ประวัติศาสตร์มหากาพย์หลิวซ่ง ตอนที่ 11: หลิวจื่อเย่ผู้โหดร้าย

มหากาพย์หลิวซ่ง ตอนที่ 11: หลิวจื่อเย่ผู้โหดร้าย

แผ่นดินหลิวซ่งในช่วงรัชกาลซ่งเซี่ยวหวู่ตี้นั้นเปรียบได้กับเรือที่กำลังจมแต่กลับเข้าสู่จุดสมดุลได้อย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งเกิดจากการที่ซ่งเซี่ยวหวู่ตี้เองที่ใช้คนดีมีความสามารถ และเอาใจใส่ราชการแผ่นดินพอตัว ทำให้แผ่นดินหลิวซ่งรอดพ้นความพินาศไปได้อีกเป็นพักใหญ่ๆ

อย่างไรก็ดีซ่งเซี่ยวเหวินตี้กลับสวรรคตไปก่อนเวลาอันควร ทิ้งบัลลังก์ให้อยู่กับโอรสอย่างหลิวจื่อเย่ในวัย 16 ปีเท่านั้น แม้ว่าจะไม่ใช่ฮ่องเต้เด็กเสียทีเดียว แต่ก็เป็นคนหนุ่มที่มุทะลุ หุนหันพลันแล่น และมีพฤติกรรมที่เกรี้ยวกราด

แผ่นดินหลิวซ่งภายใต้หลิวจื่อเย่จะเป็นอย่างไร เรามาดูกันในตอนที่ 11 นี้ครับ

ปัญหากับพระบิดาและพระมารดา

ความสัมพันธ์ระหว่างหลิวจื่อเย่และซ่งเซี่ยวหวู่ตี้ไม่ค่อยดีนักตั้งแต่ก่อนที่แรกเริ่มแล้ว สาเหตุสำคัญคือซ่งเซี่ยวเหวินตี้มักจะดุด่าพระโอรสอย่างรุนแรงเวลาที่ทำผิดพลาด ทำให้หลิวจื่อเย่ไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก และน่าจะส่งผลไม่มากก็น้อยให้หลิวจื่อเย่เป็นคนอารมณ์รุนแรงเกินกว่าสามัญชนทั่วไป

เดิมทีซ่งเซี่ยวหวู่ตี้เองก็ดำริจะถอดหลิวจื่อเย่ออกจากรัชทายาทเสียเหมือนกัน แต่ที่ปรึกษาของพระองค์ทัดทานเอาไว้ ทำให้ท้ายที่สุดราชบัลลังก์ก็ตกกับโอรสที่ไม่ค่อยจะโปรดปรานเท่าใดนัก หลิวจื่อเย่นั้นรับตราหยกแผ่นดินด้วยท่าทีที่พงศาวดารระบุไว้ว่าอวดดี จองหอง หรือแม้กระทั่งไม่ให้ความสำคัญ พอพวกขุนนางเห็นเช่นนั้นก็เริ่มคิดว่าลางร้ายเริ่มจะปรากฏแล้ว

หลังจากนั่งบัลลังก์ได้ไม่นาน หลิวจื่อเย่เดินทางไปที่ฮวงซุ้ยหลวงตามประเพณี พอเห็นรูปของซ่งหวู่ตี้ (หลิวยี่ว์) หลิวจื่อเย่จึงตรัสว่าพระองค์เป็นวีรบุรุษผู้เก่งกล้าและมีชัยเหนือจักรพรรดิมากมาย ส่วนพอเห็นรูปซ่งเหวินตี้ก็ตรัสว่า พระองค์เป็นจักรพรรดิที่ดี แต่โชคร้ายที่เสียพระเศียรให้กับโอรสของตนเอง

ต่อมาหลิวจื่อเย่ก็เดินมาถึงรูปของซ่งเซี่ยวหวู่ตี้ พระบิดาของตนเอง หลิวจื่อเย่กลับตำหนิว่าช่างฝีมือควรวาดจมูกของพระองค์ให้ใหญ่กว่านี้เพราะซ่งเซี่ยวหวู่ตี้เสวยเหล้ามากมาย และสั่งให้ช่างฝีมือให้แก้ไขตามรับสั่ง

พอได้ว่าราชการ หลิวจื่อเย่ก็สั่งให้ยกเลิกกฎหมายที่ออกในสมัยของซ่งเซี่ยวหวู่ตี้ทั้งหมด และกลับไปใช้กฎหมายสมัยซ่งเหวินตี้แทน นักประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ประเมินว่าไม่ได้มีสาเหตุอื่นนอกจากการที่หลิวจื่อเย่ไม่พอใจพระบิดาที่สวรรคตไปแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ดีหลิวจื่อเย่ก็ไม่ได้ทำอะไรมากกว่านี้ หากแต่ว่าแค่พฤติกรรมลักษณะนี้ของพระองค์ก็ทำให้เหล่าขุนนางมองตากันปริบๆ เพราะตามธรรมเนียมจีนโบราณนั้น ฮ่องเต้ที่ดีควรมีความกตัญญูนั่นเอง

สำหรับพระมารดานั้นหลังจากหลิวจื่อเย่ได้บัลลังก์ได้ไม่นานก็ป่วยหนัก พระนางจึงเรียกหลิวจื่อเย่ให้ไปเฝ้า แต่หลิวจื่อเย่กลับปฏิเสธ โดยตรัสว่าห้องคนป่วยมักจะมีผีมากมาย ดังนั้นพระองค์ไม่ต้องการจะไป เมื่อพระมารดาทราบก็กริ้วโกรธอย่างรุนแรง ถึงกับตรัสด่าว่าอย่างหยาบคาย แต่ผ่านไปไม่นานก็สวรรคต

แสดงความเหี้ยมโหด

เมื่อได้นั่งบัลลังก์ หลิวจื่อเย่ก็เริ่มแสดงความเป็นเผด็จการ เมื่อไม่พอใจขุนนางผู้ใด พระองค์ก็มักจะให้นำตัวไปประหารชีวิต โดยปราศจากความเมตตาปรานี จนสุดท้ายขุนนางระดับสูงอย่างไต้ฝ่าซิงทูลตักเตือนว่า ถ้าพระองค์ยังคงโหดร้ายเช่นนี้ ระวังจะเป็นเหมือนกับหลิวเซ่าที่โดนอัปเปหิจากบัลลังก์ และเสียพระชนม์ชีพภายในเวลาไม่ถึงปี

นอกจากหลิวจื่อเย่จะไม่ฟังคำเตือนแล้ว พระองค์ยังสั่งให้ไต้ฝ่าซิงปลิดชีพตนเองอีกด้วย การตายของไต้ฝ่าซิงได้สร้างความพรั่นพรึงให้กับพวกขุนนางและเชื้อพระวงศ์ ต่างคนเห็นว่าราชวงศ์คงไปไม่รอดถ้าหลิวจื่อเย่ยังอยู่ในบัลลังก์ ดังนั้นกลุ่มคลื่นใต้น้ำจึงเกิดขึ้นและวางแผนจะถอดหลิวจื่อเย่ออกจากบัลลังก์

ตามแผนการของพวกขุนนางนั้นจะวางแผนก่อการ โดยจะให้หลิวอี้กง (Liu Yigong) เชื้อพระวงศ์อาวุโสที่มีประสบการณ์เป็นอัครมหาเสนาบดีมาถึงสามสมัยเป็นฮ่องเต้ แต่ความลับกลับรั่วไหลเสียก่อน ทำให้หลิวจื่อเย่สั่งให้ทหารหลวงเข้าสังหารหลิวอี้กงและผู้ก่อการทั้งหมด รวมไปถึงให้ปฏิบัติกับร่างของหลิวอี้กงอย่างผิดมนุษย์มนา เกินกว่าที่จะเขียนลงไป ณ ที่นี้

การสิ้นชีวิตของหลิวอี้กงเป็นเรื่องใหญ๋ เพราะเขาเป็นผู้ที่ได้รับการเคารพนับถืออย่างสูง และที่สำคัญที่สุดคือเขาเป็นผู้ดูแลการบริหารราชการแผ่นดินให้อยู่กับร่องกับรอย เรียกได้ว่าถึงแม้ในวังจะมีเข่นฆ่ากันสักเพียงใด แต่ถ้าหลิวอี้กงยังอยู่ ประชาชนภายนอกก็ยังไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เมื่อสิ้นหลิวอี้กงแล้ว ราชวงศ์หลิวซ่งจึงขาดเสาหลัก และเริ่มเซซวนอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

หลังจากนั้นหลิวจื่อเย่ก็ยิ่งแสดงความวิปริตมากกว่าแต่ก่อน พระองค์ตรัสว่าอยากจะลองประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดูสักครั้งหนึ่ง พระองค์เลยใส่ความเชื้อพระวงศ์คนหนึ่งว่่าจะก่อกบฏ และประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินให้ทหารหลวงเข้าไปปราบปราม แต่เชื้อพระวงศ์คนดังกล่าวไหวตัวทัน ทำให้หลบหนีขึ้นเหนือไปพึ่งราชวงศ์เป่ยเว่ยได้สำเร็จ

นอกจากนี้พงศาวดารยังเล่าว่าหลิวจื่อเย่รับพระมาตุจฉาของพระองค์เองเป็นพระสนม ส่วนเจ้าหญิงคนอื่นนั้นก็ปล่อยให้ข้าราชบริพารของพระองค์ล่วงเกินได้ตามใจชอบ เจ้าหญิงคนใดปฏิเสธก็โปรดให้นำไปสำเร็จโทษ พฤติกรรมผิดศีลธรรมของหลิวจื่อเย่นั้น ไม่ว่าใครได้ยินก็ต้องเบือนหน้าหนี แต่ก็ไม่มีใครทัดทาน เพราะเห็นกันอยู่ว่าคนที่ทัดทานมีจุดจบเช่นไร

มีอยู่วันหนึ่งพระองค์ได้สังหารหญิงรับใช้นางหนึ่ง เพราะนางปฏิเสธที่เข้าร่วมในกิจกรรมวิตถารของหลิวจื่อเย่ ในคืนวันนั้นหลิวจื่อเย่ฝันว่าหญิงนางนั้นมาทวงเอาชีวิต และบอกพระองค์ว่า หลิวจื่อเย่จะไมมีชีวิตจนได้ถึงช่วงเก็บเกี่ยวปีหน้า พอหลิวจื่อเย่ตื่นขึ้นก็ได้สั่งให้ทำพิธีปัดรังควานเป็นการใหญ่

ถูกลอบสังหาร

ความโหดร้ายและความวิตถารของหลิวจื้อเย่ได้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับทุกชนชั้นในราชสำนัก ตั้งแต่หญิงรับใช้ ทหารทั่วไป ลามไปถึงขุนนางและชนชั้นสูง เพราะฉะนั้นกลุ่มที่ต้องการสังหารพระองค์ก็เพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ หลิวจื่อเย่เองก็ไม่ใช่ไม่รู้ว่าพระองค์มีศัตรูมาก พระองค์จึงพยายามให้ทหารมีฝีมืออยู่ข้างกายพระองค์ให้มากที่สุด

แต่แล้วโอกาสของพวกมือสังหารก็มาถึง นั่นก็คือพิธีปัดรังควานช่วงกลางคืนนั้นเอง ช่วงนี้หลิวจื่อเย่น่าจะอยู่เพียงลำพัง เปิดโอกาสให้เหล่ามือสังหารที่เป็นเหล่าข้าราชบริพารเข้ามาล้อมรอบพระองค์ได้ หลิวจื่อเย่พยายามจะหนีเอาชีวิตรอด แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว หลิวจื่อเย่สวรรคตในวันนั้นเอง เป็นอันปิดฉากฮ่องเต้หนุ่มผู้โหดเหี้ยมมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์จีน รวมแล้วครองราชย์ได้เพียงห้าเดือนเศษเท่านั้น

ชื่ออย่างเป็นทางการของหลิวจื่อเย่คือจักรพรรดิซ่งเฉียนเฟ่ยตี้ หรือจักรพรรดิผู้ถูกถอดคนก่อนแห่งซ่ง นั่นแปลว่าหลิวซ่งจะมีจักรพรรดิผู้ถูกถอดคนหลังด้วย จะเป็นใครกันแน่ ติดตามได้ในตอนต่อไปเลยครับ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!