ภาษาอังกฤษ (English) เป็นภาษากลางของโลกในปัจจุบัน และเรียกได้ว่าเป็นภาษาที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ดังนั้นทักษะภาษาอังกฤษที่ดีจะเปิดกว้างโอกาสมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาหรือการทำงานในอนาคต
หลายคนอาจจะสงสัยว่าถ้าอยากเก่งอังกฤษแต่ไม่มีพื้นฐานเลยจะทำอย่างไรดี?
โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่าประชากรส่วนใหญ่ในประเทศไทยมีพื้นฐานภาษาอังกฤษอยู่แล้ว เพราะภาษาอังกฤษเป็นวิชาบังคับในการศึกษาพื้นฐาน เพราะฉะนั้นถ้าคุณเคยเรียนในโรงเรียน คุณจะมีพื้นฐานไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ดีสิ่งที่แตกต่างกันคือ พื้นฐานของแต่ละคนไม่เท่ากันนั่นเอง
ผมมองว่าการแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องยากเกินไป คุณแค่ต้อง “ปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ” ของคุณเท่านั้นเอง และเรียนเสริมเข้าไป หลังจากนั้นไม่นานคุณจะเก่งภาษาอังกฤษอย่างแน่นอนครับ
ทักษะพื้นฐานภาษาอังกฤษ
ทักษะภาษาอังกฤษโดยทั่วไปจะประกอบ 4 ทักษะหลักดังต่อไปนี้
- การอ่าน (Reading)
- การฟัง (Listening)
- การพูด (Speaking)
- การเขียน (Writing)
อย่างไรก็ดีการจะเป็นเทพในทักษะทั้งสี่เหล่านี้ต้องอาศัยทักษะย่อยอย่างเช่น
- ไวยากรณ์ หรือแกรมม่า (Grammar)
- คำศัพท์ (Vocabulary)
ปัญหาสำคัญของการเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนไทยก็คือจะเน้นที่ตัวทักษะย่อย อย่างเช่นไวยากรณ์มากเกินไป และไม่เปิดโอกาสให้นักเรียนได้สัมผัสกับภาษาอังกฤษในมุมอื่นๆ เลย
ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่า เด็กไทยบางคนจะเก่งในส่วนของการทำข้อสอบแบบเลือกตอบมาก แต่ให้เขียนบทความภาษาอังกฤษจริงๆ จะไม่สามารถเขียนได้เป็นต้น
ผมจึงมองว่าถ้าคุณอยากจะพัฒนาภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น คุณจะต้องออกนอกกรอบของการศึกษาแบบไทยๆ และลองปรับใช้วิธีการเรียนภาษาอังกฤษในรูปแบบที่แตกต่างครับ
1. เรียนภาษาอังกฤษกับเจ้าของภาษาแบบตัวต่อตัว
ถ้าคุณอยากปรับพื้นฐานภาษาอังกฤษ หรือว่าอยากยกระดับภาษาอังกฤษให้ก้าวกระโดด ผมมองว่าไม่มีวิธีไหนดีกว่าการเรียนกับเจ้าของภาษาแบบตัวต่อตัวอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคุณต้องการพูดภาษาอังกฤษโดยมีสำเนียงบริติชหรืออเมริกัน
สาเหตุก็คือคุณจะได้โต้ตอบกับครูเจ้าของภาษาที่จะช่วยพัฒนาทักษะของคุณในทุกๆ ด้าน ครูที่มีประสบการณ์จะช่วยแนะนำว่า คุณควรใช้ประโยคนี้อย่างไร ใช้คำศัพท์คำนี้อย่างไร และที่สำคัญที่สุดคือ คุณจะไม่รู้สึกกลัว หรือประหม่าเวลาที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันอีกเลย
นอกจากนี้ในการเรียนกับเจ้าของภาษา คุณจะได้เรียนรู้และซึมซับวัฒนธรรมและแนวคิดแบบตะวันตกที่จะช่วยให้คุณมองโลกที่แตกต่างออกไป และมีความคิดที่ก้าวไกลยิ่งขึ้นอีกด้วย
ไม่ว่าพื้นฐานของคุณจะดีหรือแย่แค่ไหนก็ตาม ในปัจจุบันคุณสามารถเรียนกับครูเจ้าของภาษาตัวต่อตัวทางออนไลน์ได้บนหลากหลายแพลตฟอร์ม อาทิเช่น
- SpeakOut – สถาบันสอนภาษาอังกฤษทางออนไลน์ที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย คุณจะได้เรียนกับครูเจ้าของภาษาแบบสดๆ โดยส่วนตัวผมมองว่าเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดถ้าพื้นฐานของคุณไม่ดีนัก เพราะครูเจ้าของภาษาอาจจะสื่อสารเป็นภาษาไทยได้ครับ
- British Council – องค์กรทางการศึกษาจากประเทศอังกฤษที่รับหน้าที่ดูแลการสอบ IELTS ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่า การเรียนการสอนจะเป็นทางการและเป็นระเบียบแบบแผน คุณจะได้เรียนกับครูเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์สอนมาอย่างยาวนาน ผมมองว่าเหมาะกับนักเรียนทุกระดับเลยครับ
- Lingoda – Lingoda เป็นสถาบันสอนภาษาออนไลน์จากประเทศเยอรมนีที่กำลังมาแรง เพราะนอกจากจะสอนได้เป็นระเบียบแบบแผนไม่แพ้ British Council แล้ว (ตามหลักสูตร CEFR) ค่าใช้จ่ายยังประหยัดกว่าอีกด้วย ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจไม่น้อยเลยครับ
- Preply หรือ Italki – สองแพลตฟอร์มนี้เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้คุณหาครูเจ้าของภาษาจากทั่วโลก ดังนั้นคุณจะสามารถเลือกครูได้ และตัวคอร์สเองก็สามารถปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ ทำให้รูปแบบการเรียนของสองแพลตฟอร์มนี้จะยืดหยุ่นมากที่สุดครับ ดังนั้นจะเหมาะเป็นพิเศษสำหรับใครที่อยากจะปรับพื้นฐานทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น
ข้อเสียของวิธีการนี้คือค่าใช้จ่ายถือว่าสูงมาก โดยทั่วไปแล้วค่าเรียนจะอยู่ที่ 400 บาทต่อชั่วโมง หรือมากกว่านั้นหลายเท่าก็ได้ครับ แต่ผมเชื่อว่าถ้าคุณหาครูที่ใช่เจอ และตั้งใจเรียนอย่างเต็มที่แล้ว คุณจะเก่งภาษาอังกฤษในเวลาไม่นานอย่างแน่นอนครับ
2. พัฒนาทักษะโดยใช้ App
ปัจจุบันมี app สอนภาษาอังกฤษอยู่มากมาย ซึ่ง app เหล่านี้สามารถช่วยยกระดับทักษะภาษาอังกฤษในด้านต่างๆ ในรูปแบบที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นบาง app อาจจะเน้นไปที่คำศัพท์ แกรมม่า หรืออาจจะเน้นทั้งหมดเลยก็ได้เช่นกัน
การเรียนผ่าน app นั้นจัดว่าสะดวกสบายและสนุกกว่าวิธีอื่น (เพราะบาง app ถูกสร้างมาให้คล้ายกับเกม) อย่างไรก็ดีจุดอ่อนของการเรียนผ่าน app คือมีข้อจำกัดมากมาย จากที่ผมได้พบเจอมาคือ app อาจจะสอนเฉพาะบางทักษะและละเลยที่เหลือ ทำให้การเรียนภาษาอังกฤษไม่ครบถ้วนอย่างที่ควรจะเป็นครับ
นอกจากนี้บาง app ยังมีปัญหาที่ตัว app เอง ซึ่งอาจทำให้คุณต้องเผชิญกับปัญหาน่าหงุดหงิด แต่ด้วยความที่ app เรียนภาษาอังกฤษส่วนมากจะให้ลองใช้ฟรี เพราะฉะนั้นลองไปพัฒนาทักษะดูก็ไม่เสียหายครับ
3. ซื้อหนังสือ
อีกหนึ่งทางเลือกที่ประหยัดเช่นกันก็คือการซื้อหนังสือเรียนภาษาอังกฤษมาอ่านเอง อย่างไรก็ดีผมแนะนำให้เลือกเล่มที่เจ้าของภาษาเป็นผู้เขียน และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ต่างประเทศที่ได้มาตรฐานเท่านั้น
สาเหตุสำคัญก็คือหนังสือสอนภาษาอังกฤษที่เขียนโดยคนไทยนั้นมักมีข้อผิดพลาดจำนวนมาก (อย่างที่เป็นกระแสไวรัลใน social network อยู่บ่อยๆ) การอ่านหนังสือเหล่านี้นอกจากจะไม่ช่วยให้คุณเก่งภาษาอังกฤษแล้ว คุณยังจะได้สิ่งที่ผิดๆ ไปเสียอีกด้วย
ดังนั้นผมแนะนำว่าถ้าคุณคิดจะลงทุนแล้ว คุณควรจะเสียเงินในสิ่งที่มีคุณภาพไปเลยจะดีกว่า คุณจะได้ไม่เสียเงินซ้ำสองครับ
สำหรับวิธีการสั่งซื้อ ผมแนะนำให้สั่งผ่าน Kinokuniya เพราะมีหนังสือให้เลือกจำนวนมาก และคุณภาพหนังสือก็ดีเยี่ยมกว่าเจ้าอื่นๆ ครับ
4. เรียนภาษาอังกฤษจากการดูภาพยนตร์
อีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยให้คุณเก่งอังกฤษได้ แม้ว่าพื้นฐานของคุณจะไม่ดีนัก คือการเรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนังนั่นเอง
อย่างไรก็ดีถ้าคุณดูหนังพากย์ไทย หรือแม้กระทั่งซับไทย ผมกล้าพูดได้เลยว่า คุณจะไม่ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษอะไรเลย เพราะสมองของคุณไม่ได้ถูกใช้ในการประเมินผลเลยว่านักแสดงพูดอะไรออกมา (อย่างผมดูซีรีส์จีนแบบซับไทยไป 50 เรื่อง ผมก็ไม่รู้สึกว่าผมเก่งภาษาจีนมากขึ้นแต่อย่างใด)
ดังนั้นถ้าคุณคิดจะเรียนภาษาอังกฤษผ่านการดูหนังแล้ว สิ่งแรกที่คุณควรจะทำคือเลือกดูเป็น Subtitle ภาษาอังกฤษเป็นอย่างแรก เพราะคุณจะได้ฝึกฟังว่านักแสดงพูดว่าอะไร และเปิดโอกาสให้คุณได้เห็นคำศัพท์ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งการใช้รูปประโยคต่างๆ และไวยากรณ์ในชีวิตประจำวัน
เมื่อคุณเห็นรูปประโยคหรือคำศัพท์ที่ไม่คุ้นเคย ผมแนะนำให้คุณใช้ Online Dictionary เพื่อเปิดหาความหมายและวิธีการใช้งาน แล้วจดลงไปเพื่อกันลืมครับ
หลังจากคุณดูแบบนี้ไปสักพัก คุณจะเริ่มคุ้นเคยกับคำศัพท์ใหม่ๆ และรูปประโยคต่างๆ มากขึ้น ทำให้ทักษะการฟังและอ่านดีขึ้นในไม่ช้าครับ
ในระดับสูงสุด ผมแนะนำให้ปิด Subtitle โดยสมบูรณ์ และใช้หูของคุณในการฟังสารจากนักแสดงเท่านั้น ถ้าคุณทำได้แบบไม่มีปัญหาอะไร ผมมั่นใจว่าทักษะการฟังของคุณจะใกล้เคียงหรือแม้กระทั่งเทียบเท่ากับเจ้าของภาษาแล้วครับ
อีกตัวเลือกหนึ่งในน่าสนใจคือ การเรียนภาษาอังกฤษโดยใช้ภาพยนตร์กับ FluentU ทั้งนี้ตัวแพลตฟอร์มจะรวบรวมบทสนทนาภาษาอังกฤษจากภาพยนตร์ สื่อโฆษณา หรือคลิปวิดีโอต่างๆ และนำมาใส่เป็นซับภาษาอังกฤษให้กับคุณ
สิ่งที่ทำให้ FluentU แตกต่างคือ คุณสามารถกดที่ตัว Subtitle เหล่านั้นได้ เมื่อคุณกดแล้ว คุณจะเห็นคำแปล, วิธีการใช้คำศัพท์ หรือรูปประโยคนั้นๆ อย่างละเอียด ทำให้คุณไม่ต้องไปเสียเวลาเปิดพจนานุกรม หรือหาอะไรมาจดครับ นอกจากนี้ยังมี Quiz ให้ลองทำ เพื่อทดสอบทักษะอีกด้วย
ค่าใช้จ่ายในการเรียนกับ FluentU เริ่มต้นที่ $19.99 หรือประมาณ 600 บาทต่อเดือนครับ ทั้งนี้ FluentU มีให้ลองใช้ฟรี 14 วัน ถ้าสนใจก็ไปลองก่อนได้ครับ
**คุณสามารถใช้ FluentU กับภาษาอื่นได้ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นภาษาฝรั่งเศส, ภาษาจีน, ภาษาญี่ปุ่น และอื่นๆ อีกมากมายครับ**
5. หาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุด
ถึงแม้ว่าพื้นฐานภาษาอังกฤษของคุณอาจจะยังไม่ดีนัก หรือว่ากำลังเรียนอยู่ ผมแนะนำให้คุณหาโอกาสใช้ภาษาอังกฤษให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ เพราะว่าไม่มีทางเลือกไหนที่จะช่วยพัฒนาทักษะทางภาษาได้รวดเร็วและยั่งยืนได้เท่ากับวิธีนี้อีกด้วย
สิ่งที่คุณอาจจะทำได้ได้แก่
- ทำงาน part-time ในสายงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าต่างชาติ
- สนทนากับครูหรือเพื่อนต่างชาติในโรงเรียน, มหาวิทยาลัย, บริษัท หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมชมรมหรือสมาคมต่างๆ
- หาเพื่อนชาวต่างประเทศ
- อ่านหนังสือ/นิยายภาษาอังกฤษ
- พูดคุยหรือ discuss กับชาวต่างประเทศอย่างเช่น Reddit หรือ Quora
- และอื่นๆ อีกมากมาย
กิจกรรมเหล่านี้จะเป็นส่วนเสริมที่ดีเยี่ยมให้กับการเรียนภาษาอังกฤษของคุณ สมมติว่าถ้าคุณได้ทำกิจกรรมเหล่านี้พร้อมกับเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยแล้ว ผมเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน ทักษะของคุณจะดีขึ้นมาก จนคุณอาจจะไม่เชื่อสายตาเลยครับ