ประวัติศาสตร์รัสเซียปฏิวัติรัสเซียการลอบสังหารแกรนด์ดยุคเซอร์เกย์กลางกรุงมอสโก

การลอบสังหารแกรนด์ดยุคเซอร์เกย์กลางกรุงมอสโก

จากเหตุการณ์วันอาทิตย์กระหายเลือด ประชาชนชาวรัสเซียได้โกรธเคืองรัฐบาลเป็นอย่างมาก ผู้ที่ใช้ประโยชน์จากความโกรธแค้นนี้ก็คือพวกนักปฏิวัติ

ในสมัยดังกล่าว พวกนักปฏิวัติอย่างกลุ่ม SR (Socialist Revolutionaries) หรือกลุ่มปฏิวัติสังคมนิยมทำการต่อต้านรัฐบาลด้วยการลอบสังหารเจ้าหน้าที่รัฐบาลซาร์ เพราะพวกเขาคิดว่าวิธีดังกล่าวจะทำให้รัฐบาลซาร์เป็นง่อย และพังพาบลงไปในที่สุด

หนึ่งในเป้าหมายสำคัญของพวก SR ก็คือ แกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์ อเล็กซานโดรวิช (Grand Duke Sergei Alexandrovich) พระองค์ทรงเป็นพระอนุชาของซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 3 และ พระปิตุลาของซาร์นิโคลัสที่ 2 พระมเหสีของพระองค์คือแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ หรือเจ้าหญิงเอลลาผู้งดงาม พระขนิษฐาของซารินาอเล็กซานดรานั่นเอง

เอลิซาเบธและเซอร์เกย์

ปูมหลังของเซอร์เกย์

แกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์เคยเป็นผู้ที่ความคิดเสรีนิยมมาก่อน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความเกลียดชังพวกนักปฏิวัติก็เปลี่ยนแปลงพระองค์ให้เป็นฝ่ายขวาจัด เซอร์เกย์คิดว่าจะต้องใช้กำลังปราบปรามพวกนักปฏิวัติให้สิ้นซากไป

เมื่อเซอร์เกย์ได้รับตำแหน่งเป็นผู้ว่าราชการเมืองมอสโก เขาปราบปรามพวกนักศึกษาที่เรียกร้องการปฏิรูปอย่างรุนแรง และประกาศชัดว่าไม่สนับสนุนการปฏิรูปใดๆ ที่ทำให้เกิดสิทธิเสรีภาพในรัสเซีย แต่ทว่าเซอร์เกย์กลับทำพลาด ด้วยการปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์เหยียบกันตายในงานเฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกของซาร์นิโคลัสที่ทุ่ง Khodynka นอกเมืองมอสโกที่มีผู้เสียชีวิตนับพัน

นอกจากนี้เซอร์เกย์ยังโบ้ยความผิดดังกล่าวให้ผู้อื่นทั้งหมด และยับยั้งไม่ให้ซาร์นิโคลัสทรงเลื่อนงานเลี้ยงในเย็นวันนั้นออกไป

เซอร์เกย์

เหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้เหล่าประชาชนเกลียดชังเซอร์เกย์อย่างมาก ดังนั้นเซอร์เกย์เป็นหนึ่งในเชื้อพระวงศ์โรมานอฟที่มีผู้ชอบน้อยที่สุด แม้กระทั่งในเหล่าแกรนด์ดยุคด้วยกันเองก็ไม่ค่อยมีใครชอบเขาเท่าใดนัก โดยเฉพาะเหล่าแกรนด์ดยุคที่ต้องการให้รัสเซียปฏฺิรูปการเมืองให้ทันสมัยอย่างแกรนด์ดยุคนิโคลัส มิไคโลวิช

หลังจากนั้นไม่นาน แกรนด์ดยุคที่เป็นศัตรูของเซอร์เกย์จึงทูลให้ซาร์นิโคลัสทรงฉวยโอกาสปลดเซอร์เกย์ออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองมอสโก เพราะเล็งเห็นว่า เซอร์เกย์อยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไป ราชวงศ์จะพินาศอย่างแน่นอน แต่ทว่านิโคลัสในวัย 27 ปีกลับไม่กล้าหาญเพียงพอที่จะปลดพระราชวงศ์ระดับสูงอย่างเซอร์เกย์ ทำให้เซอร์เกย์ยังอยู่ในตำแหน่งดังกล่าวต่อไป

นั่นเป็นความผิดพลาดอย่างมากของซาร์นิโคลัส

เซอร์เกย์ทำหน้าที่ต่อไปในฐานะผู้ว่าราชการเมืองมอสโก และได้ขับไล่ชาวยิวออกจากเมืองถึงสองหมื่นคน ทำให้เศรษฐกิจมอสโกที่เคยรุ่งเรืองเสื่อมถอยลงไปในทันตา ประชาชนไม่ว่าจะเป็นพ่อค้า แรงงาน หรือชนชั้นสูง ล้วนแต่เกลียดชังเซอร์เกย์ทั้งสิ้น

ดังนั้นเซอร์เกย์จึงเป็นเป้าหมายอันดับหนึ่งที่พวก SR ต้องสังหารเสียให้จงได้ เพื่อแก้แค้นรัฐบาลซาร์ที่สังหารประชาชนในเหตุการณ์วันอาทิตย์เลือด รวมไปถึงความแค้นส่วนตัวต่อเซอร์เกย์เอง

ความกลัวของเซอร์เกย์

ในปี ค.ศ.1905 เซอร์เกย์ทรงลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองมอสโก เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตอยู่เงียบๆ กับพระมเหสี และพระโอรสธิดาที่พระองค์ทรงรับเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม สาเหตุสำคัญคือ เซอร์เกย์รู้ว่าพระองค์กำลังเผชิญกับอะไร

เมื่อเกิดเหตุการณ์วันอาทิตย์กระหายเลือดขึ้น แกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์ทราบดีว่าพระองค์เป็นเป้าหมายของพวกนักปฏิวัติ พระองค์จึงพยายามที่จะเสด็จออกไปนอกวังให้น้อยที่สุด เพราะทรงรู้ดีว่าพวกนักปฏิวัติมักจะใช้เวลาที่เสด็จพระราชดำเนินปลงพระชนม์เหล่าเชื้อพระวงศ์ (เช่น อเล็กซานเดอร์ที่ 2 ที่สวรรคตโดยแรงระเบิด)

แม้เซอร์เกย์เปลี่ยนวังไปเรื่อย แต่ทว่าพวกนักปฏิวัติก็จับการเคลื่อนไหวของเซอร์เกย์ได้อยู่ดี

โบริส ซาวินคอฟ หนึ่งในนักปฏิวัติเขียนว่า

เขากำลังกลัว เขาเปลี่ยนวังไปเรื่อย พยายามหนีความตายที่ไม่อาจจะหลบหลีกได้ มันกำลังจะมาหาเขาแล้ว

ถึงแม้เซอร์เกย์จะทราบดีว่าตนเองทรงตกอยู่ในภยันตราย พระองค์ก็มีพระทัยดี พระองค์ทรงเชื่อมั่นในพระเจ้าว่า ถ้าพระเจ้าทรงปรารถนาให้พระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดมากั้นขวางไว้ได้ พระองค์ทรงรับสั่งไม่ให้เหล่าผู้ติดตามไปกับพระองค์ เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาเป็นอันตรายไปด้วย เซอร์เกย์ปรารถนาว่าถ้าจะสิ้นชีวิตแล้ว ก็ขอจากไปคนเดียว

ในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ 1905 แกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์และครอบครัวได้เดินทางไปชมการแสดงที่โรงภาพยนตร์ เพื่อสนับสนุนกิจกรรมขององค์กร Red Cross พวก SR สามารถจับเส้นทางการเดินทางของพระองค์ได้ พวกเขาจึงเตรียมการจะปลงพระชนม์พระองค์ในวันนั้น

วิธีการสังหารเป้าหมายของเหล่านักปฏิวัติล้วนแต่เป็นวิธีที่โหดเหี้ยม โดยมากแล้วจะใช้อยู่ 2 วิธี นั่นก็คือให้มือสังหารปลอมตัวให้เข้าใกล้เป้าหมายมากที่สุด แล้วยิงด้วยปืนแบบเผาขน อีกวิธีหนึ่งคือโยนระเบิดแรงสูงเข้าใส่เป้าหมาย โดยไม่ใส่ใจกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ใดๆ ทั้งสิ้น

หากแต่ว่าในวันนั้น เหล่านักปฏิวัติกลับเห็นพระโอรสธิดาเลี้ยงของแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์เสด็จมาด้วย พวกเขาตัดสินใจที่จะล้มเลิกแผนการไปก่อน เพราะไม่ต้องการจะสังหารเด็กและแกรนด์ดัชเชสเอลิซาเบธ พระมเหสีของเซอร์เกย์

การสังหารเซอร์เกย์

เช้าวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เซอร์เกย์รับประทานอาหารเที่ยงกับเอลิซาเบธในพระราชวังนิโคลัส หลังจากนั้นจึงเสด็จกลับไปทรงงานต่อ ในวันนั้นแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์เสด็จกลับไปตามลำพังกับคนขับรถม้าเท่านั้น พระองค์เสด็จกลับไปเส้นทางที่ทรงใช้เป็นประจำ ในเวลา 14.45 น. รถม้าขนาดเล็กก็เดินทางมาถึงบริเวณโบสถ์ Chudov เพื่อที่จะเข้าไปยังจัตุรัส Senatskaya ที่กลางกรุงมอสโก

ที่นั่นมือสังหารของพวก SR ดักรออยู่แล้ว เขาคือชายชาวรัสเซียชื่อว่า อีวาน คัลยาเยฟ (Ivan Kalyayev) มือสังหารคนดังกล่าวได้เตรียมระเบิดไนโตรกลีเซอรีนมาด้วย เมื่อเขาเห็นรถม้าของเซอร์เกย์เดินทางเข้ามาใกล้ เขาโยนระเบิดเข้าใส่รถคันดังกล่าวทันที

คัลยาเยฟ

ระเบิดลูกดังกล่าวตกลงบนที่ตักของแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์พอดิบพอดี หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ระเบิดไนโตรกลีเซอรีนก็ระเบิดขึ้น แรงระเบิดฉีกร่างของแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์จนแหลกเหลวเป็นชิ้นๆ พระองค์สิ้นพระชนม์ทันที

ชิ้นส่วนของเซอร์เกย์ลอยกระจัดกระจายไปทั่ว ศีรษะ ส่วนบนของหน้าอก และไหล่ซ้ายขาดออกจากลำตัว และถูกทำลายจนไม่เห็นเป็นรูปเป็นร่าง สิ่งที่เหลืออยู่พอเป็นรูปเป็นร่างคือ นิ้วมือของพระองค์ที่สวมใส่แหวนเท่านั้น ซึ่งได้มีการพบเจอที่บริเวณหลังคาของสิ่งก่อสร้างแถวนั้นในหลายวันต่อมา

เมื่อเอลิซาเบธทรงทราบข่าว พระองค์รีบเดินทางไปยังจุดระเบิดทันที พระองค์ทรงตกตะลึงไป แต่ก็ทรงควบคุมสติไว้ได้ เอลิซาเบธทรงมีรับสั่งให้ข้าราชบริพารเก็บชิ้นส่วนของแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากวันนั้น เอลิซาเบธก็เสียพระทัยอย่างหนักกับการจากไปของพระสวามี พระนางทรงก่อตั้งสำนักชีมาร์ธาและแมรี่เพื่อดูแลประชาชนมอสโกผู้ยากไร้

รถม้าของเซอร์เกย์ในเหตุการณ์ระเบิด

เอลิซาเบธเป็นคนที่มีความเมตตามาก พระองค์เชื่อในคำแนะนำของทอลสทอย พระนางทรงพยายามเกลี้ยกล่อมซาร์นิโคลัสให้ละเว้นโทษตายให้กับ อีวาน คัลยาเยฟ แต่ไม่สำเร็จ คัลยาเยฟถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในเวลาต่อมา

ก่อนที่คัลยาเยฟจะถูกประหารชีวิตนั้น เอลิซาเบธได้มีโอกาสได้สนทนากับเขา พระนางตรัสถามว่า

คุณฆ่าสามีของฉันเพราะเหตุใด

คัลยาเยฟตอบว่า

ฉันฆ่าเซอร์เกย์ อเล็กซานดรอวิช เพราะเขาคืออาวุธของพวกทรราช ฉันจะล้างแค้นให้กับประชาชน

เอลิซาเบธกล่าวต่อไปว่า

อย่าฟังความหยิ่งผยองในตัวคุณ รู้สึกผิดเสีย ฉันจะขอร้องให้เหนือหัวละเว้นโทษให้กับคุณ ฉันจะช่วยเหลือคุณ ฉันให้อภัยคุณทุกสิ่งแล้ว

คัลยาเยฟตอบเจ้าหญิงว่า

ไม่ ฉันไม่รู้สึกผิด ฉันจะต้องตายกับสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป การตายของฉันจะเป็นประโยชน์ต่อสิ่งที่ฉันต้องการมากกว่าการตายของเซอร์เกย์ อเล็กซานดรอวิช!

เมื่อถูกตัดสินประหารชีวิต คัลยาเยฟกล่าวกับศาลว่า

ฉันดีใจกับคำตัดสินของพวกคุณ! พวกคุณจงรอดูการปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นเบี้องหน้าของพวกคุณต่อไป!

คัลยาเยฟถูกแขวนคอในวันที่ 23 พฤษภาคม 1905 การสังหารแกรนด์ดุ๊กเซอร์เกย์ของเขาได้ทำให้ซาร์นิโคลัสและเชื้อพระวงศ์โรมานอฟต่างหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความโกรธแค้นให้กับเหล่าพวกนิยมกษัตริย์และกลุ่มขวาจัดอย่างมากมาย รัสเซียกำลังจะกลายเป็นแผ่นดินเลือด เพราะทั้งสองฝ่ายอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้อีกแล้ว!

แกรนด์ดัชเชสเอลฺิซาเบธ หรือ เอลลา เป็นผู้มีเมตตาและมีความศรัทธาในพระเจ้าอย่างสูงยิ่ง เธอถูกพวกบอลเชวิคสังหารในปี 1918 ในปัจจุบันเธอได้ถูกสถาปนาขึ้นเป็นนักบุญในศาสนาคริสต์นิกายรัสเซียนออโธดอกซ์

จุดที่เซอร์เกย์สิ้นชีวิตได้มีการสร้างไม้กางเขนเพื่อเป็นการไว้อาลัย หลังจากการปฏิวัติ เลนินได้เดินทางมาทำลายไม้กางเขนดังกล่าวด้วยตนเอง แต่ในปัจจุบันได้มีการสร้างขึ้นใหม่เรียบร้อยแล้ว

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!