู้จักกระบวนรบนี้ได้อย่างไร อีกใจหนึ่งก็กลัวว่าซุนปิ้นจะอยู่ในกองทัพ

แต่สุดท้ายผังเจวียนตระหนักว่าไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะทหารจะขวัญเสียถ้าเห็นแม่ทัพไม่รับคำท้าของข้าศึก ผังเจวียนจึงตัดสินใจว่าจะเข้าโจมตีกองทัพฉี ขอให้เถียนจี้เตรียมตัวออกมารบกัน

แม่ทัพทั้งสองฝ่ายจึงกลับไปเตรียมการการรบในแบบของตน

ในค่ายฝ่ายเว่ย ผังเจวียนได้หารือกับแม่ทัพในค่าย เขากล่าวว่า

ขบวนพยุหะแปดทิศ ข้าได้เห็นซุนปิ้นตั้งมาก่อน พอจะรู้อยู่บ้างในวิธีที่จะทำลายมัน หากแต่ขบวนรบแบบนี้สามารถเปลี่ยนได้เป็นหลายรูปแบบ เช่นแบบงูยาวเป็นต้น ถ้าเราโจมตีหัวขบวน ท้ายขบวนก็จะยกมาตีกระหนาบหลัง ถ้าโจมตีท้ายขบวนก็จะโดนหัวขบวนตีกระหนาบ ถ้าโชคร้ายเข้าโจมตีไปตรงกลางตัว ก็จะโดนตีกระหนาบทั้งสามด้านจากตรงกลาง และ หัวท้าย เพราะฉะนั้นข้าจะนำทหารห้าพันคนเข้าโจมตีกระบวนรบนี้จากตรงกลาง พวกเจ้าทั้งสองคน ก็นำทหารเข้าตีจากหัวท้าย ไม่ให้มันมาช่วยตรงกลางได้ กระบวนรบนี้ก็จะแตกไปเป็นแน่

ผังเจวียนนำทหารห้าพันคนเข้าโจมตีกระบวนรบฝ่ายฉีจากตรงกลาง ส่วนอีกสองแม่ทัพโจมตีเข้าตีหัวท้ายของกระบวนรับฝ่ายฉี

ทันทีที่ผังเจวียนเข้าไปติดในกระบวนนั้น ซุนปิ้นสั่งให้ทหารแปรเปลี่ยนรูปขบวนใหม่ทันที กองทัพเว่ยจึงไม่ทราบว่าตนเองบุกเข้าไปแล้วโจมตีส่วนหัวหรือหาง หรือตรงกลาง แต่กลับเจอแต่ทหารแคว้นฉีถือทวนเข้ามาเต็มไปหมด

ระหว่างนั้นเขายังเห็นสิ่งที่กลัวที่สุด

ธงฝ่ายฉีที่เขียนตัวอักษรจีน “ซุน” นั่นเอง ผังเจวียนตกใจจนเกือบจะตกจากหลังม้าเมื่อได้เห็นธงนั้น

ช่วงเวลานั้นเองทหารฉีล้อมกรอบเข้ามาสี่ด้าน แล้วฆ่าฟันทหารเว่ยล้มตายคนแล้วคนเล่า วงล้อมของทหารฉีเล็กลงมาทุกที

ผังเจวียนต่อสู้เยี่ยงสุนัขจนตรอก พอดีได้ทหารของบุตรชายสองคนนำกองทัพมาช่วย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด บุตรชายทั้งสองจึงช่วยเหลือผังเจวียนออกมาได้ พอผังเจวียนกลับมาถึงค่ายนั้นกลับพบสิ่งที่น่าสลดใจยิ่ง

ทหารห้าพันคนที่นำเข้าไปตีกระบวนรบของทหารฉีนั้นล้วนแต่เสียชีวิตทั้งหมดในวงล้อม ทหารเว่ยรวมแล้วตายไปถึงสองหมื่นคน หลานชายของผังเจวียนก็ถูกเถียนอิงแทงด้วยทวนจนสิ้นชีวิต

ผังเจวียนไม่อาจจะต่อสู้ได้อีกต่อไป สาเหตุหลักคือกลัวว่าซุนปิ้นอยู่ในกองทัพฉี เขาจึงถอยหนีไปยังต้าเหลียงทันที เถียนจี้และซุนปิ้นก็ไม่ได้ยกทัพติดตามต่อไป แต่ให้ถอนกำลังไปแคว้นฉีพร้อมกับชัยชนะ

อย่างไรก็ตามในตำราพิชัยสงครามซุนปิ้นของแท้ได้บรรยายไว้กำชับกว่านี้ว่าที่กุ้ยหลิง ซุนปิ้นได้ดำเนินการเพียงสี่ขั้นตอน และไม่ได้ตั้งพยุหะอะไร สี่ขั้นตอนดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

  1. มุ่งหน้าลงใต้ หลีกเลี่ยงกองทัพเว่ยของผังเจวียน
  2. ส่งกองกำลังส่วนหนึ่งเข้าตีผิงหลิงแต่แสร้งทำเป็นแพ้ ทำให้ผังเจวียนดูแคลน และให้ความสำคัญกับเมืองหลวงแคว้นจ้าวก่อน กองทัพเว่ยจะได้เหนื่อยอ่อน
  3. มุ่งหน้าไปยังเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของแคว้นเว่ย เพื่อบังคับให้ผังเจวียนถอยกลับไปช่วยเมืองหลวงของตนเอง
  4. ให้กองทัพทั้งหมดดักรอที่กุ้ยหลิง เมื่อกองทัพเว่ยเข้ามาในกับดักก็เข้าบดขยี้จนย่อยยับไปในคราวเดียว

ปฐมบทศึกครั้งใหม่

หากแต่ว่าเมื่อซุนปิ้นกลับไปแคว้นฉี เขากลับประสบเรื่องวุ่นวายในแคว้นอย่างหนึ่ง

เนื่องจากฉีเวยหวางทรงโปรดปรานเถียนจี้และซุนปิ้นอย่างมาก ทำให้โจ้วจี สมุหนายกแคว้นฉีไม่พอใจเพราะเกรงว่าจะมาแย่งขิงตำแหน่งของตนเอง เขาจึงสั่งให้ลูกน้องของตนปล่อยข่าวว่าเถียนจี้จะเป็นกบฎ

เถียนจี้เกรงว่าฉีเวยหวางจะทรงระแวงพระทัย ตนเองจึงทูลลาออกจากตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ ส่วนซุนปิ้นเห็นเถียนจี้ลาออก ตนเองจึงลาออกไปเช่นกัน

เมื่อผังเจวียนรู้ว่าเถียนจี้กับซุนปิ้นออกจากราชการ เขาดีใจจนตัวสั่น ผังเจวียนสั่งให้รีบฟิ้นฟูกำลังทหารเป็นการใหญ่ เพื่อที่จะรุกรานแคว้นอื่นนั่นเอง

หลังจากนั้นเกือบสิบปี แคว้นเว่ยกลับมาเข้มแข็งเหมือนเดิม และได้ทราบข่าวว่า แคว้นหานได้ทำลายแคว้นเจิ้งได้สำเร็จ และนัดแนะกับแคว้นจ้าวจะมาโจมตีแคว้นเว่ย ผังเจวียนทูลเว่ยฮุ่ยหวางว่า

แคว้นหานมีแผนจะโจมตีแคว้นเว่ยเรา ขอต้าหวางทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ยกทัพไปตีแคว้นหาน กำจัดพวกมันเสียก่อน

เว่ยฮุ่ยหวางจึงโปรดให้รัชทายาทเซินเป็นจอมพลนำทหารหนึ่งแสนคนไปพร้อมกับผังเจวียนยกไปตีแคว้นหาน

แคว้นหานเป็นแคว้นเล็กที่สุดในบรรดาแคว้นใหญ่จึงไม่สามารถต่อสู้ข้าศึกด้วยตนเอง หานโหว เจ้าผู้ครองแคว้นหานส่งสาส์นมาขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉี เช่นเดียวกับแคว้นจ้าวเมื่อสิบปีก่อน

ศึกหม่าหลิง

ในเวลานั้นฉีเวยหวางสวรรคตไปแล้ว องค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่าฉีซวนหวาง แต่ไหนแต่ไรมาฉีซวนหวางทราบว่าเถียนจี้และซุนปิ้นจงรักภักดีและไม่ได้มีความผิด เขาจึงคืนตำแหน่งเดิมให้ทั้งสองคน

บุคคลที่ผังเจวียนเกรงกลัวที่สุดจึงออกโรงแล้ว

ฉีซวนหวางเมื่อได้รับพระราชสาส์นจากแคว้นหานนั้นจึงเปิดประชุมว่า ควรจะยกทัพไปช่วยแคว้นหานดีหรือไม่

สมุหนายกโจ้วจี้เป็นฝ่ายกล่าวก่อนว่า

แคว้นหานแคว้นเว่ยสู้รบกัน ล้วนแต่เป็นโชคดีของแคว้นฉีเรา ให้พวกมันสู้รบกันจนเหนื่อยอ่อนไปเอง ต้าหวางจะทรงได้แคว้นทั้งสองโดยง่าย

แม่ทัพใหญ่เถียนจี้กลับเห็นต่าง เขากล่าวว่า

แคว้นหานอ่อนแอคงจะสู้รบกับแคว้นเว่ยด้วยตนเองไม่ได้ ถ้าแคว้นเว่ยชนะแคว้นหานได้ก็จะเข้มแข็งขึ้น แล้วภัยพิบัติจะมาเยือนแคว้นฉีอย่างแน่นอน ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงมีพระบัญชาให้ยกกำลังไปช่วยแคว้นหาน

หลังจากนั้นทั้งสองคนจึงถกเถียงกันในท้องพระโรง ส่วนซุนปิ้นไม่พูดไม่จา นั่งฟังอย่างสงบ

ฉีซวนหวางเห็นซุนปิ้นไม่พูดอะไรเลยเช่นนั้นจึงถามว่าทำไมซุนปิ้นถึงไม่พูดไม่จา

ซุนปิ้นจึงถวายบังคมฉีซวนหวาง แล้วทูลว่า

ข้าพระองค์คิดว่าทั้งสองแผนไม่ถูกต้อง ถ้าเราไปช่วยแคว้นหาน กองทัพฉีเราก็จะเสียหายอย่างหนักในการต่อสู้กับกองทัพเว่ยที่เข้มแข็งและยังสด แต่ถ้าเราไม่ไปช่วย แคว้นเว่ยก็จะผนวกแคว้นหานแล้วมีกำลังเข้มแข็งขึ้นจนเป็นอันตรายกับแคว้นเรา ข้าพระองค์จึงขอเสนอให้พระองค์ทรงตอบตกลงกับแคว้นหานว่า กองทัพฉีจะยกไปช่วย ฝ่ายเราก็เตรียมกำลังให้พร้อมแต่ยังไม่ยกไป เพื่อที่กองทัพหานจะได้คิดว่าเราจะไปช่วย พวกเขาจะได้ต่อสู้กับกองทัพเว่ยอย่างเต็มที่ เมื่อกองทัพเว่ยอ่อนแอลง ฝ่ายเราถึงจะยกทัพไปช่วย กองทัพเราก็จะเอาชนะกองทัพเว่ยได้โดยง่าย นี่เป็นการลงทุนน้อย แต่ได้ผลกำไรมาก ไม่ใช่เรื่องดีหรอกหรือ

ฉีซวนหวางได้ฟังก็ถึงกับตบหน้าขาตนเองว่ายอดเยี่ยมมาก หลังจากนั้นฉีซวนหวางจึงตอบทูตไปว่า กองทัพฉีกำลังจะยกไปช่วยอย่างแน่นอน ขอให้แคว้นหานต่อสู้อย่างเต็มที่ หานเจียวโหว เจ้าผู้ครองแคว้นหาน จึงให้กองทัพของตนเองต่อสู้อย่างเต็มกำลัง

เมื่อผ่านไปหนึ่งปี กองทัพหานต่อสู้กับกองทัพเว่ยอย่างหนักถึงหกครั้ง จวนเจียนจะเสียเมืองซิงเจิ้งอันเป็นเมืองหลวงให้แคว้นเว่ยอยู่แล้ว หานเจียวโหวจึงส่งทูตมาแคว้นฉีเพื่อขอกองทัพโดยด่วน

ฉีซวนหวางเห็นทุกอย่างเป็นตามที่ซุนปิ้นคาดไว้จึงให้เถียนจี้เป็นแม่ทัพใหญ่ เถียนอิงเป็นรองแม่ทัพ ซุนปิ้นเป็นเสนาธิการ นำทหารหนึ่งแสนคน ยกไปช่วยแคว้นหาน

เมื่อกองทัพฉีออกมาจากแคว้นแล้วนั้น เถียนจี้ต้องการจะยกไปช่วยแคว้นหานที่เมืองซิงเจิ้ง แต่ซุนปิ้นกลับบอกว่า

คราวก่อนท่านแม่ทัพไปช่วยแคว้นจ้าว ก็ไม่เคยไปถึงเมืองหานตาน แล้วคราวนี้จะไปช่วยแคว้นหาน จะไปถึงเมืองซิงเจิ้งหรืออย่างไร การทำสงครามที่ดีที่สุดคือโจมตีจุดอ่อนของศัตรู ในวันนี้ฝ่ายเราต้องไปโจมตีเมืองต้าเหลียง เมืองหลวงของแคว้นเว่ย กองทัพเว่ยจะมัวแต่ตีแคว้นหานโดยไม่ไปช่วยเมืองหลวงของตนเองได้อย่างไร

เถียนจี้เห็นด้วย เขาจึงสั่งให้ทหารฉีทั้งหมดยกทัพลงใต้บุกเข้าแคว้นเว่ยทันที

การเคลื่อนไหวของแคว้นฉีถูกส่งไปที่ผังเจวียน ผังเจวียนตกใจมากที่กองทัพฉีกำลังจะยกเข้าแคว้นเว่ย เขาจึงรีบไปทูลรัชทายาทเซินให้ยกทัพกลับ รัชทายาทเซินจึงสั่งให้กองทัพเว่ยทั้งหมดถอยกลับไปแคว้นทันที

ตัวผังเจวียนเรียนรู้มาบ้างจากสงครามที่กุ้ยหลิงเมื่อสิบปีก่อน เขาจึงสั่งให้ทหารเว่ยเดินทัพโดยเร็วไปตามทางลัด เพื่อจะให้ทหารฉีตั้งตัวไม่ทัน

ซุนปิ้นทราบข่าวจากทหารสอดแนมว่ากองทัพเว่ยกำลังจะมาถึง เขาจึงบอกกับเถียนจี้ว่า

ผังเจวียนและทหารเว่ยกำลังจะมาถึงแล้ว พวกทหารเว่ยเพิ่งจะรบชนะกองทัพหานได้ถึงหกครั้ง ทหารพวกมันจึงมีกำลังใจมาก นอกจากนี้แต่ไหนแต่ไรมาทหารสามจิ้นดูถูกทหารฉีว่าเป็นพวกขี้ขลาดตาขาว ข้าขอใช้อุบายอันหนึ่งเพื่อล่อลวงพวกมันให้เย่อหยิ่ง ยกทัพตามเราเข้ามาที่ช่องแคบหม่าหลิง จะได้จัดการพวกมันได้ง่าย

ซุนปิ้นเตรียมกองทัพขนาดเล็กให้เข้าปะทะกับกองทัพใหญ่ของผังเจวียนเป็นระยะๆ แต่เมื่อปะทะแล้วให้ถอยหนีทันที ส่วนกองทัพหลวงให้ตั้งค่ายพักผ่อนจากการเดินทาง หลังจากนั้นให้ถอยออกจากแดนเว่ยทีละน้อย วิธีการถอยคือให้ตั้งค่ายหนึ่งค่าย แล้วถอยไปทุกวัน แต่ทว่าภายในค่ายแต่ละค่ายให้ลดเตาไฟที่ใช้หุงหาอาหารไปเรื่อยๆ

ผังเจวียนไล่ตีทหารฉีกองเล็กที่ขวางทางตนเองได้อย่างง่ายดาย และยกติดตามกองทัพหลวงฉีมาตามลำดับ ผังเจวียนเห็นค่ายหลวงแคว้นฉีที่ทิ้งเอาไว้มีเตาไฟลดลงทุกวัน จากเตาหนึ่งแสนเตา เหลือห้าหมื่นเตา จนวันสุดท้ายเหลือเพียงสองหมื่นเตาเท่านั้น

ผังเจวียนเห็นเตาไฟเหลือแค่สองหมื่นเตา เขาจึงตะโกนหัวเราะลั่นป่าว่า

ข้ารู้มานานว่าชาวฉีเป็นพวกขี้ขลาด ตอนนี้บุกเข้ามาแคว้นเว่ยได้เพียงสามวัน ทหารพวกมันก็แตกหนีไปเกือบหมดแล้ว จะกล้ามาสู้กับกองทัพเราได้อย่างไร

รัชทายาทเซินเห็นผังเจวียนเย่อหยิ่งจองหองจึงเตือนให้ระวัง แต่ผังเจวียนกลับกล่าวว่า

ขอไท่จื่อ (รัชทายาท) ทรงวางพระทัย ถึงแม้ข้าพระองค์จะโง่เขลาเบาปัญญา แต่ในครั้งนี้ข้าพระองค์จะจับไอ้เถียนจี้จอมหลอกลวง ไปถวายต้าหวางให้จงได้ เพื่อล้างอายที่ข้าพระองค์พ่ายแพ้ในครั้งก่อน

หลังจากนั้นผังเจวียนจึงสั่งให้ทหารสองหมื่นคนบุกหน้าไปพร้อมกับตน

เกาทัณฑ์หมื่นดอก

ซุนปิ้นได้คำนวณไว้ว่า กองทัพเว่ยจะถึงช่องแคบหม่าหลิงหรือช่องแคบอาชา ตอนกลางคืน เขารีบให้กองทัพฉีเข้าประจำการที่หม่าหลิง และสั่งให้โค่นต้นไม้โดยรอบทั้งหมดเพื่อขวางการเดินทัพของกองทัพเว่ย อย่างไรก็ตามซุนปิ้นสั่งให้เหลือต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดไว้ต้นเดียว เพื่อที่จะทำอะไรบางอย่าง

ผังเจวียนไล่ตามกองทัพฉีมาอย่างรวดเร็ว เพราะคิดว่ากองทัพฉียังอยู่ไม่ไกล ตนเองจะได้ตีให้แตกยับไปเลย

เมื่อผังเจวียนมาถึงช่องแคบหม่าหลิง บริเวณนั้นก็มืดไปทั้งหมดแล้ว ทหารสอดแนมมารายงานผังเจวียนว่าข้างหน้ามีต้นไม้ขวางอยู่เต็มไปหมด แต่มีอยู่ต้นเดียวที่เหลืออยู่ ต้นไม้นี้แปลกมาก เพราะที่ลำต้นถูกถากจนขาวไปหมด และดูเหมือนว่าจะมีตัวอักษรอยู่ด้วย

ผังเจวียนรู้สึกสงสัยจึงมาดูด้วยตนเอง

ผังเจวียนไม่สามารถมองเห็นตัวหนังสือได้เพราะความมืด เขาจึงสั่งให้ทหารนำคบไฟมาส่องดู ปรากฏว่าเป็นตัวอักษรจีนเขียนว่า

ผังเจวียนตายที่ต้นไม้นี้

ผังเจวียนจึงตะโกนร้องลั่นป่าว่า

ถอย ข้าหลงกลไอ้ด้วนซุนปิ้นเสียแล้ว

ไม่ทันเสียแล้ว ทหารฉีใช้ไฟที่จุดส่องดูตัวอักษรเป็นสัญญาณ กองทัพฉีระดมยิงเกาทัณฑ์เข้าใส่ผังเจวียนและทหารเว่ยจนมืดฟ้ามัวดิน ทหารเว่ยถูกยิงสังหารล้มตายราวกับใบไม้ร่วง พวกเขาไม่มีโอกาสโต้ตอบได้เลยเพราะไม่รู้ว่าศัตรูอยู่ที่ใด

ร่างของผังเจวียนพรุนไปทั้งร่างด้วยเกาทัณฑ์นับร้อยๆ ดอก เมื่อเห็นว่าตนเองไม่รอดแน่แล้ว ผังเจวียนจึงเปล่งคำพูดครั้งสุดท้ายว่า

ข้าไม่ได้ฆ่าไอ้ด้วนซุนปิ้น กลับทำให้มันได้มีชื่อเสียง

หลังจากนั้นผังเจวียนจึงเชือดคอตายทันที

ย้อนกลับไปที่ก่อนที่ผังเจวียนจะลงจากเขา อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อได้ทำนายว่า ดอกหญ้าที่ผังเจวียนนำมามีสิบสองดอก ผังเจวียนจึงรุ่งเรืองอยู่สิบสองปีจริงๆ นับตั้งแต่วันที่ลงจากเขา และตายที่ช่องแคบหม่าหลิงรวมแล้วสิบสองปีพอดี

นอกจากนี้อาจารย์ยังทำนายให้เขาว่า “พบแพะจะรุ่งโรจน์ พบอาชาจะเหนื่อยอ่อน”

ผังเจวียนเข้าเฝ้าเว่ยฮุ่ยหวางตอนกำลังกินเนื้อแพะ และตายที่ช่องแคบอาชา คำทำนายที่สองจึงเป็นจริงเช่นกัน

สุดท้ายอาจารย์ได้ทำนายให้เขาว่า ผังเจวียนเป็นคนชอบหลอกลวง สุดท้ายจะโดนผู้อื่นหลอกลวง

ผังเจวียนได้หลอกลวงให้ร้ายซุนปิ้น แต่สุดท้ายกลับโดนซุนปิ้นหลอกลวงด้วยการลดเตาไฟ

คำทำนายทุกข้อของอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อจึงเป็นจริง

หลังจากที่ผังเจวียนตายแล้ว กองทัพฉีจึงเข้าตีกองทัพหลวงฝ่ายเว่ยที่รัชทายาทเซินคุมมาจากสามด้าน สุดท้ายทหารฉีตีกองทัพเว่ยแตกยับเยินและจับรัชทายาทเซินได้ องค์รัชทายาทกลัวความอัปยศจึงเชือดคอตนเองตาย

หลังจากนั้นกองทัพฉีจึงส่งร่างขององค์รัชทายาทเซินกลับไปยังแคว้นเว่ย พร้อมส่งสาส์นไปขู่ว่าขอให้เว่ยฮุ่ยหวางรีบส่งทูตมายอมแพ้ มิฉะนั้นกองทัพฉีจะยกทัพมาอีกครั้งหนึ่ง

บ้างว่าซุนปิ้นเดินมาตัดศีรษะของผังเจวียนด้วยตนเองเพื่อเป็นการล้างแค้น แต่บ้างก็ว่าซุนปิ้นรู้สึกเศร้าที่ผังเจวียนสิ้นชีวิต

ฉีซวนหวางเห็นกองทัพฉีได้ชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่จึงยินดียิ่งนัก เขาสั่งให้ทหารนำหัวของผังเจวียนแขวนไว้ที่หน้าประตูเมืองเพื่อประกาศศักดาของแคว้นฉี เจ้าผู้ครองแคว้นสามจิ้นต่างส่งทูตมายอมอ่อนน้อมต่อแคว้นฉี แคว้นฉีจึงกลายเป็นมหาอำนาจในยุคนั้น (จนกระทั่งสมัยของฉีหมิ่นหวาง)

ในสงครามครั้งนี้ แคว้นเว่ยสูญเสียกำลังทหารไปเกือบทั้งหมดในแคว้น ไม่อาจจะฟื้นฟูความยิ่งใหญ่กลับมาได้อีกเลย

สมุหนายกโจ้วจีละอายใจที่ตนเองอิจฉาเถียนจี้ เขาจึงลาออกจากตำแหน่งสมุหนายก ฉีซวนหวางจึงให้เถียนจี้รับตำแหน่งสมุหนายกแทน

ฉีซวนหวางทรงให้ซุนปิ้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการเช่นเดิม แต่เพิ่มเมืองศักดินาใหญ่โตให้ แต่ซุนปิ้นกลับปฎิเสธตำแหน่ง เขาเขียนตำราพิชัยสงครามซุนปิ้น 89 บท ถวายให้แก่ฉีซวนหวางแล้วทูลว่า

ข้าพระองค์เป็นคนพิการ แต่ต้าหวางกลับมีพระกรุณาให้ข้าพระองค์เป็นเสนาธิการทหารปราบปรามแคว้นเว่ย เพื่อให้ข้าพระองค์มีโอกาสได้สนองบุญคุณของแคว้นบ้านเกิด และได้สะสางความแค้นส่วนตัว บัดนี้ทุกสิ่งได้เสร็จสิ้นแล้ว ความปรารถนาของข้าพระองค์ได้เสร็จสมบูรณ์ สิ่งที่ข้าพระองค์ได้ร่ำเรียนมาจากอาจารย์กุ๋ยกู่จื่อ ล้วนแต่อยู่ในหนังสือที่ข้าพระองค์เขียนขึ้นมาใหม่นี้ ต้าหวางจะทรงรั้งตัวข้าพระองค์ไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงประทานภูเขาอันเงียบสงบให้ลูกหนึ่ง เพื่อให้ข้าพระองค์ได้อยู่อย่างสุขสบายจนสิ้นชีวิตก็พอใจแล้ว

ฉีซวนหวางไม่สามารถรั้งตัวซุนปิ้นไว้ได้จึงมอบภูเขาและหมู่บ้านแห่งหนึ่งให้แก่ซุนปิ้น ซุนปิ้นอาศัยอยู่ที่ภูเขาแห่งนั้นได้ไม่นานนัก เขากลับหายตัวไปอย่างลี้ลับทั้งๆ ที่พิการ บรรดาชาวบ้านจึงพากันกล่าวว่า อาจารย์กุ๋ยกู่จื่อมารับตัวซุนปิ้นไปแล้ว แต่บ้างก็ว่าซุนปิ้นเสียชีวิตในปี 316 BC

ตำราพิชัยสงครามซุนปิ้นสูญหายไปในสมัยราชวงศ์ฮั่น นักประวัติศาสตร์จึงคาดว่าเรื่องที่ซุนปิ้นได้เขียนหนังสือเป็นเพียงตำนานเท่านั้น

หากแต่ว่าในปี ค.ศ.1972 ได้มีการตรวจสอบสุสานโบราณในมณฑลซานตง ดินแดนที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นฉีในสมัยจ้านกว๋อ

นักโบราณคดีได้ค้นพบตำราพิชัยสงครามซุนปิ้นที่สูญหายไปรวมอยู่ในแผ่นไม้ไผ่ในสุสาน หากแต่ว่าก็ไม่สมบูรณ์ครบทั้ง 89 บท ที่ซุนปิ้นได้ประพันธ์ไว้ มีเพียง 16 บทเท่านั้นที่นักประวัติศาสตร์สามารถพิสูจน์ได้ว่าซุนปิ้นเป็นผู้เขียนมันขึ้นมา

ซุนปิ้นได้รับการยกย่องว่าเป็น ปรมาจารย์แห่งตำราพิชัยสงคราม สงครามที่กุ้ยหลิงและหม่าหลิงกลายเป็นตัวอย่างของกลศึก “ล้อมเว่ยช่วยจ้าว” ที่ปรากฎใน “36 กลยุทธ์” ของจีน

Sources:

  • Sima Qian, Records of The Grand Historian
  • วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!