ประวัติศาสตร์ชะตากรรมของเปโยตร์ เยอร์มาคอฟ ผู้ปลิดชีวีโรมานอฟด้วยความโหดร้าย

ชะตากรรมของเปโยตร์ เยอร์มาคอฟ ผู้ปลิดชีวีโรมานอฟด้วยความโหดร้าย

ในหมู่มือสังหารที่ก่อเหตุสังหารอดีตซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัวนั้น คนที่โหดเหี้ยมที่สุดคงหนีไม่พ้นชายผู้นี้ เขาคือผู้ที่ใช้ดาบปลายปืนพยายามแทงเหล่าแกรนด์ดัชเชส และแอนนา เดมิโดวา ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อให้พวกเธอสิ้นชีวิต แม้จะทำไม่สำเร็จก็ตาม

ชายผู้นี้คือ เปโยตร์ ซากาโรวิช เยอร์มาคอฟ (Пётр Захарович Ермаков) หรือ ปีเตอร์ เออร์มาคอฟ

เรามาดูกันว่า ชายผู้นี้มีประวัติและชะตากรรมเป็นอย่างไรหลังจากที่เขาสังหารครอบครัวโรมานอฟ?

เยอร์มาคอฟ

ชีวิตที่อยู่กับความรุนแรง

ประวัติของเยอร์มาคอฟมีน้อยมาก เขาเกิดในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ.1884 ใกล้กับเมืองเยกาเตรินเบิร์ก

ครอบครัวของเขามีฐานะไม่ดีนัก เพราะเป็นครอบครัวชนชั้นแรงงานในโรงงาน เยอร์มาคอฟได้รับการศึกษาชั้นต้นในโรงเรียนศาสนา แต่ต่อมาก็เลิกเรียนและหันมาเป็นช่างซ่อมรถแทน

ชนชั้นแรงงานในโรงงานสมัยจักรวรรดิรัสเซียต้องทำงานหนักมากถึงสิบกว่าชั่วโมงต่อวัน สวัสดิการต่างๆ ที่ให้พนักงานก็ไม่มีอยู่เลย ทำให้พวกแรงงานเกลียดชังพวกชนชั้นสูงมากที่ใช้ชีวิตอยู่สุขสบายภายใต้ความลำบากของพวกตน

หลังเหตุการณ์ Bloody Sunday เยอร์มาคอฟได้เข้าร่วมกับองค์กรใต้ดินฝ่ายซ้ายอย่าง RSDLP (ต่อมาคือเมนเชวิค และบอลเชวิค) ที่ผิดกฎหมาย และเริ่มเป็นหัวโจกในหมู่แรงงาน เขาถูกจับในข้อหาฆาตกรรมในช่วงปี ค.ศ.1908 แต่หลังจากนั้นไม่นานก็ถูกปล่อยตัวออกมาเพราะว่าไม่มีหลักฐาน

หน้าที่ของเยอร์มาคอฟในพรรคคืออยู่ในหน่วยที่ใช้ความรุนแรง อาทิเช่นปล้นสะดมเงินขององค์กรรัฐต่างๆ เพื่อนำมาใช้ในกิจการของพรรค ในบางครั้งเขาจึงต้องใช้ความรุนแรง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ในการปล้นสะดมที่เขาเป็นหัวหน้ามีการปะทะกันทำให้มีผู้เสียชีวิต 6 คน

ในปี ค.ศ.1909 เยอร์มาคอฟถูกจับโดยตำรวจอีกครั้ง และถูกส่งตัวเข้าคุก น่าจะเพราะข้อหาปล้นสะดมหรือว่าฆาตกรรม หลังจากติดคุกอยู่ปีหนึ่ง เยอร์มาคอฟก็ถูกเนรเทศไปยังเมือง Velsk

เยอร์มาคอฟโดนเนรเทศอยู่นานสองปี เขาก็พ้นโทษ เยอร์มาคอฟพยายามเปิดธุรกิจขึ้นที่เมืองเยกาเตรินเบิร์ก แต่ด้วยความที่เยอร์มาคอฟคอยสนับสนุนครอบครัวของพวกนักโทษทางการเมือง ทำให้เขาถูกเพ่งเล็งโดยพวกตำรวจลับของรัฐบาลซาร์ เยอร์มาคอฟจึงต้องปิดกิจการและย้ายไปหางานทำที่เมือง Kungur

หลังจากการปฏิวัติกุมภาพันธ์ เยอร์มาคอฟมีส่วนสำคัญในการก่อตั้งกองกำลังเรดการ์ดขึ้นเพื่อสนับสนุนพวกบอลเชวิคในเขตอูรัล เขาจึงเป็นผู้นำในกลุ่มดังกล่าว ในช่วงปี ค.ศ.1918 เยอร์มาคอฟถูกย้ายไปย้ายมาหลายที่เพื่อรักษาความเรียบร้อยในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก และคอยควบคุมพวกแรงงานที่เป็นผู้สนับสนุนสำคัญของพวกบอลเชวิค

ในช่วงเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1918 เยอร์มาคอฟได้รับคำสั่งให้มาประจำการที่บ้านอิปาตเยฟ เพราะว่าเขาเป็นคนที่บ้าคลั่ง กระหายเลือด และโหดเหี้ยมที่สุดในหมู่พวกบอลเชวิค

บทบาทในวันแห่งโชคชะตา

เยอร์มาคอฟถูกสั่งให้ไปช่วยเตรียมรถที่ใช้ขนศพ สถานที่ฝังศพ รวมไปถึงคนที่จะช่วยขนศพไปฝัง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ให้เข้ามาในบ้าน เพราะว่าตัวเขาถูกวางตัวให้เป็นหนึ่งในทีมสังหารด้วย

ก่อนการสังหารเล็กน้อย เยอร์มาคอฟดื่มเหล้าอย่างหนัก ทำให้เขาอยู่ในความมึนเมา เมื่อการสังหารเริ่มต้นขึ้น เยอร์มาคอฟเป็นหนึ่งในมือสังหารที่ยิงเข้าใส่นิโคลัส หลังจากที่ยูรอฟสกี้และคนอื่นๆ ยิงไปแล้ว และเยอร์มาคอฟยังเป็นผู้สังหารอเล็กซานดราด้วย

แต่บทบาทที่ทำให้เยอร์มาคอฟถูกเกลียดชังมากที่สุดมาจนถึงทุกวันนี้ คือความโหดร้ายที่เขากระทำต่อเหล่าสี่สาวโรมานอฟ มันเป็นความโหดเหี้ยมที่แม้แต่พวกบอลเชวิค หรือแม้กระทั่งพวกมือสังหารด้วยกันยังส่ายหน้า

เยอร์มาคอฟใช้ดาบปลายปืนแทงของสี่สาวโรมานอฟที่ไร้ทางสู้อย่างรุนแรงนับสิบครั้ง บ้างว่าเขาทำไปเพราะคำสั่งของโกโลเชคินที่ให้ใช้อาวุธอย่างอื่นนอกจากปืน เพราะว่าเสียงปืนมันดังออกไปนอกบ้านแล้ว

ด้วยความที่ภายในเครื่องแต่งกายของสี่สาวโรมานอฟมีอัญมณีมากมาย ดาบปลายปืนของเยอร์มาคอฟจึงได้แต่ทำให้พวกเธอบาดเจ็บ เสียงกรีดร้องของพวกเธอดังลั่นห้อง ยูรอฟสกี้ถึงกับทนไม่ไหว เขาจึงเข้ามายิงพวกเธอที่ศีรษะเพื่อทำให้ความทรมานของพวกเธอจบลงเสียที

นอกจากนี้ระหว่างที่กำลังมีการขนศพ สเตรคอทติน หนึ่งในมือสังหารเล่าว่า เรื่องไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นทำให้พวกมือสังหารหลายคนรู้สึกกลัว เพราะร่างของแกรนด์ดัชเชสบางคนยังกระดุกกระดิกอยู่ราวกับว่ายังไม่เสียชีวิต

เยอร์มาคอฟเป็นคนเดียวที่ไม่กลัวหรือตกใจ เขาจึงฉวยดาบปลายปืนไปจากสเตรคอทคิน และแทงเข้าที่ร่างอันไร้ชีวิตทุกร่างที่กำลังถูกขนออกไปขึ้นรถ

เยอร์มาคอฟยืนอยู่ใกล้หลุมที่ใช้ฝังร่างของครอบครัวโรมานอฟ

พฤติกรรมของเยอร์มาคอฟยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น ก่อนหน้าที่เขาจะเดินทางมาบ้านอิปาตเยฟในคืนนั้น เยอร์มาคอฟได้บอกกับพวกคนงานให้มาข่มขืนพวกผู้หญิง และปล้นสะดมทรัพย์สิน เขาสั่งให้พวกเขารออยู่ในป่าพร้อมกับเกวียนเพื่อรอรถบรรทุกมาถึง

ยูรอฟสกี้ไม่ทราบว่าเยอร์มาคอฟไปพูดเช่นนั้นกับพวกคนงาน เขาถึงกับต้องชักปืนสั่งให้พวกคนของเยอร์มาคอฟออกไปเมื่อพวกเขาพยายามลวนลามศพผู้หญิงและปล้นชิงทรัพย์สินจากศพ

เมื่อมาถึงบริเวณที่จัดเตรียมไว้ ยูรอฟสกี้ยิ่งโกรธเยอร์มาคอฟเข้าไปใหญ่ เมื่อเยอร์มาคอฟแทบไม่ได้เตรียมอะไรไว้เลย นอกจากพลั่วแค่อันเดียว ทำให้การจัดการศพล่าช้ามาก ยูรอฟสกี้ต้องใช้เวลาอีกสองวันกว่าจะนำศพทั้งหมดไปฝังด้วยตนเองจนเสร็จสิ้น

การโม้ของเยอร์มาคอฟ

เยอร์มาคอฟถูกส่งไปเป็นทหารและรบกับพวกรัสเซียขาวในสงครามกลางเมืองรัสเซีย เมื่อสงครามสงบ เยอร์มาคอฟได้ทำงานในคณะกรรมาธิการท้องถิ่นของรัฐบาลโซเวียต หน้าที่ของเขาเกี่ยวข้องกับการรักษาความสงบในดินแดนอูรัล

เขาไม่ได้ก้าวหน้าทางการงานเหมือนกับยูรอฟสกี้ นั่นทำให้เขารู้สึกอิจฉาและเจ็บปวดมาก โดยเฉพาะหลังปี ค.ศ.1934 ที่รัฐบาลโซเวียตมอบเงินบำนาญให้กับเขา โดยแลกกับการให้ตัวเขาออกจากตำแหน่งทางราชการไปเสีย เพราะว่าเขาทำงานอะไรก็ไม่ค่อยจะได้เรื่อง

หลังจากนั้นเยอร์มาคอฟพยายามที่จะโม้หรืออวดอ้างเรื่องบทบาทของตัวเขาในการสังหารครอบครัวโรมานอฟ อาทิเช่น เขาเคยแอบอ้างว่าเป็นผู้ที่ยิงนิโคลัสจนถึงแก่ชีวิตเป็นต้น

เยอร์มาคอฟในปี ค.ศ.1919 เชื่อว่าหมวกที่เขาใส่อยู่เคยเป็นของนิโคลัสมาก่อน

จากการตรวจสอบพบว่าบันทึกของเขาแตกต่างกับบันทึกของยูรอฟสกี้และผู้เห็นเหตุการณ์คนอื่นๆ ที่ล้วนแต่ไปในทางเดียวกัน ทำให้เชื่อได้ว่า เยอร์มาคอฟน่าจะ “โม้” หรือ “โอ้อวด” ความสำคัญของตัวเองในเหตุการณ์ดังกล่าว

สาเหตุก็ไม่น่าจะมีอะไรมาก เขาคงต้องการจะเรียกร้องความสนใจจากสาธารณชน รัฐบาลโซเวียตจะได้สนใจเขาบ้าง

ถ้าตัดส่วนที่โม้ๆ เกี่ยวกับตัวเองออกไป บันทึกของเยอร์มาคอฟจึงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ระดับเกรด B ที่พอจะอ่านเอาเรื่องคร่าวๆ ได้ แต่ใช้เป็นจริงเป็นจังไม่ได้นั่นเอง

พบกับชูห์คอฟ

เยอร์มาคอฟใช้ชีวิตต่อมาอย่างเงียบๆ การที่เขาถูกบังคับให้ออกจากงานในปี ค.ศ.1934 กลับช่วยชีวิตเขาไว้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะมันทำให้เขาอยู่นอกรัศมีการกวาดล้างของสตาลินที่สังหารสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ไปเป็นจำนวนมากในเหตุการณ์ Great Purge

นอกจากช่วง Great Purge ที่น่าหวาดหวั่นแล้ว เยอร์มาคอฟยังผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มาได้อีกแบบไร้รอยขีดข่วน แถมในช่วงสงคราม เยอร์มาคอฟยังได้กลับไปทำงานอีกด้วย เขาได้รับคำสั่งให้ช่วยฝึกทหารเกณฑ์ในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก เวลานั้นเขามีอายุเกือบ 60 ปีแล้ว

อนึ่ง มีเรื่องเล่าว่า ในปี ค.ศ.1951 เยอร์มาคอฟเข้าร่วมงานปาร์ตี้ที่เมืองเยกาเตรินเบิร์ก (หรือในเวลานั้นเรียกว่า สเวียตลอฟค์) ปาร์ตี้ดังกล่าวมีนายพลกอร์กี้ ชูห์คอฟ ผู้บังคับบัญชากองทัพแดงที่เพิ่งเอาชนะนาซีเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่สองมาร่วมงานด้วย

เยอร์มาคอฟในวัย 66 ปี ยื่นมือไปหาชูห์คอฟเพื่อที่จะขอจับมือกับเขา แต่ชูห์คอฟ ผู้ที่เคยได้รับเหรียญกล้าหาญจากกองทัพของซาร์นิโคลัสที่ 2 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ปฏิเสธ ชูห์คอฟมองเยอร์มาคอฟด้วยความรังเกียจแล้วกล่าวขึ้นว่า

ฉันไม่จับมือของพวกฆาตกร

ไม่ต้องสงสัยว่าเยอร์มาคอฟจะหน้าแตกเพียงใด

วาระสุดท้าย

หลังจากนั้นไม่นาน เยอร์มาคอฟก็ล้มป่วยลงด้วยโรคมะเร็ง เขาเสียชีวิตลงในวันที่ 22 พฤษภาคม ค.ศ.1952 ที่เมืองเยกาเตรินเบิร์กที่เขาอยู่มาทั้งชีวิต และสร้างวีรกรรมต่างๆ เอาไว้ เยอร์มาคอฟตายเมื่อมีอายุได้ 67 ปี

ช่วงที่เขาเสียชีวิตมีเอกสารที่เรียกว่า “คำสารภาพก่อนตายของเยอร์มาคอฟ” ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสังหารครอบครัวโรมานอฟเผยแพร่ออกมา แต่หลักฐานดังกล่าวได้รับการพิสูจน์ภายหลังว่าเป็นของปลอม โดยตำรวจลับโซเวียตเป็นผู้ปลอมแปลงมันขึ้นมาเพราะเหตุผลบางอย่าง

ร่างของเยอร์มาคอฟถูกฝังลงที่สุสานแห่งหนึ่งในเมืองเยกาเตรินเบิร์ก หลังจากนั้นมาหินที่จารึกชื่อบนหลุมศพของเขาก็ถูกทำลายหลายครั้งโดยพวกที่ศรัทธาครอบครัวโรมานอฟ อย่างครั้งล่าสุดในปี ค.ศ.2018 หินก้อนดังกล่าวก็ถูกละเลงไปด้วยสีแดง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเยอร์มาคอฟเคยกระทำต่อครอบครัวโรมานอฟอย่างไร

ถนนสายหนึ่งในเมืองเยกาเตรินเบิร์กได้ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อของเขา แต่หลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลาย ถนนเส้นนั้นก็ถูกชาวเมืองเปลี่ยนกลับมาใช้ชื่อเดิมในสมัยก่อนการปฏิวัติ เพราะไม่มีใครอยากให้ถนนชื่อนี้เป็นชื่อของเยอร์มาคอฟนั่นเอง

หนังสืออ้างอิง อยู่ที่นี่

บทความนี้เป็นบทความเสริม อ่านเรื่องหลักได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!