ประวัติศาสตร์จีนจ้านกว๋อไป๋ฉีเผด็จศึกกองทัพจ้าวที่ฉางผิง แคว้นจ้าวเสียทหารสี่แสนคนในคืนเดียว

ไป๋ฉีเผด็จศึกกองทัพจ้าวที่ฉางผิง แคว้นจ้าวเสียทหารสี่แสนคนในคืนเดียว

ความพ่ายแพ้ที่เมืองเอ้อหยี่ว์ด้วยน้ำมือของจ้าวเซอแห่งแคว้นจ้าว ทำให้แคว้นฉินต้องหยุดพักฟื้นฟูไปนานอยู่หลายปี ช่วงเวลานั้นเองฉินจาวเซียงหวาง กษัตริย์แคว้นฉินดำเนินยุทธศาสตร์ผูกมิตรแคว้นที่อยู่ไกล เพื่อเข้าตีแคว้นที่อยู่ใกล้

แคว้นฉินจึงส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นฉีและแคว้นฉู่ และส่งกำลังเข้าตีแคว้นหานและแคว้นเว่ย ครั้งนี้ฉินจาวเซียงหวางให้หวางเหอเป็นแม่ทัพนำกำลังทหารหลายแสนคนบุกเมืองช่างตังของแคว้นหาน

หวางเหอเข้าตีเมืองช่างตังจวนจะแตก แม่ทัพหานที่รักษาเมืองอยู่จึงขอความช่วยเหลือมาที่แคว้นจ้าว

ยุทธการแห่งฉางผิง

ฝันประหลาด

ในขณะที่กองทัพฉินล้อมเมืองช่างตังเป็นสามารถ แม่ทัพหานในเมืองช่างตังต่างคิดว่า ถ้าจะยอมแพ้แคว้นฉิน ยอมแพ้คนบ้านเดียวกันอย่างแคว้นจ้าวเสียยังจะดีกว่า นอกจากนี้ถ้าแคว้นหานสามารถลากแคว้นจ้าวเข้าสู่สงครามได้ก็มีความหวังที่จะเอาชนะแคว้นฉิน พวกเขาจึงส่งทูตไปเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวทันที

ในเวลานั้นจ้าวเซอ แม่ทัพที่เอาชนะแคว้นฉินได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ส่วนจ้าวฮุ่ยเหวินหวางเองก็เพิ่งจะล่วงลับ ทำให้แคว้นจ้าวมีกษัตริย์คนใหม่ชื่อ จ้าวเซี่ยวเฉิงหวาง

ก่อนทูตแคว้นหานมาถึงเมืองหานตาน จ้าวเซี่ยวเฉิงหวางฝันประหลาดในคืนก่อนหน้าที่ทูตจะมาถึง จ้าวหวางรู้สึกไม่สบายใจจึงให้ขุนนางมาปรึกษา

ฝันของจ้าวเซี่ยวเฉิงหวางคือ

จ้าวหวางสวมใส่เสื้อตัวใหม่ รอบตัวเขามีแสงสีประหลาดวูบวาบไปมา เมื่อมองไปก็เห็นมีมังกรลงมาจากท้องฟ้า จ้าวหวางจึงขึ้นมังกรเพื่อจะขี่ หลังจากนั้นมังกรก็บินไปทันทีเพื่อมุ่งหน้าไปยังสวรรค์ แต่ยังไม่ถึงสวรรค์ จ้าวหวางก็ตกมาจากหลังมังกรเสียก่อน

ระหว่างที่ตกลงมาจ้าวหวางเห็นภูเขาทองและหยกรวมสองลูกที่มีแสงสว่างจ้าทำให้เขาแสบตายิ่งนัก

ขุนนางคนหนึ่งทำนายว่าฝันของจ้าวหวางเป็นมหามงคล จ้าวหวางจึงดีใจมาก แต่ขุนนางคนอื่นยังคงรบเร้าให้จ้าวหวางไปเชิญโหรหลวงที่เชี่ยวชาญมาทำนาย เขาทำนายว่า

ต้าหวางทรงมังกรแต่กลับตกลงมา พระองค์ทอดพระเนตรเห็นภูเขาทองและหยก แต่พระองค์ก็ได้แต่เห็นเท่านั้น ไม่อาจจะได้ใช้ พระสุบินจะดีได้อย่างไร ขอให้ต้าหวางทรงระมัดระวัง

หากแต่ว่าจ้าวหวางกลับไม่สนใจ เพราะเชื่อไปแล้วว่าเป็นฝันดี

วันรุ่งขึ้นทูตแคว้นหานก็มาถึงและมาถวายสาส์นกับจ้าวหวาง ในสาส์นมีความว่า

กองทัพฉินโจมตีเมืองช่างตังจวนจะแตก พวกข้าพระองค์และราษฎรเมืองช่างตังไม่ต้องการจะเป็นราษฎรแคว้นฉิน แต่ปรารถนาจะเป็นราษฎรแคว้นจ้าว เมืองช่างตังมีหัวเมืองในปกครองถึงสิบเจ็ดหัวเมือง ข้าพระองค์ขอถวายทั้งหมดให้เป็นสิทธิ์ขาดของต้าหวาง ขอให้ต้าหวางทรงมีพระเมตตารับไว้ด้วยเถิด

จ้าวหวางยินดียิ่งนักเพราะคิดว่าไปตรงกับความฝันเมื่อคืนก่อน แต่ว่าจ้าวปา เชื้อพระวงศ์คนหนึ่งทัดทานว่า

ต้าหวางทรงไม่ได้ลงทุนลงแรงก็ได้มณฑลใหญ่สิบเจ็ดหัวเมืองเช่นนี้ ข้าพระองค์เกรงว่าจะเป็นการรับภัยพิบัติมาเสียเปล่าๆ ต้าหวางอย่าทรงรับเลย

จ้าวเซี่ยวเฉิงหวางได้ฟังจึงกล่าวว่า เมืองช่างตังมาสวามิภักดิ์เอง ทำไมเขาถึงว่าไม่ควรรับไว้

จ้าวปาตอบว่า

แคว้นฉินเปรียบเหมือนกับยักษ์ที่เขมือบเอาดินแดนแคว้นหานทีละน้อย บัดนี้ก็ตีเมืองรายรอบได้ทั้งหมดแล้ว เท่ากับตัดขาดเมืองช่างตังจากโลกภายนอกได้หมด กองทัพฉินไม่ต้องเข้าตีเมือง เพียงแค่อยู่เฉยๆ อีกไม่นานก็เข้าเมืองได้อยู่แล้ว ถ้าเราไปรับเมืองช่างตังนั่นเท่ากับว่า แคว้นฉินลงแรงว่านเมล็ดพืช แต่แคว้นจ้าวเราเก็บผลผลิต แคว้นฉินจะยอมได้อย่างไร ฉินหวางย่อมต้องนำกำลังทหารทั้งหมดมาทำสงครามกับแคว้นจ้าวเรา การที่ขุนนางแคว้นหานทำเช่นนี้ต้องการจะนำภัยมามอบให้แคว้นเรา ข้าพระองค์ขอให้ต้าหวางทรงพิจารณาให้ดีด้วยเถิด

จ้าวเซี่ยวเฉิงหวางละโมบในดินแดนเมืองช่างตังจึงไม่เห็นด้วยกับจ้าวปา เขาเรียกผิงหยวนจวิน หนึ่งในสี่องค์ชายแห่งยุคจ้านกว๋อ (เช่นเดียวกับเมิ่งฉางจวิน) มาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี

ผิงหยวนจวินทูลจ้าวหวางว่า

แคว้นฉินลงมือใช้ทหารเป็นร้อยหมื่นกว่าจะตีได้เมืองต่างๆ ฝ่ายเราไม่ได้ลงแรงเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะเหตุใดจึงไม่รับเล่า

จ้าวหวางทรงยินดียิ่งนักจึงทรงโปรดให้ผิงหยวนจวินนำไปรับเมืองทันที

เหลียนโปกับยุทธศาสตร์ตั้งรับ

เมื่อฉินหวางได้ข่าวว่าเมืองช่างตังไปยอมสวามิภักดิ์แคว้นจ้าวจึงให้หวางเหอเข้าตีเมืองอย่างหนักทันที เมืองช่างตังต้านทานได้อีกเพียงสองเดือนเท่านั้น กองทัพฉินก็เข้าเมืองได้แต่บรรดาขุนนางในเมืองสามารถพาทหารและราษฎรหลบหนีมาถึงเขตแดนแคว้นจ้าวได้สำเร็จ

ขณะเดียวกันจ้าวหวางให้แม่ทัพใหญ่เหลียนโปเป็นแม่ทัพนำกำลังทหารสองแสนคนไปช่วยเมืองช่างตังโดยด่วน แต่ว่าเมื่อเหลียนโปมาถึงด่านฉางผิงกวน เขาพบกับราษฎรและทหารเมืองช่างตังที่แตกหนีมาจึงทราบว่ากองทัพฉินตีเมืองช่างตังแตกแล้ว

เหลียนโปเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือ และได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสี่แม่ทัพแห่งยุคจ้านกว๋อ เมื่อเขาเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนั้น เขาทราบว่ากองทัพฉินจะต้องยกมาตีแคว้นจ้าวเป็นแน่ เพราะกองทัพฉินเพิ่งจะรบชนะตีเมืองช่างตังแตก ขวัญกำลังใจของทหารต้องฮึกเหิมเป็นหมื่นเท่า

ด้วยเหตุนี้เหลียนโปมองว่าการจะไปต่อสู้กับกองทัพเช่นนี้เหมือนกับการฆ่าตัวตาย เหลียนโปจึงตั้งป้อมค่ายอย่างแน่นหนาที่ด่านฉางผิงกวน หรือ ฉางผิง แล้วให้จ้าวเจีย รองแม่ทัพนำทหารส่วนหนึ่งไปลาดตระเวน

กองทัพฉินเข้มแข็งและฮึกเหิมอย่างที่เหลียนโปคาดการณ์ไว้ เมื่อปะทะกันกองทัพฉินตีหน่วยลาดตระเวนของแคว้นจ้าวแตกกระจัดกระจาย แถมยังยึดเมืองรอบๆทั้งสองได้อีกด้วย หวางเหอแม่ทัพฉินได้ใจจึงสั่งให้เข้าตีป้อมค่ายที่เหลียนโปได้ทำการสร้างไว้ แต่ตีเท่าไรก็ตีไม่แตก เพราะที่มั่นของเหลียนโปแข็งแกร่งมาก

เหลียนโปประกาศว่าห้ามผู้ใดออกรบ ถึงชนะก็จะประหารชีวิต และยังสั่งให้ทหารขุดร่องลึกเป็นทางน้ำไหลมาจากแม่น้ำด้วย หลังจากนั้นกองทัพจ้าวจึงหดหัวอยู่แต่ในค่ายไม่ออกรบกับกองทัพฉินตามคำสั่งของเหลียนโป

หวางเหอสั่งให้กองทัพฉินเข้าตีค่ายทหารจ้าวที่ฉางผิงพร้อมกันทุกค่าย แต่ป้อมค่ายของทหารจ้าวแข็งแกร่งมาก กองทัพฉินไม่สามารถบุกตะลุยเข้าไปได้ ต้องหยุดชะงักอยู่ที่หน้าค่าย

หวางเหอจึงสั่งให้กองทัพฉินเข้ามาตั้งค่ายใกล้กับค่ายทหารจ้าว แล้วสั่งให้ท้ารบทุกวัน กองทัพจ้าวก็ไม่ทำอะไร ได้แต่รออยู่แต่ในค่ายเท่านั้น

หลายท่านคงสงสัยว่าเหลียนโปมีฝีมือในการทำสงครามแต่ทำไมเลือกที่จะใช้วิธีการตั้งรับ สาเหตุคือเหลียนโปจะทำทุกสิ่งด้วยความรอบคอบ เขาจะไม่โจมตีถ้าเขาไม่มั่นใจว่าจะชนะ

ในสงครามที่ฉางผิง เขาได้มองไว้แล้วว่า กองทัพฉินเข้มแข็งกว่ากองทัพจ้าว กำลังใจก็ดีกว่ามาก แต่ว่าฉางผิงอยู่ใกล้กับแคว้นจ้าวมากกว่าแคว้นฉิน ดังนั้นแคว้นจ้าวจะส่งเสบียงให้กองทัพง่ายกว่าแคว้นฉิน เมื่อเวลาผ่านไปแคว้นฉินก็จะอ่อนแรงเพราะขาดเสบียง กองทัพฉินจะถอยทัพไปเอง

เมื่อเข้าโจมตีไม่ได้ผล หวางเหอจึงไปลาดตระเวนรอบๆ เพื่อดูชัยภูมิ และพบว่าแม่น้ำไหลจากทิศตะวันตกสู่ทิศใต้ กองทัพจ้าวตั้งอยู่ทางทิศใต้ ถ้าตัดเส้นทางน้ำหลักไม่ให้ไหลไปถึงค่ายกองทัพจ้าว กองทัพจ้าวจะขาดน้ำไปเอง

ทหารฉินจึงทำตามคำสั่งของหวางเหอ แต่เหลียนโปได้สร้างร่องน้ำให้น้ำไหลแยกมาตั้งแต่แรกแล้ว ทำให้แผนการของหวางเหอล้มเหลว

จะว่าไปเหลียนโปตั้งค่ายอยู่บนภูเขาทางทิศใต้เพื่อปกป้องจุดยุทธศาสตร์สำคัญ อันที่จริงแล้วคล้ายคลึงกับม้าเจ๊กในเรื่องสามก๊กที่ตั้งค่ายที่เมืองเกเต๋ง หากแต่ว่าเหลียนโปได้คาดถึงยุทธวิธีการตัดน้ำของทัพฉินไปแล้วจึงเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า แต่ม้าเจ๊กกลับไม่ได้เตรียมการไว้เลย นี่จึงเป็นความแตกต่างของแม่ทัพที่เก่งกับแม่ทัพที่กลวงโบ๋

ทหารฉินกับทหารจ้าวตั้งยันกันที่ฉางผิงอยู่ถึงสามปี โดยที่ไม่ได้สู้รบกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว หวางเหอแห่งแคว้นฉินไม่รู้จะทำเช่นไรดี การส่งเสบียงมาถึงด่านฉางผิงก็ยากลำบากขึ้นทุกวัน เขาจึงรีบส่งทหารไปทูลแก่ฉินหวางที่เมืองเสียนหยาง (ปัจจุบันคือเมืองซีอาน) เพื่อขอความช่วยเหลือ

เมื่อฉินจาวเซียงหวางได้รับทราบสถานการณ์ของหวางเหอแล้ว เขาจึงเรียกตัวสมุหนายกฟ่านสุ่ยมาปรึกษาทันที ฟ่านสุ่ยทูลฉินหวางว่า

เหลียนโปเป็นแม่ทัพที่มีชื่อแห่งแคว้นจ้าว เขามีความรอบคอบ เขารู้ดีว่ากองทัพฉินเข้มแข็งไม่ควรทำสงครามด้วย ด้วยเหตุนี้จึงใช้วิธีการตั้งรับ เพราะกองทัพเราจะส่งเสบียงได้อย่างลำบาก ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าต้าหวางต้องการจะขยี้แคว้นจ้าวก็ต้องกำจัดเขาไปเสียก่อน ข้าพระองค์มีวิธีการหนึ่ง แต่พระองค์จะต้องยอมเสียทองพันตำลึงเพื่อการนี้

ฉินจาวเซียงหวางตอบว่าเสียเงินสักเท่าใดก็ไม่เกี่ยง ฟ่านสุ่ยจึงทูลให้ฉินหวางใช้จารชนไปยังแคว้นจ้าวเพื่อเผยแพร่ข่าวลืออย่างหนึ่ง

จารชนของแคว้นฉินแทรกซึมเข้าไปในแคว้นจ้าวและติดสินบนขุนนางแคว้นจ้าวอย่างมากมายเพื่อเผยแพร่สารที่ฟ่านสุ่ยแต่งขึ้นมาว่า

ในบรรดาแม่ทัพแคว้นจ้าว ท่านแม่ทัพจ้าวคว่อ บุตรของท่านหม่าฟูจวินคนก่อน จ้าวเซอ ยอดเยี่ยมมีฝีมือมากที่สุด ท่านจ้าวเซอยังมิอาจจะไปเปรียบเทียบได้ แล้วจะนับประสาอะไรกับเหลียนโป เหลียนโปแก่ชราและขี้ขลาด ดีแต่หลบอยู่แต่ในค่ายเพราะหวาดกลัวกองทัพฉิน  อีกไม่นานเขาคงจะยอมจำนนต่อกองทัพฉินเป็นแน่ ถ้าให้ท่านจ้าวคว่อเป็นแม่ทัพแล้ว กองทัพฉินเห็นทีจะแตกกลับเมืองเสียนหยางแทบไม่ทัน

ข่าวแพร่กระจายไปทั่วเมืองหานตานอย่างรวดเร็ว จนไปเข้าพระกรรณจ้าวเซี่ยวเฉิงหวางจนได้

จ้าวคว่อผู้นี้เป็นใครกันแน่?

จ้าวคว่อผู้หยิ่งยโส

จ้าวเซอผู้ล่วงลับมีบุตรชายคนหนึ่งชื่อ จ้าวคว่อ

ย้อนกลับไปก่อนที่จ้าวเซอจะเสียชีวิต ตั้งแต่เด็กเขาเป็นเรียนเก่ง ขยันในการศึกษาตำราพิชัยสงคราม เมื่อเติบใหญ่เขาหวังจะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกำลังทหารแคว้นจ้าวเช่นเดียวกับบิดาของเขา

เมื่อจ้าวเซอยังมีชีวิตอยู่ จ้าวคว่อศึกษาตำราพิชัยสงครามจนหมดสิ้น ไม่ว่าจะเป็นตำราพิชัยสงครามไท่กง ซุนวู ซุนปิ้น ล้วนอยู่ภายในสมองของเขา เขาถกเถียงเรื่องการทำสงครามกับบิดาของเขาหลายครั้ง แม้กระทั่งจ้าวเซอ ผู้มีฝีมือสามารถตีกองทัพฉินแตกได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยังไม่สามารถถกเถียงเอาชนะบุตรชายของเขาให้พ่ายแพ้ไปได้

นอกจากนี้เวลาที่ทั้งสองเล่นหมากล้อมกัน (บ้างว่าหมากรุก แต่ไม่น่าเป็นไปได้เพราะหมากรุกเกิดหลังยุคนี้หลายร้อยปี) จ้าวคว่อสามารถเอาชนะบิดาของเขาได้แทบทุกครั้งนั่นทำให้จ้าวคว่อยิ่งทรนงไปมากกว่าเดิม เขาจึงคิดว่าทั่วใต้หล้าไม่มีผู้ใดสู้เขาได้

มารดาของเขาดีใจอย่างยิ่งที่มีบุตรชายเช่นนี้ นางจึงถามจ้าวเซอว่า

ท่านพี่ยินดีหรือไม่ที่มีบุตรชายเช่นนี้ เห็นทีในอนาคตเขาจะได้เป็นแม่ทัพมีฝีมืออย่างท่านพี่เป็นแน่

จ้าวเซอได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอารมณ์ขุ่นเคืองขึ้นมาทันที และกล่าวกับภรรยาว่า

ข้าไม่เห็นด้วยกับเจ้าเลย ถ้าแคว้นจ้าวเราไม่ให้เขา (จ้าวคว่อ) เป็นแม่ทัพ ถึงจะเป็นวาสนาของแคว้นเรา

ภรรยาของจ้าวเซอตกใจอย่างยิ่งที่จ้าวเซอกล่าวเช่นนั้น นางรีบถามถึงสาเหตุ

จ้าวเซอตอบด้วยน้ำเสียงที่แข็งแกร่งว่า

จ้าวคว่อพูดเหมือนการทำสงครามเป็นเรื่องง่ายเหมือนการเล่นหมากล้อมเกมหนึ่ง ทหารของเขาเหมือนกับหมากที่ใช้เซ่นสังเวยได้ตามใจ วิธีของเขามาจากหนังสือที่เขาอ่านมาทั้งหมด! เขาไม่รู้ว่าสงครามที่แท้จริงเป็นอย่างไร การทำสงครามเป็นเรื่องอันตรายต้องอาศัยประสบการณ์อย่างยิ่งยวด จ้าวคว่อไร้ประสบการณ์แต่กลับมีความมั่นใจสูงคิดว่าในแผ่นดินไม่มีผู้เทียบเทียมได้ ถ้าได้เป็นแม่ทัพมีหรือจะรับฟังคำทัดทานนายทหารชั้นผู้น้อยที่มีประสบการณ์ ความเอาแต่ใจของเขาจะทำให้แคว้นจ้าวต้องพ่ายแพ้ยับเยินอย่างแน่นอน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ข้าคิดว่าเขาไม่ควรเป็นแม่ทัพให้แคว้นจ้าวเรา

เมื่อจ้าวเซอใกล้จะสิ้นชีวิต เขาเรียกจ้าวคว่อมาสั่งเสียว่า

คว่อลูกข้า คนโบราณกล่าวไว้ว่า การทำสงครามเป็นเรื่องอันตราย ข้าได้เป็นแม่ทัพเฝ้าชายแดนตะวันออกมาหลายสิบปี และได้เป็นแม่ทัพทำสงครามกับแคว้นฉิน ข้ามิเคยพ่ายแพ้ยับเยิน ไม่เคยต้องรับความอัปยศจากข้าศึกศัตรู และสามารถมาสิ้นลมอยู่กับครอบครัวได้ ถึงวันนี้ถ้าข้าตาย ข้าก็ตายตาหลับแล้ว แต่ข้าได้เห็นเจ้ามานานปี ข้าได้พิเคราะห์ดูแล้วว่าเจ้าไม่สามารถเป็นแม่ทัพได้ ถึงจ้าวหวางจะประทานตำแหน่งของข้าให้กับเจ้า ขอให้เจ้าอย่าได้อาศัยตำแหน่งนี้เพื่อเป็นแม่ทัพและนำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูลของเรา

นอกจากนี้ก่อนจะสิ้นลม เขาก็ได้เรียกภรรยามากล่าวเป็นครั้งสุดท้ายว่า

หลังจากที่ข้าจากไปแล้ว ถ้าจ้าวหวางทรงเรียกใช้ให้จ้าวคว่อเป็นแม่ทัพ เจ้าต้องนำสิ่งที่ข้าเคยบอกเจ้าว่า เพราะเหตุใดจ้าวคว่อถึงไม่ควรเป็นแม่ทัพทูลพระองค์ไป ความพ่ายแพ้ยับเยินในสมรภูมินั้นส่งผลอย่างมากต่อแคว้นเรา ขอให้เจ้าจำคำของข้าไว้ให้จงดี

หลังจากพูดจบ วิญญาณของนักรบผู้ยิ่งใหญ่อย่างจ้าวเซอก็หลุดลอยออกจากร่างไป

จ้าวหวางสำนึกในความดีความชอบที่จ้าวเซอได้ทำเอาไว้กับแคว้นจ้าว เขาจึงมอบตำแหน่ง หม่าฟูจวินให้แก่จ้าวคว่อ สืบทอดตำแหน่งต่อไป

อย่างไรเรื่องที่จ้าวเซอไม่ให้จ้าวคว่อเป็นแม่ทัพเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ นักประวัติศาสตร์บางคนเห็นว่าเป็นข่าวลือที่ปล่อยโดยกองทัพฉินในเวลาต่อมา

ตั้งจ้าวคว่อเป็นแม่ทัพ

สารที่จารชนแคว้นฉินปล่อยออกไป ได้สร้างความแตกตื่นในราชสำนักจ้าว

ก่อนหน้านี้จ้าวเซี่ยงเฉิงหวางไม่พอใจวิธีของเหลียนโปอยู่ที่ตั้งรับอย่างแข็งแกร่งอยู่แล้ว จ้าวหวางให้ข้าหลวงไปบอกเหลียนโปหลายครั้งว่าให้ออกรบทำศึกกับกองทัพฉิน แต่เหลียนโปก็เฉยเสีย

เหลียนโปรู้ดีว่ากองทัพฉินเข้มแข็ง จะไปต่อสู้ให้ทหารตายเปล่าทำไม แต่การที่เหลียนโปทำเช่นนั้น ทำให้จ้าวหวางเริ่มคิดว่าเหลียนโปแก่แล้วจึงขี้ขลาด ควรจะอยู่บ้านเลี้ยงหลานแล้ว

จ้าวเซี่ยวเฉิงหวางจึงเรียกจ้าวคว่อมาพบถามเขาว่า เขาสามารถเป็นแม่ทัพได้หรือไม่

จ้าวคว่อลืมสิ่งที่บิดาฝากฝังไว้จนสิ้น เขาทูลโอ้อวดว่า

ถ้าหวู่อันจวิน (ไป๋ฉี) เป็นแม่ทัพฉิน ข้าพระองค์ก็ต้องเสียเวลาวางแผนบ้าง แต่ถ้าคนอย่างหวางเหอเป็นแม่ทัพแล้วนั้น ข้าพระองค์จะทำลายกองทัพฉินให้พระองค์ได้ทอดพระเนตร

จ้าวหวางสนใจจึงถามขึ้นว่า ทำไมถ้าไป๋ฉีเป็นแม่ทัพ เขาจะต้องเสียเวลาวางแผน

จ้าวคว่อจึงทูลว่า

หวู่อันจวินมีชื่อเดิมว่าไป๋ฉี เขาเป็นแม่ทัพที่มีฝีมือระดับต้นๆของกองทัพฉิน หลายปีก่อนก็ทำลายกองทัพหานเว่ยที่ยีเชวีย สังหารไพร่พลไปยี่สิบสี่หมื่น อีกไม่นานก็โจมตีแคว้นเว่ยซ้ำยึดได้หกสิบเอ็ดเมือง โจมตีแคว้นฉู่จนเมืองหลวงหยิ่งตูแตก แล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็ทำลายกองทัพเว่ยสังหารทหารไปอีกสิบสามหมื่นคน ทำลายกองทัพหาน และกองทัพจ้าวเราที่ริมแม่น้ำอีกเจ็ดหมื่นคน ทั้งหมดนี้ทำให้เขามีชื่อเสียงไปทั่วปฐพี เพราะเขาไม่เคยพ่ายแพ้ในการสงครามเลย ดังนั้นถ้าข้าพระองค์ปะทะกับเขาก็ต้องเสียเวลาวางแผน จะแพ้ชนะก็ไม่แน่นอน แต่คนอย่างหวางเหอนั่นหรือ เขาฉวยโอกาสที่แม่ทัพเหลียนโปหวาดกลัวบุกลึกเข้ามาในแคว้นเรา ถ้าต้าหวางให้ข้าพระองค์เป็นแม่ทัพ ข้าพระองค์จะไปกวาดล้างพวกมันให้ย่อยยับราวกับ กวาดใบไม้ที่ร่วงหล่น

จ้าวหวางได้ฟังก็หลงคำพูดของจ้าวคว่อ เขาตั้งจ้าวคว่อเป็นแม่ทัพใหญ่แทนที่เหลียนโปทันที พร้อมกับมอบทหารเพิ่มเติมให้สองแสนคนเพื่อยกไปตีกองทัพฉิน

เหล่าจารชนฉินในแคว้นจ้าวรีบกลับไปเมืองเสียนหยางไปทูลฉินหวางให้ทราบ เมื่อฉินหวางทราบก็ตบขาตนเองฉาดใหญ่และพูดขึ้นว่า

อุบายของท่านฟ่านสุ่ยช่างเฉียบขาดจริงๆ โอกาสทำลายแคว้นจ้าวที่เข้มแข็งมาถึงแล้ว การนี้ต้องใช้ท่านหวู่อันจวินเป็นแม่ทัพถึงจะจัดการได้

ก่อนหน้านี้ไป๋ฉีเก็บเนื้อเก็บตัวและปฏิเสธที่จะเป็นแม่ทัพไปรบกับเหลียนโป เพราะไป๋ฉีรู้ว่าตัวเขาไปที่นั่นก็ไม่มีประโยชน์ เหลียนโปไม่ใช่คนโง่ ทั้งสองเคยร่วมรบกันแล้วครั้งหนึ่งในสงครามทำลายฉีหมิ่นหวาง

แต่ในครั้งนี้ ไป๋ฉีที่ได้ทราบข่าวถึงกับหัวเราะ และบอกกับทหารใต้บังคับบัญชาว่าแคว้นฉินเป็นฝ่ายชนะในสงครามแล้ว และรีบรายงานตัวต่อฉินหวางเพื่อที่จะไปคุมกองทัพฉินในสมรภูมิทันที

ฉินจาวเซียงหวางให้ไป๋ฉีมารับตำแหน่งแม่ทัพใหญ่ที่แนวรบกับแคว้นจ้าว และให้หวางเหอเป็นรองแม่ทัพ นอกจากนี้ยังสั่งทหารทุกนายว่าใครแพร่พรายว่ากองทัพฉินมีไป๋ฉีเป็นแม่ทัพจะถูกประหารชีวิต

แม่จ้าวคว่อมาทัดทาน

กลับมาที่แคว้นจ้าว เมื่อลิ่นเซียงหรู ขุนนางผู้ใหญ่แห่งแคว้นจ้าวทราบว่า จ้าวหวางแต่งตั้งจ้าวคว่อเป็นแม่ทัพใหญ่ก็ตกใจยิ่งนัก เขารีบมาเฝ้าพระองค์และทูลว่า

ทูลต้าหวาง จ้าวคว่อเป็นแค่กระทาชายที่ศึกษาแต่การทำสงครามบนกระดาษ ไม่มีประสบการณ์ออกสู่สมรภูมิจริง เขาดีแต่ท่องตำราพิชัยสงครามได้เท่านั้น ไม่รู้จักประยุกต์ใช้ ข้าพระองค์เห็นว่าเขาไม่สมควรเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพทั้งหมดในสงครามที่ใหญ่ยิ่งเช่นนี้

หากแต่ว่าจ้าวหวางกลับหลงในคำกล่าวของจ้าวคว่อ และจ้าวหวางไม่ชอบวิธีของเหลียนโปอยู่แล้ว จ้าวหวางจึงไม่สนใจคำทัดทานของขุนนางผู้เฒ่าลิ่นเซียงหยูเลยแม้แต่น้อย

ฝ่ายจ้าวคว่อดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้เป็นแม่ทัพ เมื่อเขาเข้ามาถึงบ้าน แม่ของเขากล่าวว่า

เจ้าลืมคำสั่งเสียของพ่อของเจ้าแล้วหรืออย่างไร เขาสั่งไว้ก่อนที่จะสิ้นลมว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเจ้าก็ห้ามเป็นแม่ทัพ แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ทูลทัดทานพระองค์เล่า

จ้าวคว่อตอบว่า

เรียนท่านแม่ ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่ก็จนใจที่แคว้นเราไม่มีผู้ใดมีฝีมือมากกว่าข้าเลย

จ้าวฟูเหรินมารดาของจ้าวคว่อจึงเข้าไปในวังด้วยตนเอง และขอเข้าพบจ้าวหวาง นางทูลว่า

เรียนต้าหวาง หม่อมฉันเป็นภรรยาของหม่าฟูจวิน จ้าวเซอ ก่อนที่สามีของหม่อมฉันจะสิ้นลม ได้กล่าวไว้ว่าไม่ให้จ้าวคว่อเป็นแม่ทัพแคว้นจ้าวเด็ดขาด และถ้าหากพระองค์มอบหมายให้เขาเป็นแม่ทัพ เขาได้สั่งหม่อมฉันให้มาตักเตือนพระองค์

จ้าวเซี่ยวเฉิงหวางบัญชาให้นางทูลต่อไป

จ้าวฟูเหรินพูดขึ้นว่า

จ้าวคว่อเย่อหยิ่งคิดว่าไม่มีผู้ใดสู้ได้ ถึงแม้เขาศึกษาตำราพิชัยสงครามมามาก แต่ไม่รู้จักวิธีประยุกต์ใช้ ประสบการณ์การต่อสู้ก็ไม่มีแม้แต่น้อย หม่อมฉันอยากจะทูลให้พระองค์ทรงทราบว่า จ้าวคว่อไม่เหมือนจ้าวเซอผู้บิดาสักนิดเดียว จ้าวเซอรักใคร่ลูกน้อง เชื่อฟังในความคิดเห็นของผู้ใต้บังคับบัญชา ต้าหวางพระราชทานสิ่งใดให้ก็นำไปมอบต่อไพร่พลจนหมดสิ้น แต่จ้าวคว่อรับพระมหากรุณาธิคุณเป็นหม่าฟูจวินแทนบิดา แต่เมื่อได้รับพระราชทานอะไรมาก็เก็บไว้ที่ตนเองทั้งหมด ไม่เคยเหลียวแลผู้ใต้บังคับบัญชาเลย เขายังชื่นชอบเหยียดหยามผู้อื่น ใจก็แสวงหาแต่ผลประโยชน์ส่วนตน คนเยี่ยงนี้ต้าหวางจะทรงให้เป็นแม่ทัพได้อย่างไร ก่อนจะสิ้นใจจ้าวเซอสามีของหม่อมฉันได้ห้ามไม่ให้จ้าวคว่อเป็นแม่ทัพเด็ดขาด เพราะเขาจะนำความพ่ายแพ้มาสู่กองทัพจ้าวเรา หม่อมฉันจึงขอให้พระองค์ทรงเปลี่ยนตัวแม่ทัพเถิด อย่าได้ใช้งานเขาเป็นอันขาด

ถึงแม้จ้าวฟูเหรินจะร่ายยืดยาวสักเพียงใดก็ตาม จ้าวหวางตอบแค่เพียงว่าเขาได้ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดไปแล้ว

จ้าวฟูเหรินเห็นว่าทัดทานต่อไปก็ไร้ผล นางจึงทูลขอว่า

ถ้าพระองค์ทรงยืนยันจะให้จ้าวคว่อเป็นแม่ทัพโดยทรงไม่ฟังคำทัดทานของหม่อมฉัน ถ้าเขาทำให้กองทัพจ้าวพ่ายแพ้ ขอให้พระองค์ทรงอย่าได้ลงโทษพวกเราทั้งครอบครัว จะได้หรือไม่เพคะ

จ้าวเซี่ยงเฉิงหวางทรงอนุญาตให้คำขอ เมื่อคำทัดทานทั้งหมดไร้ผล จ้าวคว่อจึงได้เป็นแม่ทัพใหญ่นำทหารสองแสนคนไปที่ด่านฉางผิงทันที

ยุทธการแห่งฉางผิง

จ้าวคว่อนำกองทัพมาถึงฉางผิงและนำตราอาญาสิทธิ์รูปเสือมาประกบเข้ากับของเหลียนโปได้พอดี เหลียนโปจึงมอบกำลังทหารทั้งหมดให้จ้าวคว่อ และนำทหารคนสนิท “ผู้โชคดี” จำนวนไม่กี่ร้อยคนกลับไปเมืองหานตาน

ทหารจ้าวที่อยู่ในการควบคุมของจ้าวคว่อมีมากถึงสี่แสนห้าหมื่นคน เป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดที่แคว้นจ้าวเคยรวบรวมกำลังมาตั้งแต่ก่อตั้งแคว้น

เมื่อได้ควบคุมกำลังทหาร จ้าวคว่อเปลี่ยนแปลงคำสั่งของเหลียนโปทั้งหมด และให้ทหารจ้าวเตรียมตัวสำหรับการออกไปสู้รบกลางแปลงนอกค่ายทหาร และสั่งให้ทิ้งป้อมเชิงเทินรายรอบ

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวิธีของจ้าวคว่อเหมือนกับการฆ่าตัวตาย แต่นักประวัติศาสตร์บางคนให้ความเห็นว่าจ้าวคว่ออาจจะไม่มีทางเลือกอื่น ราชสำนักจ้าวสั่งให้เขาโจมตีและพิชิตศัตรูให้ได้เร็วที่สุด เขาจึงต้องทำตามนั้นและไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่ตัวเองคิดไว้

ขณะนั้นไป๋ฉีนำกำลังทหารมาถึงฉางผิงแล้วเช่นเดียวกัน เขาได้ออกไปตรวจสอบชัยภูมิ แล้วจึงหัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดังว่า

ข้ารู้วิธีจะเอาชนะสงครามครั้งนี้แล้ว กองทัพจ้าวทั้งหมดจะต้องย่อยยับครั้งนี้เป็นแน่ !!

กองทัพฉินมีจำนวนไม่น้อยกว่ากองทัพจ้าว ทหารฉินที่อยู่ที่ฉางผิงมีไม่น้อยกว่าห้าแสนคน ยุทธการครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จีนยุคโบราณ อย่างที่ไม่มีสงครามใดๆ มาเทียบได้ จนกระทั่งถึงช่วงศตวรรษที่ 19-20 โน่นเลย

ไป๋ฉีสั่งให้ทหารฉินทุกหมวดทุกกองทำตามแผนของตนเอง ในขั้นแรกไป๋ฉีสั่งให้นำทหารฉินสามพันคนเข้าท้าทายกองทัพจ้าว จ้าวคว่อให้ทหารหนึ่งหมื่นคนออกเข้าต่อสู้ กองทัพฉินมีจำนวนน้อยกว่ามากจึงแตกพ่าย ทำให้จ้าวคว่อยินดียิ่งนัก เขาถึงกับจัดงานเลี้ยงทั่วค่ายเลยทีเดียว

เมื่อได้รับชัยชนะ จ้าวคว่อยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม เขาเริ่มคิดว่ากองทัพฉินเกรงกลัวตนเองมาก และแม่ทัพก็ไม่ใช่ไป๋ฉีจะไปกลัวกองทัพฉินทำไม ในวันรุ่งขึ้นเขาจึงให้ทหารจ้าวทั้งหมดเข้าตีค่ายทหารฉินทันที

การรุกของทหารจ้าวช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ทหารฉินเสียป้อมไปหลายป้อมและถอยไปกองแล้วกองเล่า หากแต่ว่าสิ่งที่จ้าวคว่อ และทหารจ้าวสี่แสนห้าหมื่นคนต่างก็ไม่รู้ นั่นก็คือพวกเขาตกอยู่ในกับดักของไป๋ฉีแล้ว

จ้าวคว่อรุกเร็วเกินไป ทำให้กองเสบียงยังส่งมาไม่ถึง เสบียงที่มีอยู่จึงมีจำกัด นี่คือสิ่งที่ไป๋ฉีต้องการ

สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่แม่ทัพที่มีประสบการณ์ต้องพึงระวัง เหลียนโปเองก็ระวังไม่ให้กองทัพฉินตัดน้ำ แต่อย่างที่เรารู้กัน จ้าวคว่อไม่มีประสบการณ์คุมทหารที่มากมายเช่นนี้ เขาจึงไม่คิดถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย

ระหว่างที่จ้าวคว่อรุกหน้ามาอย่างฮึกเหิม ทหารม้าของหวางเจียนจำนวนสามหมื่นคนได้เข้ายึดค่ายฝ่ายจ้าวที่มีทหารรักษาอยู่เพียงหยิบมือที่บริเวณด่านฉางผิงทั้งหมดตามคำสั่งของไป๋ฉี

กองทัพฉินจึงปิดตายทางกลับของทหารจ้าวโดยสิ้นเชิง

ต่อมาไป๋ฉีให้ทหารฉินที่แอบซุ่มไว้ที่บริเวณช่องเขาตีกระหนาบออกมาจากสองข้าง เช่นเดียวกับกองทัพหลวงฉินที่อยู่ในค่ายก็โจมตีออกมาด้วย ทหารจ้าวจึงถูกโจมตีจากสามด้าน

ขณะเดียวกันไป๋ฉีสั่งให้ทหารม้าของหวางเจียนเข้าตีจากด้านหลังเพื่อฉีกกองทัพจ้าวออกเป็นสองส่วน และแยกทหารม้า และทหารเดินเท้าออกจากกัน

ไป๋ฉีให้เหล่าทหารตะโกนไปทั่วว่า

จ้าวคว่อ ไอ้แม่ทัพเด็กน้อย เจ้าหลงกลท่านหวู่อันจวินของข้าแล้ว

จ้าวคว่อถึงกับหน้าซีดและเสียกำลังใจในการต่อสู้ไปจนสิ้น

อย่างไรก็ตาม กองทัพฉินยังไม่สามารถตีกองทัพจ้าวให้แตกยับได้ เพราะเหล่าทหารจ้าวเป็นทหารที่มีฝีมือ ทหารจ้าวจึงสู้พลางถอยพลางอยู่ในวงล้อมของกองทัพฉิน จ้าวคว่อจึงสั่งให้ตั้งค่ายให้ทหารพัก และป้องกันค่ายไว้อย่างเข้มแข็ง

ในวันนั้นขุนพลฝ่ายจ้าวต่างมาพบกับจ้าวคว่อ และขอให้ตีฝ่ากองทัพฉินไปในวันรุ่งขึ้น ขุนพลคนหนึ่งกล่าวกับจ้าวคว่อดังนี้

ถึงแม้กองทัพเราจะพ่ายแพ้อยู่ในวงล้อมของกองทัพฉิน แต่ก็เสียหายไม่มากนัก ทหารเล่าก็มีมากถึงสี่สิบกว่าหมื่น กำลังใจที่จะรบก็ยังพอมี ข้าขอให้ท่านแม่ทัพมีคำสั่งให้ตีฝ่าออกไปในวันรุ่งขึ้นเถิด มิฉะนั้นกองทัพฉินล้อมเราไว้แล้วตัดน้ำตัดเสบียง กองทัพเราเห็นทีจะย่อยยับเป็นแน่

และแล้วสิ่งที่จ้าวเซอคาดไว้กลับเป็นจริง จ้าวคว่อปฎิเสธคำร้องขอของบรรดาขุนพลโดยสิ้นเชิง แล้วสั่งให้ป้องกันค่ายอย่างเข้มแข็ง พร้อมกับส่งคนไปขอความช่วยเหลือจากจ้าวหวาง

แต่ทว่าความผิดพลาดของจ้าวคว่อครั้งนี้เป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้อีกแล้ว!

ล้อมไว้สี่สิบหกวัน

ไป๋ฉีสั่งให้ทหารฉินล้อมกองทัพจ้าวทุกด้านโดยให้มือเกาทัณฑ์ฝีมือเยี่ยมมาอยู่ที่ด้านหน้าของกองทัพฉิน ถ้ามีสิ่งใดออกมาจากกองทัพจ้าวก็ให้ยิงสังหารทันที หลังจากนั้นจึงทูลฉินจาวเซียงหวางขอกองทัพมาสนับสนุนเพื่อที่จะได้ทำลายกองทัพจ้าวให้แหลกไป

ฉินจาวเซียงหวางกังวลว่ากองทัพฉินจะมีไม่พอสำหรับล้อมกองทัพจ้าวจำนวนมากถึงสี่แสนคน เขาจึงมาที่เหอเน่ย และประกาศว่า ชายอายุมากกว่า 15 ปีที่สมัครใจไปช่วยล้อมกองทัพจ้าวที่ฉางผิง ฉินหวางจะมอบยศศักดิ์ให้หนึ่งขั้น

ด้วยเหตุนี้กองทัพฉินจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 550,000 คน และล้อมกองทัพจ้าวไว้อย่างหนาแน่น

กองทัพจ้าวถูกล้อมอยู่ในหุบเขาในฤดูร้อนของประเทศจีน (เดือนกรกฎาคม – สิงหาคม) น้ำที่มีอยู่จึงหมดไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาต่อมาเสบียงที่มีอยู่ก็หมดสิ้น

จ้าวคว่อรออยู่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่เห็นกองทัพสนับสนุนมาถึง เขาจึงสั่งให้ทหารเข้าตีเพื่อแหวกวงล้อมของกองทัพฉิน

มีหรือกองทัพจ้าวที่อดน้ำและอาหารจะต่อสู้กับทหารฉินที่ตั้งรับอยู่บนที่สูงและได้รับเสบียงอาหารและน้ำอย่างเพียงพอได้ มือเกาทัณฑ์ของกองทัพฉินยิงสังหารทหารจ้าวอย่างไม่ปรานี ทหารจ้าวไม่สามารถแหวกวงล้อมของกองทัพฉินออกมาได้ จึงต้องย้อนกลับไปในค่ายเก่า

ผ่านไป 46 วันหลังจากโดนล้อม กองทัพจ้าวขาดเสบียงอาหารและน้ำจนฆ่าฟันกันเอง จ้าวคว่อไม่มีทางเลือกจึงคัดเลือกทหารมีฝีมือด้วยตนเอง เพื่อตีฝ่าวงล้อมของกองทัพฉิน

ไป๋ฉีคาดการณ์ไว้อยู่แล้วว่าจ้าวคว่อจะต้องออกมาด้วยตนเองในที่สุด เขาจึงสั่งให้มือเกาทัณฑ์ชั้นเยี่ยมมาเตรียมการต้อนรับ

เมื่อกองทัพจ้าวเข้าโจมตีป้อมค่ายของกองทัพฉิน ไป๋ฉีสั่งให้กระหน่ำยิงเกาทัณฑ์ราวกับห่าฝน จ้าวคว่อถูกเกาทัณฑ์พรุนไปทั้งร่างเสียชีวิตทันที

ไป๋ฉีจึงสั่งให้ตัดศีรษะจ้าวคว่อ แล้วนำไปที่ค่ายทหารจ้าว ทหารจ้าวสี่แสนนายไม่มีแม่ทัพ เสบียงอาหารและน้ำจึงไม่มีใครต้องการจะต่อสู้อีก ทหารจ้าวทุกนายยอมจำนนต่อกองทัพฉินทั้งหมด เชลยศึกจ้าวมีจำนวนมากถึงสี่แสนคน

แม้จะได้รับชัยชนะแล้ว ความกลัวหลายอย่างเกิดขึ้นในใจของไป๋ฉี สิ่งนี้เกิดกับเซี่ยงอวี่ในเวลาต่อมาเช่นเดียวกัน

ประการแรก ทหารจ้าวมีมากถึงสี่แสนคน จริงอยู่ว่ากองทัพฉินมีมากกว่า แต่ก็มากกว่าไม่มากนัก ล้มตายไปในสงครามไปก็มาก (บ้างว่าฝ่ายฉินเองก็เสียหายอย่างหนักถึง 200,000 คน) ทหารจ้าวเหล่านี้เป็นทหารที่ฝึกมาอย่างดี บางคนเป็นทหารม้าเจนศึก ที่ยอมจำนนเพราะถูกล้อมจนขาดเสบียง ถ้าทหารจ้าวลุกฮือขึ้นในกองทัพฉิน ไป๋ฉีจะทำอย่างไร

ประการที่สอง บรรดาราษฎรที่อยู่แถบช่างตังต่างเป็นศัตรูกับกองทัพฉิน ถ้ากองทัพจ้าวที่ยอมจำนนหนีไปรวมหัวกับราษฎรบริเวณนั้น พวกเขาจะสร้างปัญหาและความวุ่นวายให้กองทัพฉินไม่จบไม่สิ้น

ประการที่สาม กองทัพฉินทำสงครามมานานถึงสามปี ลำพังเสบียงที่ส่งมาถึงฉางผิงก็ไม่สามารถจะเลี้ยงกองทัพฉินได้อยู่แล้ว ถึงกองทัพจ้าวจะยอมจำนนโดยสุจริตใจ ฝ่ายฉินจะนำเสบียงที่ใดไปแจกจ่ายให้กองทัพจ้าว

ไป๋ฉีจึงตัดสินใจกำจัดกองทัพจ้าวที่ยอมจำนนเหล่านี้ไปตลอดกาล การกระทำนี้จะทำให้ชื่อของไป๋ฉีอยู่คู่กับความคาวเลือดในหน้าประวัติศาสตร์ชั่วนิรันดร์

ฝังทั้งเป็น

ไป๋ฉีสั่งให้ทหารฉินแบ่งกองทัพจ้าวที่สวามิภักดิ์เป็นสิบค่ายและควบคุมไว้ให้ดี ในวันต่อมาไป๋ฉีประกาศว่าเขาจะมาทดสอบฝีมือทหารจ้าว ผู้ใดมีความสามารถจะให้เป็นทหารฉิน ส่วนผู้ใดไร้ความสามารถจะปล่อยตัวกลับไปแคว้นจ้าว

บรรดาทหารจ้าวต่างดีใจยิ่งนักกับข้อเสนอของไป๋ฉี

นอกจากนี้ไป๋ฉีจึงสั่งให้บรรดาทหารฉินเตรียมการผ้าสีขาวให้พร้อมเพรียง

คืนนั้นไป๋ฉีสั่งให้ทหารฉินทั้งหมดโพกผ้าสีขาว ผู้ใดไม่โพกผ้าสีขาวถือว่าเป็นทหารจ้าว และออกคำสั่งไปทั้งสิบค่ายว่า

ผู้ใดไม่โพกผ้าสีขาวถือเป็นทหารจ้าว จะต้องสังหารให้หมดสิ้นด้วยการฝังทั้งเป็น

ทหารจ้าวทั้งหลายไม่มีอาวุธ พวกเขาจึงไม่สามารถต่อสู้กับกองทัพฉินที่มีอาวุธครบมือได้ ส่วนใหญ่จึงถูกฝังทั้งเป็นทั้งหมด สำหรับพวกที่ต่อสู้และพยายามจะหนีออกจากค่าย ไป๋ฉีสั่งให้ทหารม้าของหวางเหอและหวางเจียนมาดักรอไว้เพื่อสังหารทั้งหมด

ดังนั้นทหารจ้าวสี่แสนคนจึงถูกฝังทั้งเป็นในคืนเดียว ซากศพของพวกเขาถูกฝังอยู่ในบริเวณภูเขาแทบฉางผิงมาจนถึงปัจจุบันนี้

ต่อมาหลายร้อยปี เมื่อชาวนาจีนทำนาในบริเวณแทบเกาผิง ในมณฑลซานซี หรือสถานที่ที่เคยเป็นสมรภูมิ พวกเขาจะขุดพบอาวุธโบราณ และโครงกระดูกมนุษย์อยู่เสมอๆ ในสมัยราชวงศ์ถัง ฮ่องเต้จึงนิมนต์พระภิกษุสวนจาง (พระถังซำจั๋งในเรื่องไซอิ๋ว) มาส่งวิญญาณของทหารจ้าวไปสู่สุคติ และยังสั่งให้เก็บกระดูกที่ขุดพบไปเก็บรวบรวมไว้ในวัด

อย่างไรก็ตามโครงกระดูกมนุษย์จำนวนมากยังถูกพบในปัจจุบัน ซึ่งก็ไม่ได้แปลกอะไร เพราะทหารที่ตายมีมากถึงสี่แสนคน

อย่างไรก็ตามไป๋ฉีไม่ได้สังหารทหารจ้าวทั้งหมด เขาไว้ชีวิตทหารที่มีอายุน้อย 240 คนให้กลับไปที่แคว้นจ้าว อนึ่งเพื่อเผยแพร่ความเหี้ยมโหดของทหารฉิน เพื่อก่อให้เกิดความกลัวในแคว้นจ้าว

ฝ่ายจ้าวหวาง เมื่อทราบข่าวว่ากองทัพจ้าวอยู่ในอันตราย เขาต้องการจะส่งกองทัพไปช่วย แต่ไม่กี่วันต่อมา จ้าวหวางทราบว่า ทหารจ้าว 240 คนได้มาถึงนครหานตาน พวกเขาทูลให้พระองค์ทราบถึงข่าวร้ายที่สุดสำหรับกษัตริย์พระองค์ใดก็ตาม

ทหารของพระองค์ทั้งสิ้นสี่แสนคน ล้วนถูกทหารฉินสังหารในวันเดียวจนหมดสิ้น

จ้าวหวางถึงกับทรุดตัวลง หลังจากนั้นเสียงร้องไห้ดังลั่นไปทั่วนครหานตาน ภรรยาต่างร้องไห้ถึงสามี บิดาร้องไห้ถึงบุตรชาย บางบ้านเสียทั้งพ่อและบุตรชายไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น เสียงร้องไห้จึงดังระงมไม่มีที่สิ้นสุด

ในนครหานตานมีบุคคลเดียวที่ไม่ได้ร้องไห้ นางคือจ้าวฟูเหริน มารดาของจ้าวคว่อนั่นเอง!

มีคนถามว่าจ้าวคว่อ บุตรชายของนางก็ตายในสนามรบ ทำไมนางจึงไม่ร้องไห้ จ้าวฟูเหรินตอบสั้นๆเพียงว่า

ตั้งแต่ลูกชายข้าได้เป็นแม่ทัพจ้าว ข้าคิดมาตลอดว่าเขาตายไปแล้ว แล้วข้าจะร้องไห้ไปด้วยเหตุอันใด

จ้าวหวางไม่ได้ลงโทษจ้าวฟูเหรินแต่อย่างใด ตามที่เขาได้ให้สัตย์ไว้ล่วงหน้า แต่กลับมอบสิ่งของปลอบใจ จ้าวฟูเหรินปฏิเสธสิ่งของเหล่านี้และมอบให้คนรับใช้นำกลับวังไปทั้งหมด

สงครามที่ฉางผิงทำให้แคว้นจ้าวอ่อนแอลงมาก เพราะสูญเสียชายฉกรรจ์แทบจะหมดทั้งแคว้น แคว้นจ้าวไม่สามารถต่อกรกับแคว้นฉินได้อีกเลย การพิชิตหกแคว้นของแคว้นฉินจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไป

ขณะนั้นไป๋ฉีปรารถนาจะยกทัพเข้าตีเมืองหานตานที่แทบจะร้างกำลังทหาร เพื่อปิดฉากแคว้นจ้าวเสียเลย แคว้นจ้าวจะรอดหรือไม่ ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

Sources:

  • Sima Qian, Records of The Grand Historian
  • วิวัฒน์ ประชาเรืองวิทย์, เลียดก๊ก เล่ม 3

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!