ประวัติศาสตร์มหากาพย์ราชวงศ์หลิวซ่ง ตอนที่ 8: สถานการณ์เริ่มเละเทะ

มหากาพย์ราชวงศ์หลิวซ่ง ตอนที่ 8: สถานการณ์เริ่มเละเทะ

การกำจัดถันเต้าจี้ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ในราชสำนักดีขึ้น เพราะตัวการสำคัญในเวลานั้นคือหลิวอี้คัง ผู้ที่มีอำนาจมากขึ้นทุกที จากการที่ซ่งเหวินตี้ป่วยกระเสาะกระแสะจนไม่สามารถว่าราชการได้

เดิมทีนั้นหลิวอี้คังเป็นอนุชาที่ดีของซ่งเหวินตี้ รวมไปถึงเป็นขุนนางที่มีความสามารถด้วย แต่เพราะการยุยงส่งเสริมของเหล่าผู้ติดตาม ทำให้หลิวอี้คังเริ่มเข้าสู่ด้านมืดตามลำดับ จนสุดท้ายในปี ค.ศ.440 หลิวอี้คังเริ่มทะนงตนว่าเป็นจักรพรรดิเงาแทนที่ซ่งเหวินตี้ที่ไม่สามารถออกมาพบขุนนางได้ เหล่าผู้ติดตามทั้งหลายของเขาต่างเริ่มปรึกษากันว่าจะลอบปลงพระชนม์ฮ่องเต้ เพื่อยกบัลลังก์ให้กับหลิวอี้คัง

การกำจัดหลิวอี้คัง

ซ่งเหวินตี้ไม่เคยเป็นผู้ที่แข็งแรงอยู่แล้ว (น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ซ่งหวู่ตี้ไม่เคยมองเขาในฐานะรัชทายาท) อย่างไรก็ดี แม้ว่าดูเหมือนว่าอาการของพระองค์จะหนักมาก แต่พระองค์กลับยังรักษาพระชนม์ชีพเอาไว้ได้ และตลอดเวลาที่พระองค์ใช้เวลาอยู่บนพระแท่น (เตียง) นั้น พระองค์ทรงรับรู้เหตุการณ์ภายนอกมาตลอด

เดิมทีนั้นซ่งเหวินตี้ดำริว่าถ้าพระองค์สวรรคต บัลลังก์จะตกอยู่กับหลิวเซ่า ผู้เป็นรัชทายาท แล้วพระองค์จะมอบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการให้กับหลิวอี้คัง แต่เมื่อเวลาผ่านไป หลิวอี้คังกระหายอำนาจ และไม่อาจปิดความทะเยอทะยานได้อีกต่อไป ซ่งเหวินตี้จึงตั้งพระทัยกำจัดหลิวอี้คังไปเสียแทน เพราะเกรงว่าหลิวอี้คังจะชิงราชสมบัติ

ทันทีที่โรคของซ่งเหวินตี้บรรเทาลง พระองค์ตัดสินใจลงมือทันทีโดยไม่รีรอ ซ่งเหวินตี้มีรับสั่งให้คุมขังหลิวอี้คังไว้ในบ้าน แต่เหล่าผู้ติดตามของหลิวอี้คังนั้นถูกจับประหารชีวิตทั้งหมด การเดินหมากนี้นั้นหลิวอี้คังไม่ทันตั้งตัว ทำให้หมดสิทธิ์ต่อต้าน ภายในวันเดียวหลิวอี้คังก็หมดสิ้นอำนาจ

ถึงกระนั้นซ่งเหวินตี้ก็ยังรักอนุชาผู้นี้ พระองค์ไม่ได้มีรับสั่งให้ประหารชีวิตเขาแต่อย่างไร เพียงแค่ถอดจากตำแหน่งทั้งหมด แล้วส่งตัวไปเป็นเจ้าเมืองที่ห่างไกลเท่านั้น

แต่เรื่องกลับเป็นว่า มีกลุ่มก้อนในราชสำนักที่พยายามก่อกบฏเพื่อนำหลิวอี้คังมาเป็นฮ่องเต้อยู่อีกหลายครั้งหลังจากนั้น หลิวอี้คังจึงถูกถอดเป็นสามัญชนพร้อมกับถอดออกจากตำแหน่งทั้งหมด และให้คุมตัวอยู่ในบ้าน

สุดท้ายแล้วในปี ค.ศ.451 ซ่งเหวินตี้ทรงระแวงว่าจะหลิวอี้คังจะก่อความวุ่นวายขึ้นมาในช่วงที่หลิวซ่งกำลังเผชิญการรุกรานจากทางเหนือ พระองค์จึงตระบัดสัตย์ว่าจะไม่ประหารชีวิตหลิวอี้คัง ทูตถูกส่งไปหาหลิวอี้คังและบังคับให้หลิวอี้คังฆ่าตัวตายเสีย แต่หลิวอี้คังอ้างว่าตนเองเป็นชาวพุทธ ดังนั้นจะไม่ปลิดชีพตนเองเด็ดขาด เพราะเป็นบาป ทหารที่ติดตามมาด้วยจึงต้องลงมือสังหารหลิวอี้คังในที่สุด

ปราชัยต่อเป่ยเว่ย

ความสัมพันธ์ของหลิวซ่งกับราชวงศ์เป่ยเว่ยนั้นไม่เคยเป็นไปด้วยสันติ เพราะทั้งสองอาณาจักรก็ต่างต้องการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่ง ในปี ค.ศ.450 ซ่งเหวินตี้มีรับสั่งให้ยกกองทัพขึ้นเหนือไปตีราชวงศ์เป่ยเว่ย

ฝ่ายหลิวซ่งนั้นเริ่มต้นได้ดี ชาวฮั่นที่อยู่ในภาคกลางก็สนับสนุนเพราะต้องการปลดแอกจากผู้ปกครองชาวเซียนเปย ทำให้ตีเมืองสองแห่งได้อย่างรวดเร็ว แต่ส่วนหนึ่งเพราะกลยุทธ์ของฝ่ายเป่ยเว่ยเองที่ต้องการทิ้งเมืองที่ป้องกันยาก และเลือกที่จะสู้รบกับหลิวซ่งเมื่อฝ่ายตนเองพร้อมเท่านั้น

เรื่องกลับเป็นว่าแม่ทัพหวางซวนโม๋กลับบังคับให้ชาวฮั่นเหล่านี้ส่งเสบียงระหว่างที่กำลังล้อมเมืองหัวไถ ทำให้ชาวฮั่นเปลี่ยนใจไม่ช่วยเหลือแทน กองทัพหลิวซ่งจึงเข้าเมืองไม่ได้ และขาดป้อมปราการที่แข็งแกร่งในการป้องกันการเข้าตีตอบโต้ ไท่หวู่ฮ่องเต้แห่งเป่ยเว่ยจึงเสด็จนำกองทัพหลวงมาด้วยตนเอง และเข้าตีกองทัพหลิวซ่งจนแตกกระเจิง

เมื่อได้ชัยชนะ ไท่หวู่ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยว่าจะโจมตีตอบโต้หลิวซ่งเสียบ้าง พระองค์จึงส่งกองทัพเข้าโจมตีเมืองต่างๆ ของหลิวซ่ง เมืองต่างๆ ของหลิวซ่งริมแม่น้ำไฮว้ถูกทำลายย่อยยับ กองทัพเป่ยเว่ยรุกเข้ามาถึงหน้าเมืองเจี้ยนคัง (นานกิง) เมืองหลวงของหลิวซ่ง เหลือแต่เพียงแม่น้ำแยงซีเท่านั้นที่สกัดการรุกรานของกองทัพเป่ยเว่ยเอาไว้

ถึงกระนั้นไท่หวู่ฮ่องเต้กลับเลือกที่จะถอยทัพ เพราะนอกจากจะไม่มีเรือแล้ว กองทัพของพระองค์ยังรุกเข้าไกลจากเส้นทางเสบียงอีกด้วย เพื่อความไม่ประมาท กองทัพเป่ยเว่ยจึงถอยไปจนหมดสิ้น ทิ้งเมืองจำนวนมากมายที่เหลือแต่เถ้าถ่านเท่านั้น

ซือหม่ากวง นักประวัติศาสตร์คนสำคัญบรรยายว่า ความย่อยยับของหลิวซ่งในครั้งนี้นั้นมากเหลือคณานับ ชาวหลิวซ่งล้มตายไปนับไม่ถ้วน เพราะความเหี้ยมโหดของทหารเป่ยเว่ยที่ทั้งปล้นสะดมและสังหารผู้คนอย่างไม่เลือกหน้า แต่ซือหม่ากวงก็โทษว่าผู้ที่ต้องรับผิดชอบคือซ่งเหวินตี้ เพราะพระองค์ไม่เคยอนุญาตให้เหล่าแม่ทัพตัดสินใจในสมรภูมิด้วยตนเอง แต่ต้องทำตามพระบรมราชโองการเท่านั้น ทหารหลิวซ่งเองก็ด้อยประสบการณ์ พอเจอทหารเจนศึกของเป่ยเว่ยก็แตกหนีไปหมด ศักยภาพของหลิวซ่งมีเท่านี้ กล้าไปแหย่รังแตนอย่างเป่ยเว่ยได้อย่างไร

อย่างไรก็ดีซ่งเหวินตี้ไม่เคยเรียนรู้จากความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ในปีถัดมาพระองค์ทราบว่าไท่หวู่ฮ่องเด้สวรรคตเพราะความวุ่นวายภายใน พระองค์จึงยกไปตีเป่ยเว่ยอีก แต่ก็แพ้อีกเป็นคำรบสาม ความพินาศในการทำสงครามทำให้หลิวซ่งได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถึงขนาดที่รากฐานของราชวงศ์สั่นคลอน เคราะห์ดีที่ฝ่ายเป่ยเว่ยเองก็เสียหายไม่น้อย และมีปัญหาภายใน ทำให้หลิวซ่งยังตั้งตนอยู่ในภาคใต้ได้

ปัญหาเรื่องรัชทายาท

รัชทายาทของซ่งเหวินตี้คือ หลิวเซ่า หลักฐานทางประวัติศาสตร์ให้ข้อมูลว่าเขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดี เป็นคนที่เก่งกาจในเรื่องการขี่ม้ายิงธนู แถมยังขยันหมั่นเพียรอีกด้วย เรียกได้ว่าโดยรวมแล้ว profile ดี เหมาะแก่การเป็นฮ่องเต้คนต่อไปทีเดียว เมื่อซ่งเหวินตี้โจมตีราชวงศ์เป่ยเว่ยในปี ค.ศ.450 หลิวเซ่าก็เป็นผู้ทัดทานอย่างหนักหน่วง ซึ่งผลสุดท้ายก็แสดงให้เห็นว่าเขาตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง

แต่เรื่องกลับเป็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างซ่งเหวินตี้กลับหลิวเซ่าได้แย่ลงอย่างรวดเร็ว ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเป็นเพราะสาเหตุอันใด พงศาวดารเล่าว่าหลิวเซ่าไปคบหากับพวกแม่มดหมอผี ทำให้ซ่งเหวินตี้เรียกเขามาต่อว่าอย่างรุนแรง และสั่งให้เลิกคบหาพวกแม่มดหมอผีเสีย ถึงกระนั้นหลิวเซ่าก็ยังไม่เลิกการกระทำดังกล่าว และกลับสั่งให้พวกแม่มดหมอผีทำพิธีแช่งสาปซ่งเหวินตี้บิดาของตนเองด้วยซ้ำไป

เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!