ประวัติศาสตร์เอ่อจูหรง ตอนที่ 2: รวมแผ่นดินเป่ยเว่ยให้เป็นหนึ่ง

เอ่อจูหรง ตอนที่ 2: รวมแผ่นดินเป่ยเว่ยให้เป็นหนึ่ง

สำหรับตอนแรกที่ผมได้เล่าไปแล้วนั้น เอ่อจูหรงผู้นี้ได้เป็นกุญแจสำคัญในการนั่งบัลลังก์ของจักรพรรดิเสี้ยวจวง ดังนั้นเขาจึงเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในราชสำนักไปโดยปริยาย แต่ก็ไม่วายกังวลว่า ตนเองได้อำนาจมาจากการแย่งชิง ทำให้ผู้คนที่ต่อต้านตนนั้นน่าจะยังมีจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกขุนนาง

เฟ่ยมู่ หนึ่งในแม่ทัพที่เพิ่งยอมจำนนต่อเอ่อจูหรงจึงเสนอให้เอ่อจูหรงชิงลงมือก่อน ด้วยการลวงขุนนางเป่ยเว่ยทั้งหมดไปสังหารทิ้ง เพื่อที่จะได้แสดงถึงความเหี้ยมโหด ศัตรูของเอ่อจูหรงจะได้ประหวั่นพรั่นพรึงและไม่กล้าแข็งข้อ

บรรดาที่ปรึกษาของเอ่อจูหรงนั้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งสนับสนุนข้อเสนอของเฟ่ยมู่ อีกส่วนหนึ่งคัดค้าน ซึ่งในหมู่ผู้ที่คัดค้านนั้นก็มองว่าเอ่อจูหรงเพิ่งเข้ามาในเมืองหลวง ประชาชนก็ยังไม่ได้สนับสนุน พวกขุนนางเองก็ยังไม่ได้แสดงท่าทีต่อต้าน แถมการที่เอ่อจูหรงจะลงมือเช่นนี้ก็จะเป็นการล่วงละเมิดอำนาจของฮ่องเต้อีกด้วย ซึ่งจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาไม่จบสิ้น

อย่างไรก็ดีเอ่อจูหรงได้ตัดสินใจว่าจะทำตามคำแนะนำของเฟ่ยมู่ อนึ่งคงเพราะตัวเขานั้นเป็นทหาร และไม่ได้เก่งกาจเรื่องการเมืองเสียเท่าใดนัก ดังนั้นถ้าจะป้องกันความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า การใช้กำลังที่ตนเองถนัดน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า

กวาดล้างพวกขุนนาง

แผนการของเอ่อจูหรงที่จะลวงพวกขุนนางไปสังหารนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเลย วิธีการนั้นก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมาก ตัวเขานั้นอ้างว่าฮ่องเต้เสี้ยวจวงนั้นต้องการเซ่นสรวงบูชาฟ้าดิน เพราะฉะนั้นจึงให้ขุนนางน้อยใหญ่ในราชสำนักเดินทางไปที่ค่ายพักแรมที่เหอหยิน

พอพวกขุนนางเข้ามาในค่ายพร้อมกันแล้ว เอ่อจูหรงจึงให้ทหารม้าที่ซุ่มอยู่บุกออกมาไล่สังหาร พวกขุนนางนั้นไม่มีอาวุธป้องกันตนเอง แถมยังหลบหนีไปไหนไม่ได้เพราะถูกล้อมไว้หมด ดังนั้นภายในวันนั้นวันเดียว ขุนนางเป่ยเว่ยถึงสองพันคนก็สิ้นชื่อ

จักรพรรดิเสี้ยวจวงนั้นทรงประทับอยู่ในค่ายดังกล่าวเช่นเดียวกัน พอได้ยินว่าเอ่อจูหรงสังหารพวกขุนนางถึงสองพันคนก็ตกพระทัย ดังนั้นจึงให้คนส่งสาส์นไปให้เอ่อจูหรงว่าทรงยินดีที่จะสละราชสมบัติให้กับเอ่อจูหรงหรือเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ที่เอ่อจูหรงเห็นว่าเหมาะสม

เมื่อสาส์นของจักรพรรดิเสี้ยวจวงมาถึง เอ่อจูหรงรู้สึกลิงโลดใจมาก เพราะในใจของตนที่เปี่ยมไปด้วยความทะเยอทะยานนั้นก็ปรารถนาจะนั่งบัลลังก์ฮ่องเต้ แต่ปรากฏว่านักพรตที่เอ่อจูหรงนับถือนั้นทัดทานเอาไว้ โดยเขากล่าวกับเอ่อจูหรงว่า ฟ้าไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเป็นฮ่องเต้นอกจากจักรพรรดิเสี้ยวจวง ด้วยความที่นับถือนักพรตผู้นี้มาก เอ่อจูหรงจึงส่งสาส์นกลับไปหาฮ่องเต้ว่าที่ตนเองไม่ตั้งใจจะสังหารพวกขุนนาง แต่พวกทหารนั้นลงมือโดยพลการทั้งๆ ที่ปราศจากคำสั่งของตน ดังนั้นเขาจึงขอพระราชทานอภัยโทษด้วย

สำหรับใครที่รู้จักเอ่อจูหรงมาก่อนก็คงต้องหัวร่อ เมื่อได้ฟังคำแก้ตัวเช่นนี้ เพราะแต่ไหนแต่ไรมา เอ่อจูหรงนั้นเป็นคนเคร่งครัดในวินัยทหารเป็นที่สุด ดังนั้นเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะยอมให้พวกทหารทำเรื่องใหญ่ขนาดนี้โดยที่ไม่ทราบเรื่อง

หลังจากกวาดล้างพวกขุนนางแล้ว เอ่อจูหรงคิดจะย้ายเมืองหลวงไปยังจิ้นหยาง เมื่อข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ชาวเมืองลั่วหยางต่างหลบหนีออกจากเมืองไปจำนวนมากมาย เพราะทุกคนก็รู้ดีอยู่ว่าในอดีตเกิดการปล้นสะดมใหญ่โตเมื่อตั๋งโต๊ะย้ายเมืองหลวงจากฉางอานไปยังลั่วหยางในช่วงยุคสามก๊ก เมื่อรวมกับการที่ไม่มีพวกขุนนางแล้วก็ไม่มีการปกครองส่วนกลางใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นไม่มีเหตุอะไรที่จะทุกคนจะอยู่ในเมืองนี้ต่อไป

ฝ่ายเอ่อจูหรงเห็นพลเมืองเริ่มบางตาลงก็อยู่เฉยไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงออกประกาศว่าจะไม่มีการย้ายเมืองหลวงไปจิ้นหยางตามข่าวลือแต่อย่างใด ส่วนตำแหน่งขุนนางที่ว่างลงนั้นก็ให้ลูกหลานของพวกที่ถูกสังหารไปแล้วมารับช่วงต่อ และมอบอำนาจต่างๆ กลับไปให้จักรพรรดิเสี้ยวจวง ทำให้ผู้คนรู้สึกยอมรับได้ในระดับหนึ่ง บางส่วนจึงเดินทางกลับมาลั่วหยางตามเดิม

จับตาดูฮ่องเต้

แม้ว่าเอ่อจูหรงจะคืนอำนาจให้กับจักรพรรดิเสี้ยวจวง แต่เขายังควบคุมกองกำลังทหารทั้งหมดในอาณาจักร ส่วนด้านการบริหารราชการนั้นก็ให้ญาติพี่น้องและคนสนิทของตนขึ้นมากินตำแหน่งสูงๆ เพื่อที่เป็นแขนขาให้ตนในราชสำนัก และช่วยเหลือตนจับตาดูฮ่องเต้เวลาที่เอ่อจูหรงไม่อยู่ที่เมืองหลวง

ส่วนหนึ่งที่เอ่อจูหรงทำเช่นนั้นก็เพราะจักรพรรดิเสี้ยวจวงนั้นมีท่าทีไม่เป็นทรราชที่ไม่สนใจอันใด ตัวพระองค์นั้นเป็นจักรพรรดิที่เอางานเอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการศาลและตัดสินโทษ ในการแต่งตั้งขุนนางนั้น พระองค์ก็มิได้ยอมแต่งตั้งทุกคนที่เอ่อจูหรงเสนอมา แต่ยังรักษาพื้นที่ในการแต่งตั้งคนของพระองค์เองอยู่บ้าง สถานการณ์ในช่วงนี้ระหว่างเอ่อจูหรงและฮ่องเต้จึงอยู่ในช่วง stalemate หรืออยู่ในสภาวะเฝ้าระวังนั่นเอง

เมื่อในราชสำนักอยู่ตัว เอ่อจูหรงจึงมองไปภายนอกอาณาจักรและเห็นว่ายังมีกลุ่มกบฏอยู่อีกหลายกลุ่ม เขาจึงยกกองทัพไปปราบซึ่งก็ปราบได้อย่างง่ายดายถึงสองกลุ่ม แต่แล้วก็เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในอาณาจักร

รวมแผ่นดินเป่ยเว่ย

หลังจากที่เอ่อจูหรงสังหารพวกขุนนาง หยวนเฮ่า เชื้อพระวงศ์เป่ยเว่ยผู้หนึ่งได้หนีลงใต้ไปสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์เหลียงที่เป็นคู่ศึกกับเป่ยเว่ย เหลียงหวู่ตี้ จักรพรรดิแห่งเหลียงจึงเห็นเป็นโอกาสที่จะสยบเป่ยเว่ย ดังนั้นจึงมอบกองทัพใหญ่่มาส่งหยวนเฮ่ามานั่งบัลลังก์เป็นฮ่องเต้ โดยหมายใจว่าถ้าหยวนเฮ่าได้เป็นฮ่องเต้แล้วก็จะยอมเป็นรัฐบริวารของราชวงศ์เหลียงตั้งแต่โดยดี

กองทัพเหลียงที่นำมาโดยหยวนเฮ่านั้นได้ซุ่มโจมตีกองทัพเป่ยเว่ยที่เพิ่งยกไปปราบกบฏจนแตกกระเจิง หลังจากนั้นก็ยกทัพเข้าประชิดลั่วหยาง เมืองหลวงของเป่ยเว่ย จักรพรรดิเสี้ยวจวงทรงหมดสิ้นหนทาง ดังนั้นจึงต้องเสด็จหนีออกจากเมือง โดยทรงมุ่งหน้าไปหากองทัพใหญ่ของเอ่อจูหรงที่กำลังเดินทัพกลับมา

การเสด็จหนีของจักรพรรดิเสี้ยวจวง ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์ต่อหยวนเฮ่าในฐานะฮ่องเต้เป่ยเว่ยอีกคนหนึ่ง ในตอนนั้นเป่ยเว่ยจึงมีฮ่องเด้สองคนในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าเป็นกลียุคอย่างที่สุด

เอ่อจูหรงที่เห็นสถานการณ์คับขันได้เข้าควบคุมกองทัพทั้งหมดเข้าเผชิญหน้ากับกองทัพเหลียงที่นำโดย เฉินชิ่งจือ ปรากฏว่าเฉินชิ่งจือผู้นี้มีฝีมือในการศึกพอตัว หลังเผชิญหน้ากันหลายครั้งก็ยังไม่อาจจะเอาชัยชนะได้

แต่ในเวลานั้นหยวนเฮ่ากลับคิดว่าตนเองมีชัยเหนือจักรพรรดิเสี้ยวจวงแล้ว ดังนั้นจึงวางแผนจะทรยศพวกเหลียงที่กำลังสนับสนุนตนอยู่ (เพราะไม่อยากจะเป็นรัฐบริวาร) ดังนั้นหยวนเฮ่าได้ส่งทูตไปยังราชสำนักเหลียงว่าไม่ต้องส่งกำลังทหารมาเพิ่ม เพราะเท่าที่มีอยู่ก็เพียงพอแล้ว

หารู้ไม่ว่าเอ่อจูหรงนั้นกำลังพุ่งเป้ามาที่ตน ในคืนวันหนึ่ง เอ่อจูหรงจึงให้ทหารจำนวนหนึ่งยกข้ามแม่น้ำเหลืองไปในช่วงกลางคืน เพื่อหลบกองทัพของเฉินชิ่งจือและเข้าตีค่ายของหยวนเฮ่าโดยตรง ปรากฏว่าหยวนเฮ่าประมาทและไม่ได้ระวังป้องกัน ทำให้กองทัพที่เขาคุมอยู่แตกกระเจิง แถมตัวหยวนเฮ่ายังตายในที่รบอีกด้วย

พอสิ้นกองทัพของหยวนเฮ่านั้น กองทัพเฉินชิ่งจือก็หัวเดียวกระเทียมลีบ และเริ่มถอนถอยทัพ เอ่อจูหรงจึงสั่งให้กองทัพเข้าโจมตี ปรากฏว่ากองทัพของเฉิงชิ่งจือก็พ่ายแพ้เช่นกัน แต่ไม่ได้แตกยับเยินเหมือนกับหยวนเฮ่า

เมื่อกองทัพเหลียงแตกไปหมดแล้ว เอ่อจูหรงจึงเชิญเสด็จจักรพรรดิเสี้ยวจวงกลับเข้าเมืองหลวง หลังจากนั้นไม่นานก็ส่งกองทัพเข้าตีพวกกบฏที่หลงเหลืออยู่ ทำให้ท้ายที่สุดแผ่นดินเป่ยเว่ยก็รวมเป็นหนึ่งเดียวอีกครั้งหนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นความดีความชอบอันยิ่งใหญ่ของเอ่อจูหรง ที่ไม่ได้ด้อยกว่าโจโฉในยุคสามก๊กเลยแม้แต่น้อย

อย่างไรก็ดีสำหรับจักรพรรดิเสี้ยวจวงนั้น พระองค์ทรงกลืนไม่ได้คายไม่ออก เพราะความดีความชอบของเอ่อจูหรงนั้นยิ่งใหญ่มาก และยิ่งเขาประสบความสำเร็จยิ่งขึ้นเท่าใด การที่เอ่อจูหรงจะชิงบัลลังก์ก็ยิ่งใกล้เข้ามามากขึ้น ในช่วงเวลานั้นจักรพรรดิเสี้ยวจวงถูกกดดันจากหลายฝ่ายให้มอบเครื่องราชเก้าสิ่งให้กับเอ่อจูหรง (น่าจะนัยว่าเป็นการตอบแทนความดีความชอบ) แต่จักรพรรดิเสี้ยวจวงทรงทราบดีจากประวัติศาสตร์ว่า เครื่องราชเก้าสิ่งนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่รับมอบพร้อมแล้วที่จะชิงบัลลังก์

ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทำเป็นเฉยเสีย และไม่พระราชทานเครื่องราชเก้าสิ่งให้กับเอ่อจูหรงแต่อย่างใด เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!