ประวัติศาสตร์ตระกูลเกาแห่งเป่ยฉี ตอนที่ 12: หูลี่ว์กวงและเกาฉางกง

ตระกูลเกาแห่งเป่ยฉี ตอนที่ 12: หูลี่ว์กวงและเกาฉางกง

ในช่วงกลางศตวรรษที่ 6 เป่ยโจวที่แข็งแกร่งขึ้นจากการผนวกดินแดนเสฉวนได้เริ่มรุกรานเป่ยฉีหลายระลอก โจวหวู่ตี้ ฮ่องเต้เป่ยโจวทรงตั้งปณิธานว่าพระองค์จะต้องทำลายเป่ยฉีให้ย่อยยับไปเสียให้จงได้ หากแต่ว่าหอกข้างแคร่ของพระองค์นั้นมีอยู่สองคน คนแรกนั้นคือหูลี่ว์กวงที่ผมได้เกริ่นถึงเขาไปแล้วหลายครั้ง

อย่างที่ผมเล่าไปแล้วหูลี่ว์กวงนั้นเป็นคนมือสะอาด ไม่โลภมาก แถมยังรักลูกน้อง ตัวเขามีสถานะที่ดูเหมือนว่าจะมั่นคงระดับหนึ่งเพราะว่าบุตรสาวเป็นหวงโฮ่วของฮ่องเต้อย่างเกาเหว่ย แต่อันที่จริงแล้วตรงกันข้าม เกาเหว่ยนั้นไม่ค่อยพอใจหูลี่ว์กวงมานานแล้ว เพราะหูลี่ว์กวงเคยนำกองทัพเข้ามาใกล้เมืองหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาต เนื่องจากเกาเหว่ยไม่ยอมปูนบำเหน็จกับเหล่าทหารที่ได้รับชัยชนะมา ทำให้เกาเหว่ยต้อง “จำใจ” ทำในสิ่งที่ตนเองไม่ต้องการ และดูเหมือนว่าหูลี่ว์กวงนั้นบังคับตนโดยอ้อม

แม้ว่าหูลี่ว์กวงจะแสดงออกว่าจงรักภักดีด้วยการปราบปรามเกาเหยี่ยนให้ แต่เกาเหว่ยก็ยังไม่พึงพอใจ ส่วนคนสนิทของเกาเหว่ยที่เป็นขุนนางกังฉินนั้นก็ยิ่งไม่พอใจหูลี่ว์กวงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว มู่ถีโผนั้นเคยขอให้หูลี่ว์กวงยกลูกสาวให้ แต่หูลี่ว์กวงกลับปฏิเสธทำให้มู่ถีโผรู้สึกอัปยศ ต่อมามู่ถีโผก็ขอใช้พื้นที่สาธารณะที่เมืองจิ้นหยาง หูลี่ว์กวงกลับคัดค้านเพราะพื้นที่ส่วนนั้นใช้เลี้ยงม้าศึกของกองทัพ

ส่วนจู๋ถิ่ง คนสนิทของเกาเหว่ยอีกคนหนึ่งนั้นตาบอด ดังนั้นจึงขี่ม้าไปโดยไม่ลงมาคารวะ ทำให้หูลี่ว์กวงบริภาษเป็นการใหญ่ หลังจากนั้นจู๋ถิ่งจึงแอบติดสินบนคนรับใช้ของหูลี่ว์กวง ทำให้ทราบว่าหูลี่ว์กวงเกลียดชังตนอย่างรุนแรง จู๋ถิ่งจึงเกลียดน้ำหน้าของหูลี่ว์กวงไปเช่นเดียวกับมู่ถีโผ ดังนั้นทั้งสองจึงคอยปั่นหัวเกาเหว่ยให้ระแวงสงสัยหูลี่ว์กวง แต่ก็ยังไม่มีเหตุใดๆ ที่จะทำลายหูลี่ว์กวงได้ จนกระทั่งวันหนึ่ง

แผนการของเหว่ยเสี้ยวควน

เหว่ยเสี้ยวควน แม่ทัพเป่ยโจวเป็นผู้คิดกลศึกในการจัดการกับหูลี่ว์กวง ตัวเขานั้นเคยปะทะกับหูลี่ว์กวงมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่อาจจะเอาชัยได้ ในครั้งนี้เขาจึงแต่งเพลงยาวโดยมีเนื้อร้องว่า

ร้อยเชิง (หน่วยวัดโบราณของจีน) จะบินขึ้นสู่สรวงสวรรค์ พระจันทร์จะส่องสว่างเหนือเมืองฉางอาน

วรรคนี้แฝงความนัยเอาไว้สองจุด จุดแรกคือร้อยเชิงเท่ากับหนึ่งหู ซึ่งหูก็คือตัวอักษรแรกของแซ่ของหูลี่ว์กวง ส่วนอีกจุดหนึ่งคือพระจันทร์ที่ส่องสว่างหรือหมิงเยวี่ยนั้นเป็นชื่อรองของหูลี่ว์กวง สรุปแล้วก็คือแปลว่าหูลี่ว์กวงจะได้เป็นฮ่องเต้นั่นแหละครับ

วรรคต่อไปมีว่า

ภูเขาอันสูงชันจะถล่มลงมา แลต้นหูนั้นจะยืนต้นด้วยตัวของมันเอง

คำว่าสูงชันในภาษาจีนนั้นคือ “เกา” ซึ่งเขียนและมีความหมายเหมือนกับตระกูลเกาเปี๊ยบ เพราะฉะนั้นก็แปลว่าตระกูลเกาจะหมดสิ้นโคตรวงศ์ ส่วนต้นหู (หูลี่ว์กวง) จะยืนต้นด้วยตัวมันเองก็หมายความว่าเป็นอิสระไม่ได้อยู่ใต้ผู้ใดอีกต่อไป

ฝ่ายจู๋ถิ่งนั้นได้ทราบว่ามีเพลงนี้ร้องกันในหมู่ชาวบ้าน ซึ่งแน่นอนว่าเหว่ยเสี้ยวควนให้จารชนมาเสี้ยมสอน แต่ก็ฉวยโอกาสแต่งเติมไปอีกวรรคให้น่าสงสัยยิ่งขึ้น หลังจากนั้นก็เอาความมาทูลเกาเหว่ยให้ทราบ

เกาเหว่ยนั้นไม่ชอบหูลี่ว์กวงอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เชื่อในคำพูดของจู๋ถิ่งง่ายๆ ดังนั้นจู๋ถิ่งจึงให้คนสนิทของตนทำเป็นส่งจดหมายลับมาว่าหูลี่ว์กวงนำกองทัพเข้ามาใกล้เย่เฉิงเหมือนกับครั้งก่อน และมีทีท่าว่าจะเป็นกบฏ

ในครั้งนี้เกาเหว่ยกลับเชื่อสนิทใจ และสั่งให้คนส่งม้าชั้นดีไปให้หูลี่ว์กวงโดยมีเจตนาจะล่อให้หูลี่ว์กวงเข้ามาในวัง ฝ่ายหูลี่ว์กวงนั้นเป็นผู้จงรักภักดี เมื่อฮ่องเต้มอบสิ่งของให้จึงต้องเข้าวังมาขอบคุณ ทันทีที่หูลี่ว์กวงก้าวเท้าเข้ามาให้วัง เขาก็ถูกจับกุมไปประหารชีวิต ส่วนครอบครัวของหูลี่ว์กวงซึ่งหลายคนเป็นแม่ทัพมีฝีมือล้วนแต่ถูกประหารชีวิต ขณะที่หูลี่ว์หวงโฮ่ว บุตรสาวของหูลี่ว์กวงถูกถอดออกจากตำแหน่งและคุมขังไว้อย่างแน่นหนา

เมื่อได้ทราบข่าว โจวหวู่ตี้ทรงดีพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับออกพระบรมราชโองการอภัยโทษให้กับพวกนักโทษเลยทีเดียว แต่เรื่องก็ยังไม่ง่ายนัก เพราะยังมีหอกข้างแคร่ของพระองค์อยู่อีกหนึ่งคน

เกาฉางกง

อีกหนึ่งหอกข้างแคร่ของโจวหวู่ตี้คือเกาฉางกง บุตรชายของเกาเฉิง เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหลานหลิงหวาง เขาได้รับการแต่งตั้งจากเกาจ้านให้เป็นแม่ทัพตั้งแต่ยังหนุ่ม ด้วยความที่มีใบหน้าหล่อเหลา (บางว่างามยิ่งกว่าสตรี) ทำให้เขาต้องสวมใส่หน้ากากเวลาออกรบอยู่เสมอเพื่อสร้างความน่าเกรงขาม

เกาฉางกงนั้นเป็นคนรักลูกน้อง มีคุณธรรม เป็นที่รักในหมู่ประชาชน และที่สำคัญที่สุด มีฝีมือในการทำสงคราม ตัวเขาเคยแก้วงล้อมเมืองจิ้นหยางจากทหารเป่ยโจวหนึ่งแสนคนมาแล้วด้วยทหารม้าเพียงห้าร้อยนาย ความปราชัยอย่างอัปยศนั้นสร้างความเจ็บพระทัยไม่น้อยให้กับโจวหวู่ตี้ แต่ในครั้งนี้ไม่ต้องไปลงมือทำอะไร เกาเหว่ยก็จัดการเกาฉางกงให้ด้วยตนเอง

เรื่องไม่ได้ซับซ้อน เพราะเกาเหว่ยนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าตนเองไม่มีอะไรสู้เกาฉางกงได้เลย ตั้งแต่สติปัญญา ความสามารถ ความรักในหมู่ประชาชนและทหาร คุณธรรม แถมเกาฉางกงเองก็เป็นโอรสของเกาเฉิง เป็นบุตรคนโตของเกาฮวน ถ้าจะนั่งบัลลังก์จริงๆ เกาฉางกงมีทั้งศักดิ์และสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยม

ดังนั้นคนที่เกาเหว่ยเกรงกลัวที่สุดไม่ใช่หูลี่ว์กวง แต่เป็นเกาฉางกงผู้นี้นี่เอง ตัวเกาฉางกงเองก็พยายามหลบลี้หนีหน้าไม่เข้าวัง เพราะหวังว่าฮ่องเต้จะเลิกระแวงตนเสียที แต่ก็ไม่เป็นผล ประมาณหนึ่งปีหลังจากที่หูลี่ว์กวงถูกประหารชีวิต เกาเหว่ยก็มอบสุรายาพิษให้กับเกาฉางกง

เกาฉางกงในวัยสามสิบเศษตัดสินใจทำตามพระบรมราชโองการด้วยการจบชีวิตตนเอง ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นการจบแผ่นดินเป่ยฉีด้วย เนื่องจากไม่มีใครในแผ่นดินอีกแล้วที่จะสกัดกองทัพศัตรูได้ ในปีเดียวกันนั้นกองทัพราชวงศ์เฉินยกขึ้นมาจากภาคใต้ และตีชิงหัวเมืองไปได้หลายเมือง ทำให้เป่ยฉียิ่งอ่อนแอลงไปอีก

ในปี ค.ศ.576 โจวหวู่ตี้มีพระบัญชาให้ยกกองทัพไปตีเป่ยฉีครั้งใหญ่ กองทัพเป่ยโจวตีเมืองผิงหยางซึ่งเป็นเมืองสำคัญได้อย่างรวดเร็ว เกาเหว่ยที่เพิ่งจะรู้ข่าวศึกเพราะถูกคนสนิทมองว่าไม่ใช่เรื่องสำคัญต่างตื่นตระหนก และรีบยกกองทัพมาต่อต้าน เป่ยฉีจะอยู่รอดหรือไม่ติดตามต่อไปได้ในตอนหน้าครับ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!