สำหรับท่านที่ติดตามเรื่อง วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟมาตลอด ตอนนี้คือตอน Climax ของเรื่อง ถ้าท่านใดยังไม่เคยอ่านตอนก่อนหน้านี้ ผมแนะนำอย่างยิ่งให้ย้อนกลับไปอ่านก่อนนะครับ
คืนวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1918 มันถึงเวลาที่อดีตซาร์นิโคลัสที่ 2 แห่งราชวงศ์โรมานอฟ อดีตซาริซาอเล็กซานดรา อดีตเซซาร์เรวิชอเล็กเซย์ และอดีตแกรนด์ดัชเชส โอลกา ทาเทียน่า มาเรีย และอนาสตาเซียจะต้องจากโลกนี้ไป
หากแต่ว่าเลยเที่ยงคืน และเข้าสู่วันใหม่แล้ว สัญญาณให้ลงมือยังไม่มาถึงยูรอฟสกี้เสียที มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทั้งๆ ที่กองทัพเช็กเข้ามาใกล้มากจนตัวเขาได้ยินเสียงปืนใหญ่ดังเข้ามาอยู่แล้วแท้ๆ
การรอของยูรอฟสกี้
ตามหมายกำหนดการณ์ สัญญาณ “คนกวาดปล่องไฟ” หรือ รถรับศพจะมาถึงบ้านอิปาตเยฟในเวลาเที่ยงคืน แต่พอถึงเที่ยงคืนของวันที่ 17 กรกฎาคม รถรับศพยังไม่ปรากฏให้เห็นแม้แต่เงา ยูรอฟสกี้จึงเดินไปเดินมาที่บริเวณชั้นล่างของบ้าน และมองนาฬิกาอย่างใจจดใจจ่อ
ยูรอฟสกี้รู้สึกกังวล เพราะเขารู้ดีว่าในช่วงฤดูร้อน ดินแดนไซบีเรียมีกลางวันที่ยาวนานมาก ในเวลาตีสี่ ตีห้า ก็จะเข้าสู่เวลาเช้าแล้ว เวลาที่ล่าช้าจะทำให้เขามีเวลาจัดการกับศพน้อยลงไปอีก
นอกจากยูรอฟสกี้แล้ว พวกมือสังหารเองก็ตื่นตระหนกไม่แพ้กัน ทุกคนรู้ดีว่าพวกเขากำลังจะได้ลงมือทำเหตุการณ์ที่จะถูกจารึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ชั่วกาลนาน บางคนรู้สึกตื่นเต้นที่ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่ระดับสูงสุดของนักปฏิวัติ เวลาที่ล่าช้าทำให้พวกเขายิ่งตื่นเต้นมากขึ้น
ยูรอฟสกี้ไม่ทราบเลยว่าทำไมถึงมีการล่าช้าเกิดขึ้น
ไร้คำตอบจากมอสโก
หกโมงเย็นของวันที่ 16 กรกฎาคม โกโลเชคินได้ส่งโทรเลขไปยังมอสโก (เขาจ่าหน้าถึงเลนิน) เพื่อขออนุญาตอย่างเป็นทางการจากรัฐบาลกลางของพวกบอลเชวิค จริงอยู่ว่าเขาเคยได้รับอนุญาตทางวาจาจากเลนินและสเวียตลอฟมาแล้ว แต่เขาไม่เคยได้รับเอกสารจากรัฐบาลกลางที่อนุญาตให้ลงมือได้อย่างเป็นทางการเลย
นั่นเป็นสิ่งที่โกโลเชคินต้องการมากที่สุด อย่างน้อยเขาก็อ้างได้ว่ารัฐบาลกลางสั่งมา หรือได้อนุญาตแล้ว
เพื่อให้มอสโกสนใจ โกโลเชคินย้ำในโทรเลขว่าเมืองเยกาเตรินเบิร์กกำลังจะแตก ถ้ามอสโกคัดค้านเรื่องนี้ ขอให้แจ้งทันที
แต่ทว่า การส่งโทรเลขกลับมีปัญหา หรือ มอสโกจงใจทำให้ดูเหมือนว่ามันมีปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผ่านไปนับชั่วโมงก็ยังไม่มีการตอบกลับจากมอสโก โกโลเชคินรู้สึกร้อนใจมาก
เขาเลยแก้ปัญหาด้วยการส่งโทรเลขไปยังเกรกอรี ซีโนฟเยฟ หัวหน้าสภาโซเวียตในกรุงเปโตรกราดเพื่อให้ส่งต่อโทรเลขไปยังมอสโก เขาขอให้มอบมันกับทั้งสเวียตลอฟและเลนิน โทรเลขที่โกโลเชคินส่งให้ซีโนฟเยฟมีว่า
โปรดให้มอสโกทราบว่าเพราะเหตุผลทางการทหาร การพิจารณาคดีที่ตกลงกันไว้กับฟิลิปปไม่สามารถเลื่อนไปได้อีกต่อไป พวกเรารอไม่ได้แล้ว ถ้ามีความคิดเห็นที่แตกต่าง โปรดบอกพวกเราในทันที
ฟิลิปปในที่นี้คือ ชื่อของโกโลเชคินเอง ส่วนการพิจารณาคดี คือรหัสลับที่หมายถึงการสังหารครอบครัวโรมานอฟ
หลักฐานที่มีอยู่พบว่า มอสโกได้รับโทรเลขในเวลา 21.22 น. ตามเวลาท้องถิ่นของเยกาเตรินเบิร์ก แต่ที่แปลกคือมอสโกกลับไม่ตอบอะไรมาเลย! ไม่มีหลักฐานว่าพวกเยกาเตรินเบิร์กได้รับโทรเลขตอบกลับจากมอสโก
มันจึงดูเหมือนว่ามอสโกไม่ได้อนุมัติอย่างเป็นทางการให้สังหารครอบครัวโรมานอฟ ทำให้ผู้สนับสนุนเลนินมักใช้ไปอ้างจนถึงทุกวันนี้ว่า เลนินและรัฐบาลบอลเชวิคไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าว ทั้งหมดเป็นการกระทำของคณะกรรมาธิการอูรัลเอง
แต่จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่อย่างนั้นเลย
หลายสิบปีต่อมา มีชายผู้หนึ่งชื่อ อเล็กเซย์ อาคิมอฟได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ในสหภาพโซเวียต อาคิมอฟเคยทำหน้าที่เป็นทหารรักษาความปลอดภัยให้กับทั้งเลนินและสเวียตลอฟ และมีหน้าที่อีกอย่างคือ ส่งโทรเลขสำคัญๆ ให้กับทั้งสอง
เขาเล่าว่าเหตุการณ์ในวันนั้นมันเป็นแบบนี้
เมื่อคณะกรรมาธิการอูรัลตัดสินใจจะยิงนิโคลัสและครอบครัวของเขา ซอฟนาคอมและคณะกรรมาธิการบริหารกลางเขียนโทรเลขเพื่อยืนยันการตัดสินใจดังกล่าว สเวียตลอฟให้ฉันนำโทรเลขนี้ไปยังอาคารโทรเลขที่ตั้งอยู่ที่ถนนมิสนีสกายา เขาบอกว่าให้ส่งไปด้วยความระมัดระวังอย่างมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นั่นแปลว่าฉันต้องนำสำเนาและเทปของโทรเลขกลับมาด้วย
โทรเลขถูกส่งไปยังเปโตรกราด เพิร์ม และเยกาเตรินเบิร์กตามลำดับ โกโลเชคินได้รับมันหลังกลางคืน เขาจึงสั่งให้ยูรอฟสกี้ดำเนินการได้
คำถามคือแล้วโทรเลขที่มอสโกส่งมาไปอยู่ที่ไหน?
นักประวัติศาสตร์รัสเซียและนานาชาติต่างมองว่า มอสโกต้องการปิดเรื่องทุกอย่างให้เป็นความลับ โดยเฉพาะเรื่องที่เลนินและผู้นำระดับสูงของบอลเชวิคเกี่ยวข้องกับการสังหารครอบครัวโรมานอฟ
โทรเลขดังกล่าวจึงถูกทำลายทิ้ง เพื่อไม่ให้มีใครนำมาโจมตีมอสโกได้ในภายหลัง หรือเรียกได้ว่าลบออกจากประวัติศาสตร์ไปเลย เพื่อที่เลนิน ผู้ที่รัฐบาลโซเวียตสร้างเป็น “ไอดอล” ของคนทั้งชาติจะได้ไม่มีรอยแปดเปี้อน
ถูกปลุกกลางดึก
ประมาณ 1.30 น. ของวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 ยูรอฟสกี้ได้รับรหัสลับ “คนกวาดปล่องไฟ” ตามที่ได้ตกลงกันไว้และได้ยินเสียงรถบรรทุกเข้ามาในบริเวณบ้าน ยูรอฟสกี้ทราบในบัดดลว่า ถึงเวลาที่เขาจะลงมือแล้ว
ยูรอฟสกี้จึงเดินไปที่ห้องของนายแพทย์บอทกิน และเคาะประตูห้องของเขา
นายแพทย์โบทกินกำลังเขียนจดหมายอยู่ เขารีบเดินมาเปิดประตู และถามยูรอฟสกี้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ยูรอฟสกี้แจ้งให้เขาทราบว่าสถานการณ์ภายในเมืองไม่มั่นคง พวกเช็กกำลังมาถึงและใช้ปืนใหญ่ระดมยิงเข้าใส่เมือง มันจึงอันตรายสำหรับทุกคนที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไป ครอบครัวโรมานอฟจะต้องถูกนำตัวไปอยู่ที่อื่น แต่ก่อนที่จะมีรถมารับ ขอให้ครอบครัวโรมานอฟและบริวารลงไปอยู่ที่ห้องใต้ดินของบ้านเสียก่อนเพื่อความปลอดภัย
นายแพทย์โบทกินแจ้งเรื่องดังกล่าวแก่ครอบครัวโรมานอฟ นิโคลัสตื่นขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณของเขา นิโคลัสฝึกตัวเองมาได้สักพักแล้วที่จะลุกขึ้นทันทีโดยไม่งัวเงีย เพราะอาจจะมีคนมาช่วย หรือถูกสั่งให้อพยพเมื่อใดก็ได้
หากแต่ว่ายูรอฟสกี้กลับไม่เร่งครอบครัวโรมานอฟ เขาปล่อยให้ครอบครัวโรมานอฟใช้เวลาแต่งกายและล้างเนื้อล้างตัวจนเสร็จเรียบร้อย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะยูรอฟสกี้ไม่ต้องการทำให้ทุกคนตื่นตระหนก เขาต้องการให้เรื่องดำเนินไปอย่างราบรื่นมากที่สุด
ครอบครัวโรมานอฟใช้เวลาจัดการทุกอย่างอยู่ 45 นาที
ในช่วงเวลาดังกล่าว สมองของยูรอฟสกี้สั่งให้ใจเย็นๆ แต่ใจของยูรอฟสกี้ตื่นเต้นมาก เพราะตอนนั้นตีสองสิบห้านาทีแล้ว เขามีเวลาจัดการเรื่องทั้งหมดไม่ถึงสามชั่วโมง
เมื่อจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นิโคลัสเดินออกมาพร้อมกับอุ้มอเล็กเซย์มาด้วย สองพ่อลูกอยู่ในชุดทหารที่พวกเขารักมากที่สุด
สี่สาวโรมานอฟเดินตามออกมา พวกเธออยู่ในเสื้อและกระโปรงสีขาว ทุกคนถือกระเป๋า หมอน และสิ่งของเล็กๆ อีกไม่กี่ชิ้น ผู้ที่ออกมาคนสุดท้ายคืออเล็กซานดรา ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเธอแต่งตัวอย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือเรียบง่ายไม่ต่างอะไรกับคนอื่น
ครอบครัวโรมานอฟเริ่มถามคำถามต่อยูรอฟสกี้ ทุกคนดูไม่ตื่นตระหนกสักเท่าไรนัก ครอบครัวโรมานอฟเคยถูกปลุกกลางดึกแบบนี้หลายครั้ง เพราะยูรอฟสกี้เคยแจ้งว่าการเคลื่อนย้ายพวกเขาอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
หนึ่งในครอบครัวโรมานอฟได้ถามขึ้นว่า จะจัดการอย่างไรกับสัมภาระที่พวกเขานำมาด้วย ยูรอฟสกี้ตอบว่าพวกเขาจะนำมันลงมาให้ทีหลัง เมื่อตอบคำถามทั้งหลายเสร็จสิ้นแล้ว ยูรอฟสกี้ นิคูลิน และทหารอีกสองนายก็เดินนำทั้งครอบครัวลงไปยังห้องใต้ดิน ห้องที่ยูรอฟสกี้อ้างว่าให้ทุกคนอยู่ที่นี่ไปก่อน เพื่อป้องกันอันตรายจากปืนใหญ่
บันไดลงไปสู่ห้องใต้ดินค่อนข้างแคบ นิโคลัสที่อุ้มอเล็กเซย์อยู่รู้สึกลำบากไม่น้อย เพราะต้องระวังอเล็กเซย์ว่าจะไปกระแทกกับอะไรสักอย่างในบ้าน ส่วนอเล็กซานดราใช้ไม้เท้าและให้โอลกาพยุงอยู่ตลอดเวลา
ถ้านับจำนวนขั้นของบันไดที่ลงไปสู่ห้องใต้ดินแล้ว มีทั้งหมด 23 ขั้น! ตัวเลข 23 นี้เกี่ยวพันกับนิโคลัสอย่างมาก เพราะว่ามันเป็นจำนวนปีทั้งหมดที่นิโคลัสอยู่ในราชสมบัติ รัชสมัยที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิงและนำพานิโคลัสและครอบครัวมาสู่ความตายในห้องใต้ดินแห่งนี้
เมื่อทุกคนลงมาถึงชั้นใต้ดิน พวกเขาก็ได้พบกับแม่หมีและลูกของมันที่ถูกสตาฟเอาไว้ ทุกคนจึงทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนแล้วจึงค่อยๆ เดินเข้าไปห้อง
ช่วงเวลานี้เอง สุนัขทั้งสามของครอบครัวโรมานอฟเริ่มมีอาการแปลกๆ ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเจ้านายของพวกมัน พวกมือสังหารจึงพยายามกันพวกมันไม่ให้เข้าไปในห้อง มีแต่เพียงจิมมี่เท่านั้นที่อยู่ในมือของอนาสตาเซียที่เข้าไป ยูรอฟสกี้และพรรคพวกปฏิเสธที่จะดึงมันออกมา เพราะเกรงว่าจะทำให้พวกโรมานอฟตื่นตระหนก
เข้าสู่ห้องใต้ดิน
พวกมือสังหารเล่าว่าช่วงเวลานี้ อเล็กซานดรายังมองพวกเขาด้วยความรังเกียจเช่นเดิม ส่วนบรรดาสี่สาวต่างมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า
ภายในห้องใต้ดินมีแค่หลอดไฟหลอดเดียวเท่านั้นในห้อง บรรยากาศในห้องจึงดูสลัวๆ ทุกคนยังไม่ได้แสดงทีท่าเป็นกังวล แต่อเล็กซานดรากลับถามขึ้นว่า ทำไมที่นี่ถึงไม่มีเก้าอี้เลย เธอยืนนานไม่ได้เพราะอาการปวดหลังของเธอ และอเล็กเซย์ลูกชายของเธอก็ต้องการเก้าอี้
ยูรอฟสกี้ไม่ได้รู้สึกรำคาญ เขาสั่งให้อเล็กซานเดอร์ สเตรคอตคินไปนำเก้าอี้มาสองตัว ระหว่างที่เก้าอี้กำลังถูกลำเลียงเข้ามาในห้อง นิคูลินแอบพูดขึ้นเบาๆ ว่า
รัชทายาทต้องการจะตายบนเก้าอี้ ดีละ ให้เขาได้มันสักตัวหนึ่ง
ระหว่างนั้นราวกับว่าความรู้สึกแปลกๆ เกิดขึ้นกับนิโคลัส เขาเดินมาอยู่ด้านหน้าอเล็กเซย์ที่นั่งบนเก้าอี้ราวกับว่าจะปกป้องเขาเอาไว้ ส่วนอเล็กซานดรานั่งลงบนเก้าอี้ทันทีที่เก้าอี้ถูกลำเลียงมาถึง สี่สาวได้ใช้หมอนของพวกเธอเป็นเก้าอี้
วิกเตอร์ เนเตรบิน หนึ่งในมือสังหารเล่าว่า เมื่อเขามองที่อเล็กเซย์ เด็กชายมองไปยังพวกมือสังหารทุกคนด้วยความสงสัย เขาเล่าว่าเขารู้สึกกังวลและตื่นตระหนกมาก ในใจของเขาเกิดสงสารครอบครัวโรมานอฟขึ้นมาบ้าง เขาหวังว่าเมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกอย่างจะเรียบร้อยดีโดยที่พวกโรมานอฟไม่ต้องทรมานมากนัก
ยูรอฟสกี้สั่งให้ทุกคนที่เหลือยืนอย่างเป็นระเบียบอยู่ด้านหลังนิโคลัสและอเล็กซานดราราวกับว่าพยายามจัดท่าถ่ายรูป ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร ยูรอฟสกี้เคยเป็นช่างถ่ายรูปมืออาชีพมาแล้ว
พวกโรมานอฟทุกคนคุ้นเคยกับการถ่ายรูปดี นิโคลัส อเล็กซานดรา และอเล็กเซย์อยู่ตรงกลาง นายแพทย์โบทกินยืนอยู่เคียงข้างนิโคลัสทางด้านขวาส่วนสี่สาวยืนอยู่ด้านหลังแม่ของพวกเธอ ใกล้กับหน้าต่างที่ปิดตายไปเรียบร้อยแล้ว
ส่วนข้าราชบริพารที่เหลือก็ยืนอยู่ข้างๆ พวกเธออีกทีหนึ่ง ทุกคนหันหน้าไปยังประตูที่ยูรอฟสกี้และมือสังหารขวางทางอยู่
เมื่อเห็นทุกคนยืนอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมแล้ว ยูรอฟสกี้บอกให้ทุกคนทราบว่า ทุกคนต้องรออยู่ที่นี่อีกสักพักหนึ่งเพื่อที่รถจะได้มารับพวกเขาออกไปจากบ้านหลังนี้ หลังจากนั้นยูรอฟสกี้ก็ปลีกตัวออกมา เพื่อไปตรวจสอบทุกสิ่งว่าเรียบร้อยดีแล้วหรือยัง ส่วนพวกมือสังหารคนอื่นๆ ไปรวมตัวที่อีกห้องหนึ่งเพื่อตรวจสอบอาวุธปืนว่าพร้อมแล้วหรือไม่
ระหว่างที่ยูรอฟสกี้ขึ้นไปดูข้างบนบ้านนั้น ครอบครัวโรมานอฟต่างซุบซิบกัน พวกเขากังวลถึงข้าวของที่ถูกทิ้งไว้บนบ้านว่าจะเป็นอย่างไร
สำหรับพวกมือสังหารแล้ว พวกเขาตื่นเต้นมาก ตื่นเต้นเกินกว่าที่จะทำต่อไปได้โดยปราศจากวอดก้า พวกเขาดื่มมันคนละอึกสองอึกเพื่อย้อมใจ ส่วนยูรอฟสกี้ที่ตรวจสอบทุกอย่างแล้วเห็นว่าพร้อม เขาจึงสั่งให้รถที่เตรียมไว้ขนศพเข้ามาในบ้าน
วาระสุดท้ายของครอบครัวโรมานอฟ
เมื่อรถดังกล่าวเข้ามาในบ้านแล้ว ยูรอฟสกี้ก็กลับเข้ามาในห้องใต้ดินอีกครั้งหนึ่ง มือสังหารที่เหลืออยู่ยืนรายล้อมอยู่ด้านหลังเขา นิโคลัสและโบทกินสังเกตได้ว่าพวกเขาไม่เคยเห็นหน้าเยอร์มาคอฟกับคูดรินมาก่อนเลย ทำให้เขารู้สึกสงสัยและกังวลว่าพวกคนเหล่านี้คือใคร
ยูรอฟสกี้เดินออกมาด้านหน้าจากกลุ่มมือสังหารของเขา นิโคลัสเดินเข้ามาใกล้กับยูรอฟสกี้และพูดขึ้นว่า
พวกเราทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว พวกคุณกำลังจะทำอะไรต่อไป
มือขวาของยูรอฟสกี้จับอยู่ที่ปืนคอลท์ (Colt) ของเขา ส่วนในมือซ้าย เขาถือเอกสารอยู่แผ่นหนึ่ง ยูรอฟสกี้สั่งให้พวกนักโทษทุกคนยืนขึ้น อเล็กซานดราบ่นเล็กน้อยก่อนที่จะยืนขึ้น ส่วนอเล็กเซย์ไม่สามารถทำได้เพราะอาการปวดของเขา ซึ่งก็ไม่มีใครว่าอะไรอยู่แล้ว
ยูรอฟสกี้คลี่เอกสารแผ่นนั้นออกมา มันคือเอกสารของคณะกรรมาธิการอูรัลที่โกโลเชคินมอบให้เขาเมื่อวาน
หลายชั่วโมงที่ผ่านมา ยูรอฟสกี้ใช้เวลาซ้อมอ่านมันอยู่หลายครั้งแล้วเพื่อเวลานี้โดยเฉพาะ เขาตั้งใจอ่านมันโดยใช้เสียงที่ดังเพื่อที่ทุกคนในห้องจะได้ยินถนัด ยูรอฟสกี้มองไปที่นิโคลัส สิ่งที่เขาอ่านขึ้นมาคือ
เมื่อพิจารณาจากความเป็นจริงที่ญาติพี่น้องของคุณในยุโรปยังคงโจมตีโซเวียตรัสเซีย คณะกรรมาธิการอูรัลโซเวียตจึงตัดสินให้คุณรับโทษด้วยการยิงเป้า
เมื่อนิโคลัสได้ยินมาถึงตอนนี้ เขามีสีหน้านิ่งราวกับว่าไม่เข้าใจ เขาหันกลับไปยังครอบครัวของเขา และพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า
อะไรกัน อะไรกัน
ทุกคนที่อยู่รายล้อมนิโคลัสต่างอยู่ในความกลัวระดับสูงสุด โบทกินจึงทำลายความว่างเปล่านั้นด้วยการพูดขึ้นว่า
พวกคุณจะไม่พาพวกเราไปที่ไหนงั้นหรือ
ทันใดนั้นนิโคลัสก็พูดขึ้นว่า
ฉันไม่เข้าใจ โปรดอ่านใหม่
ยูรอฟสกี้ไม่ได้อ่านใหม่ แต่เขาอ่านต่อจากที่เขาอ่านไปแล้วว่า
เมื่อพิจารณาถึงความจริงที่พวกเช็กโกสโลวักกำลังคุกคามเยกาเตรินเบิร์ก เมืองหลวงสีแดงของดินแดนอูรัล และเมื่อพิจารณาถึงความจริงที่ว่า คนแขวนคอที่นั่งบัลลังก์อาจจะหลบหนีศาลแห่งประชาชนไปได้ คณะกรรมาธิการท้องถิ่นโซเวียตจึงทำตามความต้องการแห่งการปฏิวัติด้วยการสั่งให้อดีตซาร์นิโคลัส โรมานอฟ ผู้ก่ออาชญากรรมโชกเลือดมากมายต่อประชาชนชาวรัสเซียได้รับโทษยิงเป้า
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อเล็กซานดราและโอลการีบทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนทันที ส่วนคนอื่นๆ ต่างส่งเสียงไม่เห็นด้วยหรือประท้วง ยูรอฟสกี้ไม่รอช้าอีกต่อไป เขาชักปืนคอลท์ใส่นิโคลัสทันทีในระยะประชิด เช่นเดียวกับเยอร์มาคอฟ คูดริน และเมดเวเดฟที่ยิงเข้าใส่นิโคลัสเช่นเดียวกัน ยูรอฟสกี้ตะโกนสั่งให้ทุกคนยิงเหล่านักโทษทันที
รัดชินสกี้ นักประวัติศาสตร์รัสเซียพบในบันทึกเก่าๆ ของเยอร์มาคอฟ เขาเล่าว่า คำสุดท้ายที่นิโคลัสพูดคือ
คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร
คำกล่าวดังกล่าวแฝงความนัยอยู่ เพราะนิโคลัสเคยพูดคำนี้ซ้ำๆ หลังจากการตายของเซอร์เกย์ เขาจารึกมันที่ไม้กางเขนของอาของเขาที่ถูกพวกนักปฏิวัติสังหาร มันมีนัยยะว่า นิโคลัสขอให้พระเจ้าอภัยโทษให้กับคนเหล่านี้ เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองกำลังทำอะไร
กระสุนทำให้ร่างของนิโคลัสสั่นเล็กน้อย ดวงตาของเขาแข็งทื่อและเปิดกว้าง นิโคลัสถูกยิงที่หน้าอกหลายนัด เขาทรุดฮวบลงและสิ้นชีวิตทันที นิโคลัสมีอายุได้ 50 ปีเศษ
การยิงเกิดขึ้นเร็วมาก หลังจากยิงนิโคลัสแล้ว มือสังหารทุกคนก็เริ่มยิงครอบครัวโรมานอฟและข้าราชบริพารคนอื่นทันที โดยไม่ได้รอให้ร่างของนิโคลัสล้มลงไปก่อน
การยิงดำเนินต่อไปราวกับพายุอีกหลายสิบนัด พวกมือสังหารไม่ได้ยิงเป้าหมายของตัวเองอย่างที่ยูรอฟสกี้สั่งไว้ เพราะควันจากการยิงทำให้เห็นเป้าไม่ชัดเจน การยิงเป็นไปอย่างมั่วซั่วและไร้ระเบียบทำให้นักโทษหลายคนไม่ได้ตายในทันทีอย่างที่คาดไว้
กระสุนนัดหนึ่งของพวกมือสังหาร (น่าจะเยอร์มาคอฟ) พุ่งทะลุศีรษะของอเล็กซานดรา อดีตซาริซาผู้หยิ่งทรนงเสียชีวิตในทันที เธอมีอายุได้ 46 ปี
การจากไปอย่างรวดเร็วของนิโคลัสและอเล็กซานดราทำให้ทั้งสองไม่ต้องเจ็บปวดที่ต้องเห็นลูกๆ อันเป็นที่รักทั้งห้าถูกสังหารโดยพวกบอลเชวิค
การระดมยิงที่เกิดขึ้นสังหารตรุปและคาริโตนอฟในชั่วพริบตา ตรุปล้มลงจากกระสุนที่ยิงเข้ามา เขาถึงแก่ชีวิตเพราะกระสุนที่พุ่งทะลุศีรษะของเขา ส่วนคาริโตนอฟถูกกระสุนหลายแห่ง ทั้งสองล้มลงและสิ้นชีวิตข้างกัน
นายแพทย์โบทกินโดนยิงที่ท้องสองนัด และอีกนัดหนึ่งเข้าที่ตาตุ่ม ทำให้เขาล้มลงกับพื้น แต่ยังไม่เสียชีวิต เขาพยายามคลานเข้าไปที่ร่างของนิโคลัส ราวกับว่าจะปกป้องอดีตเจ้านายผู้ไร้ลมหายใจไปแล้ว
การยิงกระหน่ำด้วยกระสุนทำให้คนของยูรอฟสกี้ทนไม่ไหว เพราะว่าควันคลุ้งไปทั้งห้อง แถมยังมีสารคัดหลั่ง มากมายที่ไหลออกมาจากพวกนักโทษที่หวาดกลัวจนตัวสั่น การยิงจึงต้องสิ้นสุดลงเพราะพวกมือสังหารต้องออกไปนอกห้อง หลังจากไม่สามารถรับสภาพที่อยู่ในห้องได้ หนึ่งในมือสังหารเล่าว่าเขาอยากจะอาเจียนออกมาเพราะสภาพในห้องนั้น
เรื่องที่น่าเหลือเชื่อคือ ในเวลานั้นนักโทษจำนวนเจ็ดคนยังมีชีวิตอยู่ ทั้งๆ ที่ถูกยิงด้วยกระสุนมากมายขนาดนั้น!
ยูรอฟสกี้เดินกลับมาเข้าในห้องใหม่ เขาเห็นว่ามีหลายคนในห้องยังไม่สิ้นชีวิต คนที่อยู่ใกล้ที่สุดกับเขาคือ นายแพทย์โบทกิน เขาเห็นโบทกินกำลังคลานเข้าไปหานิโคลัส ยูรอฟสกี้จึงยิงเขาที่บริเวณขมับ ความปรารถนาของนายแพทย์ผู้นี้จึงเป็นจริง นั่นก็คือได้สิ้นชีวิตเคียงข้างจักรพรรดิของเขา
สำหรับสี่สาวโรมานอฟแล้ว ทุกคนเพียงแต่ได้รับบาดเจ็บเท่านั้น พวกมือสังหารไม่มีใครต้องการยิงพวกเธอ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่ากระสุนที่พุ่งหาพวกเธอจึงมีไม่มาก การที่มือสังหารยิงใส่คนอื่นก่อน ทำให้พวกเธอมีโอกาสล้มตัวลง และหลบกระสุนส่วนใหญ่ไปได้
เยอร์มาคอฟเห็นว่ามาเรียกำลังพยายามจะหลบหนีไปในห้องเก็บของที่อยู่ทางด้านหลัง แต่ไม่มีทางเป็นไปได้เพราะห้องถูกลงกลอนอย่างแน่นหนา เยอร์มาคอฟยิงเข้าใส่มาเรียนัดหนึ่ง แต่เธอยังไม่เสียชีวิต จังหวะนั้นเยอร์มาคอฟเห็นว่าโอลกาและทาเทียน่าก็ยังไม่เสียชีวิตด้วย ทั้งสองกอดกันและหนีไปที่มุมห้อง
เยอร์มาคอฟจึงพยายามใช้ดาบปลายปืนแทงพวกเธอ เพื่อหวังจะปลิดชีพ แต่กลับไม่ได้ผล!
เสื้อผ้าที่พวกเธอสวมใส่มีอัญมณีจำนวนมากภายใน ทำให้พวกมันทำหน้าที่เป็นเกราะชั้นเยี่ยมที่กันทั้งกระสุนและดาบปลายปืน เยอร์มาคอฟพยายามแทงอย่างไรก็ไม่เข้า ยูรอฟสกี้เห็นเข้าจึงเดินเข้ามาทันที เขายิงทาเทียน่าที่พยายามยืนขึ้นเพื่อหลบหนีที่ด้านหลังศีรษะของเธอ ทาเทียน่าสิ้นชีวิตทันที เธออายุได้เพียง 21 ปี
โอลกาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็พยายามจะยืนขึ้น แต่เยอร์มาคอฟที่อยู่ใกล้เธอจึงใช้ปืนของเขายิงเข้าที่บริเวณคาง โอลกาล้มลงทันที ร่างของเธอทับลงบนร่างของทาเทียน่าน้องสาวของเธอ โอลกาอายุได้ 22 ปี
อีกมุมหนึ่งอีกห้อง เยอร์มาคอฟเห็นว่ามาเรียและอนาสตาเซียนอนอยู่ใกล้กัน และทั้งสองยังไม่สิ้นชีวิต เยอร์มาคอฟพยายามจะใช้ดาบปลายปืนแทงมาเรียและอนาสตาเซียอีกครั้ง แต่ก็ล้มเหลวเหมือนเดิม ยูรอฟสกี้เห็นทั้งสองกำลังทรมานจากการแทงของเยอร์มาคอฟ เขาจึงเดินเข้ามาและยิงทั้งสองที่ศีรษะด้วยปืนของเขา (บ้างว่าเยอร์มาคอฟยิงมาเรีย)
อนาสตาเซียเสียชีวิตเมื่อเธออายุได้เพียง 17 ปี เท่านั้น ส่วนมาเรียอายุได้ 19 ปี
สำหรับมาเรียแล้ว มีเรื่องแปลกหลายอย่างที่เกิดกับเธอ
อย่างแรก บางหลักฐานว่าภายในเสื้อผ้าของเธอไม่มีอัญมณีเพียงคนเดียว ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าครอบครัวของเธอยังโกรธและไม่ไว้ใจเธอ แต่บางหลักฐานก็ว่ามีเหมือนกับพี่น้องคนอื่นๆ
อย่างที่สอง ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าเธอเสียชีวิตเพราะอะไร สาเหตุคือจากการชันสูตรโครงกระดูกส่วนศีรษะของเธอ ไม่พบความเสียหายที่เกิดจากลูกปืนเลย ดังนั้นมาเรียไม่ได้ตายเพราะกระสุนของยูรอฟสกี้หรือเยอร์มาคอฟ
บางหลักฐานเล่าว่ามาเรียฟื้นขึ้นมาอีกครั้งตอนที่กำลังขนศพ! ยูรอฟสกี้จึงต้องยิงเธออีกนัดหนึ่ง มาเรียถึงจะเสียชีวิต
การชันสูตรพบว่ามาเรียตายเพราะสาเหตุที่ไม่ปรากฏแน่ชัด เธอไม่ได้รอดชีวิต แต่ไม่มีใครระบุได้ว่าเธอตายเพราะสาเหตุอะไร
สี่สาวโรมานอฟจึงจากโลกนี้ไปอย่างสมบูรณ์ พวกเธอจากไปโดยที่ไม่มีความผิดใดๆ
แต่ที่ไม่น่าเชื่อคือ เด็กชายที่ทั้งครอบครัวกลัวว่าจะเสียชีวิตมาตลอดสิบกว่าปี กลับยังไม่ตายในเวลานั้น
อเล็กเซย์ถูกยิงโดยนิคูลินหลายนัด แต่กลับยังไม่เสียชีวิต ร่างของเขาจมกองเลือดอยู่บนเก้าอี้ เยอร์มาคอฟจึงพยายามใช้ดาบปลายปืนกับเขาแต่ก็ไม่เป็นผล เพราะภายในเสื้อผ้าของอเล็กเซย์ก็มีอัญมณีมากมาย
ยูรอฟสกี้จึงเดินเข้ามาและยิงอเล็กเซย์ที่ศีรษะจำนวนสองนัด ทำให้อเล็กเซย์จากไปทันทีโดยไม่ต้องทรมานอีกต่อไป อเล็กเซย์อายุได้ 13 ย่าง 14 ปี เมื่อเขาเสียชีวิต
เรื่องโอละพ่อกลับเกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ เดมิโดวา นางกำนัลของอเล็กซานดรากลับยังไม่เสียชีวิต เธอถูกกระสุนที่สะโพก และสลบไประหว่างที่พวกบอลเชวิคกำลังยิงสังหารคนอื่น เธอฟื้นขึ้นมาระหว่างที่พวกเขากำลังตรวจสภาพศพและดันกรีดร้องขึ้นว่า
ขอบคุณพระเจ้า ฉันรอดชีวิต
พวกมือสังหารทุกคนพุ่งเข้ามาหาเธอทันที และรุมแทงเธอด้วยดาบปลายปืน พวกเขาใช้เวลาอยู่นานจนกว่าจะจัดการกับเดมิโดวาได้สำเร็จ เพราะชุดของเธอมีอัญมณีด้วยเช่นกัน แต่สุดท้ายเธอก็จากไปอีกคนหนึ่ง
ภายในเวลา 20 นาที ครอบครัวโรมานอฟและข้าราชบริพารทั้งหมด 11 ชีวิตก็เป็นร่างไร้วิญญาณ อนึ่งทุกคนคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้พวกบอลเชวิคอีกต่อไปแล้ว
การจัดการศพ
ยูรอฟสกี้สั่งให้พวกมือสังหารคนอื่นๆ ขนศพผู้เสียชีวิตทั้ง 11 คน ไปใส่ไว้ในรถที่มาจอดรอไว้แล้วล่วงหน้า เพื่อนำไปยังสถานที่ที่เตรียมเอาไว้สำหรับฝังศพ พวกมือสังหารจึงช่วยกันนำผ้าปูเตียงของครอบครัวโรมานอฟมาห่อร่างของพวกเขาออกไป
ระหว่างกำลังขนศพ ยูรอฟสกี้ทราบว่าพวกมือสังหารบางคนแอบนำของมีค่าของครอบครัวโรมานอฟติดตัวไป เขาจึงสั่งให้นำมาคืน มิฉะนั้นจะยิงเป้าทั้งสองในเวลานั้นทันที พวกมือสังหารไม่อาจขัดยูรอฟสกี้ได้ เขาจึงส่งมอบของมีค่าให้ยูรอฟสกี้
ยูรอฟสกี้ไล่พวกมือสังหารสองคนนั้นออกไปจากบ้านทันที และรวบรวมของมีค่าในบ้านทั้งหมดไว้ที่ห้องพักของเขา เพื่อที่จะส่งให้คณะกรรมาธิการต่อไป เขาประกาศว่าใครขโมยของมีค่าไปจะถูกยิงเป้าทันที
ช่วงนั้นโกโลเชคินที่คอยอยู่นอกบ้านนานแล้ว ก็ได้เดินเข้ามาในบ้าน เขาเห็นร่างของนิโคลัสจึงพูดขึ้นว่า
นี่เป็นวาระสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ ใช่หรือไม่
คูดริน ผู้ที่ยูรอฟสกี้มอบหมายให้ดูแลการลำเลียงศพปฏิเสธ เขาบอกโกโลเชคินว่ายังมีอีกมากที่จะต้องทำ
โกโลเชคินสั่งให้นำสุนัขทั้งสามตัวของครอบครัวโรมานอฟไปยิงทิ้งเสีย หลังจากที่ Ortipo สุนัขตัวหนึ่งพยายามมองและเดินเข้าไปหาร่างไร้วิญญาณของนิโคลัส
Ortipo และจิมมี่ สุนัขอีกตัวหนึ่งถูกสังหาร แต่จอย สุนัขแสนรักของอเล็กเซย์รอดชีวิตอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมือสังหารคนหนึ่งสงสารมัน เขาจึงนำมันไปเลี้ยง
เมื่อศพถูกลำเลียงออกไปแล้ว ยูรอฟสกี้สั่งให้นิคูลินนำคนไปทำความสะอาดบริเวณบ้านทั้งหมด ส่วนตัวยูรอฟสกี้เองก็ไปกับรถขนศพ เพื่อออกไปยังจุดที่เตรียมไว้ ตัวยูรอฟสกี้รู้สึกเหนื่อยมาก และไม่ต้องการจะไป แต่ก็ต้องไปเพราะเกรงว่าอะไรๆ มันจะไม่เรียบร้อย
แล้วสิ่งที่ยูรอฟสกี้คิดไว้ก็เป็นจริง
ระหว่างที่ผ่านโรงงานแห่งหนึ่ง ยูรอฟสกี้พบว่ามีคนจำนวนมากกำลังเดินมาที่รถ พวกเขาเข้ามาใกล้ร่างของพวกโรมานอฟ และหนึ่งในนั้นพยายามเปิดกระโปรงและลวนลามศพผู้หญิง พวกคนเหล่านี้เป็นคนที่เยอร์มาคอฟมาเพื่อปล้นสะดมและข่มขืนพวกผู้หญิง พวกเขาเชื่อว่าพวกเธออาจจะไม่ถูกสังหารเลยแห่กันมา แต่เมื่อพวกเธอตายแล้ว คนเหล่านี้จึงผิดหวังไม่น้อย
ยูรอฟสกี้ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย เขาสั่งให้พวกคนเหล่านี้ออกไปทันที และอย่าเข้ามาใกล้ คนของเยอร์มาคอฟจึงถูกไล่ออกไปทั้งหมดโดยยูรอฟสกี้
เมื่อถึงสถานที่ที่จัดเตรียมไว้แล้ว ยูรอฟสกี้จึงให้ถอดเสื้อผ้าศพออกทั้งหมด และนำศพโยนเข้าไปในหลุม เพื่อที่จะทำลายหลักฐาน ยูรอฟสกี้ถึงได้ทราบว่าอัญมณีเหล่านี้อยู่ในเสื้อของพวกเธอ ทำให้ดาบปลายปืนของพวกเขาแทงไม่เข้า ยูรอฟสกี้จ้องพวกคนที่ขนศพทุกคนอย่างเข้มงวด เพื่อไม่ให้ใครขโมยสิ่งของเหล่านี้ไป เขารวบรวมอัญมณีทั้งหมดไว้เป็นกองเดียว และทำบัญชีของทุกอย่างไว้อย่างเรียบร้อย
ในเวลานั้นเริ่มสว่างแล้ว การทำงานจึงต้องเร่งรีบมากขึ้น ชาวบ้านบางคนเริ่มมานั่งคุยกันในบริเวณนั้น ยูรอฟสกี้จึงไล่คนเหล่านั้นไปทันที โดยอ้างว่าพวกเช็กกำลังเข้ามาใกล้แล้วพวกเขาไม่ควรอยู่ที่นี่
หลังจากศพทั้ง 11 ถูกนำลงไปในหลุมแล้ว ทุกคนจึงเริ่มเทกรดซัลฟัวริกอย่างเข้มข้นลงไปที่ศพเพื่อหวังว่าจะให้มันย่อยสลายไปตลอดกาล
แต่ยูรอฟสกี้กลับพบว่า หลุมนั้นตื้นเกินไป และน้ำที่อยู่ในหลุมเองก็ไม่สามารถท่วมศพทั้งหมดได้อย่างที่หวัง ยูรอฟสกี้จึงรู้ว่าไม่สามารถจัดการกับศพในเวลานั้นได้แน่ๆ เขาจึงกลับที่เมืองก่อนเพื่อส่งมอบเพชรและของมีค่าต่างๆ และกลับมาใหม่ในอีกวันสองวัน
ในวันที่ 19 กรกฏาคม ยูรอฟสกี้กลับมาอีกครั้งเพื่อจัดการกับศพ คนของยูรอฟสกี้นำศพทั้งหมดออกมาจากหลุมเดิม แล้วจึงนำศพทั้งหมดไปที่หลุมแห่งใหม่ โดยแยกศพของมาเรียและอเล็กเซย์ไปฝังไว้อีกที่หนึ่ง ทำให้หลุมใหญ่มีศพเพียง 9 ศพเท่านั้น นั่นเป็นสาเหตุที่ในเวลาต่อมานักวิจัยพบร่างเพียง 9 ร่าง ก่อนที่จะพบอีก 2 ร่างในเวลาต่อมา
ศพทั้งหมดถูกราดโดยกรดซัลฟัวริกอีกรอบ หลังจากนั้นยูรอฟสกี้จึงให้มีการฝังกลบ และกลบเกลื่อนร่องรอยทั้งหมด ทุกคนหวังว่าจะไม่มีใครรู้ว่าศพอยู่ที่ใดไปตลอดกาล
ร่างของครอบครัวโรมานอฟอยู่ ณ ที่นั่นเป็นเวลานานหลายสิบปี ในปี ค.ศ.1979 นักโบราณคดีสมัครเล่นคนหนึ่งจึงพบร่างของครอบครัวโรมานอฟ ร่างของทุกคนได้รับการตรวจสอบ DNA ว่าเป็นของจริง
ในปี ค.ศ.1998 ร่างของครอบครัวโรมานอฟ ตั้งแต่นิโคลัส อเล็กซานดรา อเล็กเซย์ โอลกา ทาเทียน่า มาเรีย และอนาสตาเซีย จึงได้รับการทำพิธีทางศาสนาและนำไปเก็บรักษาไว้ที่มหาวิหารปีเตอร์แอนด์พอล มหาวิหารที่เก็บพระศพของจักรพรรดิทุกพระองค์ของราชวงศ์โรมานอฟอย่างสมเกียรติ
เรื่องร้ายๆของนิโคลัสและครอบครัวจึงจบสิ้นเสียที
ขึ้นสู่สถานะนักบุญ
คริสตจักรออโธดอกซ์ภายนอกรัสเซียได้สถาปนาให้นิโคลัสและครอบครัวขึ้นเป็นนักบุญในปี ค.ศ.1981 ส่วนคริสตจักรออโธดอกซ์ในรัสเซียหรือว่าคริสตจักรมอสโกได้สถาปนาพวกเขาขึ้นเป็นนักบุญในปี ค.ศ.2000
สถานะปัจจุบันของครอบครัวโรมานอฟจึงเป็นนักบุญในคริสตจักรรัสเซียนออโธดอกซ์ และได้รับการเคารพนับถือโดยชาวรัสเซียจำนวนมาก ในคืนวันที่ 16-17 ของทุกปี จะมีพิธีระลึกถึงครอบครัวโรมานอฟอย่างยิ่งใหญ่ที่เมืองเยกาเตรินเบิร์กโดยมีผู้ร่วมงานนับแสนคน
Rest In Peace, Your Majesty
อ่านตั้งแต่ตอนแรก และติดตามตอนต่อไปได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ
หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่