ในโพสนี้ ผมจะตอบคำถามสำคัญที่มีคนถามผมอยู่บ่อยครั้งว่า เกิดอะไรขึ้น “หลัง” จากที่บุคคลเหล่านี้ได้สังหารครอบครัวโรมานอฟไปแล้ว แต่เพื่อความครบถ้วนสมบูรณ์ ผมขออนุญาตเล่าประวัติอย่างย่อของบุคคลเหล่านี้ตั้งแต่แรกเลยครับ
ยาคอฟ ยูรอฟสกี้
ในปี ค.ศ.1878 ยูรอฟสกี้เกิดที่เมือง Tomsk เมืองเล็กๆในดินแดนไซบีเรียอันกว้างใหญ่ของรัสเซีย เขาเกิดในครอบครัวชาวยิว ตัวเขาเกิดเป็นลูกคนที่แปดในจำนวนสิบคนของ มิคาอิล ช่างทำแก้วและ เอสเตอร์ ช่างเย็บผ้า เพราะฉะนั้นพื้นเพของครอบครัวนี้จึงเป็นชนชั้นแรงงานอย่างเต็มตัว
พ่อและแม่ของยูรอฟสกี้ทำงานสายตัวแทบขาด พวกเขาไม่อดตายแต่ห่างไกลจากความร่ำรวยมาก เพราะพ่อและแม่ต้องหาเลี้ยงลูกๆ ทั้งหมดสิบชีวิต ในดินแดนรัสเซียที่เต็มไปด้วยความไม่เท่าเทียม
ยูรอฟสกี้เล่าว่า เขาเคยถามพ่อและแม่ว่าทำไมครอบครัวของเราต้องอยู่ในบ้านหลังโทรมๆ ส่วนญาติพี่น้องของเขาใช้ชีวิตในบ้านที่ดูดีกว่าอย่างชัดเจน แม่ของเขาตอบว่า
มันดีกว่าที่จะใช้ชีวิตอย่างซื่อสัตย์แม้จะยากจนก็ตาม
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ยูรอฟสกี้เป็นคนซื่อสัตย์ตลอดชีวิตของเขา
มิคาอิล พ่อของเขาเป็นชายชาวยิวผู้เคร่งศาสนามาก ยูรอฟสกี้รู้สึกว่าเขาไม่ชอบสิ่งเหล่านี้เลย ทำให้ศาสนาเป็นสิ่งแรกๆ ที่เขาประท้วง ยูรอฟสกี้ค่อยๆ ห่างเหินจากการเป็นชาวยิวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเขาทิ้งรากฐานความเป็นคนยิวจนหมดสิ้นเมื่อเขาเปลี่ยนศาสนาเป็นลูเธอรัน (ต่อมาก็ทิ้งศาสนาอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขากลายเป็นนักปฏิวัติ)
ยูรอฟสกี้เป็นเด็กชอบคิด เมื่อเขาอายุเก้าขวบ เขามักจะคิดว่าทำไมชีวิตมันถึงโหดร้ายเช่นนี้ เขาคิดว่าเขาน่าจะเดินทางไปหาซาร์แห่งรัสเซียเพื่อทูลให้พระองค์ทราบว่าความยากลำบากของเราเป็นอย่างไร แม่ของเขามักจะบอกยูรอฟสกี้ว่าความยากลำบากมันถูกส่งจากสวรรค์และขอให้ยูรอฟสกี้ยอมรับมันไป
เมื่อเขาโตขึ้น ยูรอฟสกี้เริ่มสัมผัสได้ถึงความไม่เท่าเทียม เขารู้สึกว่าพ่อแม่ของเขาต้องทำงานหนักมาก และทำอย่างไรก็ไม่มีวันมีฐานะดีขึ้น แล้วทำไมคนบางคนถึงรวยมาตั้งแต่เกิด และใช้ชีวิตอยู่อย่างง่ายๆ สบายๆ แถมบางคนยังหยิ่งยโส ยูรอฟสกี้รู้สึกว่ามันไม่ยุติธรรมเสียเลย
ยูรอฟสกี้เป็นคนรักการเรียน และทำได้ดีระดับหนึ่ง เขาอยู่ในโรงเรียนจนอายุ 12 ขวบ พ่อของเขาก็ให้ออกจากโรงเรียนเพื่อมาค้าขาย ยูรอฟสกี้รู้สึกไม่พอใจเท่าไรนัก เขาอยากจะเรียนหนังสือต่อ แต่พ่อของเขายืนกรานให้ยูรอฟสกี้ลาออก ยูรอฟสกี้ไม่มีทางเลือก เขาจึงไปฝึกงานกับช่างนาฬิกาที่เก่งที่สุดของเมือง
พบพานนิโคลัส
ทุกคนอ่านหัวข้อไม่ผิดหรอกครับ ยูรอฟสกี้เคยพบกับนิโคลัสจริงๆ ในเวลานั้นเขาอายุ 13 ปี ส่วนนิโคลัสเป็นเซซาร์เรวิชหนุ่มวัย 22 ปี
นิโคลัสเดินทางกลับจากการไปทัวร์เอเชียโดยผ่านทางไซบีเรีย เส้นทางกลับของเขาผ่านเมือง Tomsk บ้านเกิดของยูรอฟสกี้ด้วย ผู้คนทั้งเมืองต่างพากันมาต้อนรับเซซาร์เรวิชหนุ่ม ยูรอฟสกี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย เขามองเห็นนิโคลัสผ่านร้านนาฬิกาของเขา เขาจำได้ว่าเขาโบกมือให้กับนิโคลัสอย่างมากมายในวันนั้น
ยูรอฟสกี้เล่าว่าเขายังจำได้เสมอว่า นิโคลัสที่เขาเห็นหล่อเหลาเพียงใด เขาจำได้ว่านิโคลัสพยักหน้าและโบกมือให้กับเล่าฝูงชนอย่างเป็นมิตร เขาลองชิมอาหารพื้นเมืองโดยไม่รังเกียจ และยังขี่ม้าของชาวพื้นเมืองอีกด้วย
หากแต่ว่าเมื่อยูรอฟสกี้อายุมากขึ้น เขาก็ได้ทราบว่าระบอบซาร์กดขี่ชนชั้นล่างมากเพียงใด ทัศนคติต่อระบอบซาร์เริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ เขาเคยทะเลาะกับพ่อแม่อย่างหนักเรื่องผลงานของราชวงศ์โรมานอฟ
กล่าวคือพ่อของเขาสนับสนุนซาร์นิโคลัสที่ 1 ผู้ปกครองประเทศด้วยกำปั้นเหล็ก ส่วนยูรอฟสกี้เห็นว่ามีแต่เพียงซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 2 เท่านั้นที่ควรค่าแก่การยกย่อง เพราะเขาปฏิรูปรัสเซียให้ประชาชนมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น ทั้งสองทะเลาะกันจนยูรอฟสกี้หนีออกจากบ้านไปถึงสองวัน
พ่อของเขาไม่มีวันรู้เลยว่า ลูกชายของเขาจะเป็นคนทำให้ซาร์แห่งรัสเซียและครอบครัวจบชีวิตลงในอีกยี่สิบกว่าปีข้างหน้า
ในวัยสิบแปดปี ยูรอฟสกี้ที่เริ่มเอียงซ้ายเรื่อยๆ จึงมีแนวคิดทางการเมืองแบบสังคมนิยมอย่างเต็มตัว เขาขนานนามซาร์แห่งรัสเซียว่าเป็น
ปีศาจ จอมดูดเลือด และฆาตกร และสุดท้ายฉันก็เข้าใจว่า ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพวกชาวนาและพวกแรงงาน ในขณะที่จักรพรรดินั่นแหละที่พึ่งพิงพวกเรา
นักปฏิวัติ
ในวัยเพียง 19 ปี ยูรอฟสกี้กลายเป็นแกนนำม็อบในการประท้วงครั้งแรกของพวกแรงงานในหน้าประวัติศาสตร์ของเมือง Tomsk เขาถูกจับกุมและถูกคุมขังในคุกอยู่หลายเดือน
เมื่อเขากลับมาที่ร้านนาฬิกาแห่งเดิม เขาพบว่าไม่มีใครรับคนที่มีประวัติทางการเมืองอย่างเขาเข้าทำงานอีกแล้ว (อาจจะเพราะกลัวพวกตำรวจลับหาว่าเป็นผู้สนับสนุน) รัฐบาลซาร์ก็มองว่าเขาเป็นพวกนักปฏิวัติ ทำให้เขาหางานไม่ได้เลย
ยูรอฟสกี้จึงต้องรอนแรมไปเมืองโน้นทีเมืองนี้ที จนสุดท้ายก็มาตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เมืองเยกาเตรินเบิร์กในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เมืองแห่งนี้กลายเป็นเมืองที่ยูรอฟสกี้ได้พบรักกับภรรยาของเขา ทั้งสองแต่งงานกันในปี ค.ศ.1904
เขามีลูกคนแรกในปี ค.ศ.1905 เขาตั้งมั่นว่าลูกของเขาจะต้องไม่มีชีวิตเหมือนกับเขา ยูรอฟสกี้จึงเข้าร่วมพรรคบอลเชวิคในปีเดียวกันนั้น และพาครอบครัวไปอาศัยที่กรุงเบอร์ลิน เมืองหลวงของจักรวรรดิเยอรมัน ทั้งหมดก็เพราะยูรอฟสกี้เชื่อว่าพรรคบอลเชวิคจะทำให้ชีวิตคนยากจนอย่างเขาดีขึ้นได้
ที่เบอร์ลิน ยูรอฟสกี้เปลี่ยนศาสนาเป็นลูเธอรันโดยไม่ทราบสาเหตุ ทั้งๆที่ตัวเขาเข้าร่วมพรรคบอลเชวิคที่ไม่ยอมรับศาสนาใดๆ ไปแล้ว
หลังจากนั้นยูรอฟสกี้เดินทางกลับมายังรัสเซีย และทำงานลับให้กับพวกบอลเชวิค ในที่สุดเขาก็โดนจับ และโดนเนรเทศไปเมืองเยกาเตรินเบิร์ก (อีกแล้ว) ในช่วงเวลานี้ ยูรอฟสกี้ได้เปิดร้านถ่ายรูป กิจการของเขาถือว่าใช้ได้ ตัวเขาเองเป็นนักถ่ายรูปตัวยงคนหนึ่ง
ในปี ค.ศ.1915 ยูรอฟสกี้ถูกเกณฑ์เป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่ 1 ยูรอฟสกี้เลือกที่จะเข้ารับการฝึกฝนให้เป็นทหารพยาบาล เขาเข้าร่วมในสมรภูมิคาร์เปเธียนที่กองทัพรัสเซียพ่ายแพ้ย่อยยับ การเห็นคนตายในสมรภูมิมากมายทำให้ยูรอฟสกี้กลายเป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งมาก
ความรู้สึกที่ยากลำบากของยูรอฟสกี้
หลังจากการปฏิวัติกุมภาพันธ์และการสละราชสมบัติของนิโคลัส ยูรอฟสกี้หนีจากกองทัพกลับมายังเยกาเตรินเบิร์ก ตัวเขาได้เป็นแกนนำในการสร้างกลุ่มสภาโซเวียตขึ้นมาในดินแดนอูรัลแห่งนี้ เขาได้รับตำแหน่งในสภาเป็น ผู้แทนคอมมิซซาร์ และยังเข้าร่วมหน่วยตำรวจลับ หรือ เชกา (Cheka) ในฐานะผู้นำของหน่วยคนหนึ่ง
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1918 ยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งให้มีควบคุมดูแลครอบครัวซาร์ที่บ้านอิปาตเยฟ แต่ในครั้งนี้เขาไม่ใช่คนที่ยืนมองนิโคลัสจากระยะไกลเหมือนยี่สิบกว่าปีก่อนอีกต่อไปแล้ว เขากลายเป็นผู้คุมของอดีตซาร์แห่งรัสเซียผู้นี้
ยูรอฟสกี้เป็นคนที่เข้มงวดและยึดมั่นกับอุดมการณ์ของตนเอง แต่เขาไม่ปฏิเสธว่า ครอบครัวโรมานอฟเองก็ไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เขาคิด การได้อยู่ใกล้ชิดครอบครัวนี้ทำให้เขาทำตัวลำบากมาก ยูรอฟสกี้เขียนในบันทึกของเขาว่า
ถ้าฉันไม่ได้ทำหน้าที่นี้ ฉันคงไม่มีเหตุผลที่จะต่อต้านพวกเขา หลังจากที่ฉันได้รู้จักพวกเขา มันทำให้สถานะของฉันยากลำบากมาก
แต่เพื่ออุดมการณ์ และหน้าที่ของนักปฏิวัติ ทำให้ยูรอฟสกี้ต้องทำในสิ่งที่เขาไม่ต้องการ
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1918 ยูรอฟสกี้ได้รับคำสั่งให้สังหารครอบครัวโรมานอฟ เขารีบออกไปหาโกโลเชคินทันที และขออนุญาตที่จะนำเซตเนฟ เด็กที่อยู่ในบ้านกับครอบครัวโรมานอฟออกมา
ยูรอฟสกี้บอกว่าเซตเนฟไม่มีความผิดอะไรจะไปฆ่าเพื่ออะไร ซึ่งยูรอฟสกี้ช่วยชีวิตเซตเนฟเอาไว้ได้ ด้วยการนำเขาไปไว้ที่บ้านพักของพวกผู้คุม
ความกลัวและความเสียใจ
ยูรอฟสกี้สังหารพวกโรมานอฟและข้าราชบริพารในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ.1918 รัดชินสกี้ นักประวัติศาสตร์รัสเซียตั้งคำถามสำคัญว่า ยูรอฟสกี้ได้ถ่ายรูปการสังหารในวันนั้นไว้หรือไม่ เพราะยูรอฟสกี้เองก็เป็นช่างถ่ายรูปมาก่อน และเขาก็มีกล้องที่ยึดมาจากครอบครัวโรมานอฟด้วย
ถ้ารูปนั้นมีจริงๆ จะเป็นรูปประวัติศาสตร์ที่ยากจะหารูปใดมาเปรียบเทียบได้ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีรูปดังกล่าว ผมมองว่าถ้ามีจริงๆ รูปนั้นน่าจะถูกเซ็นเซอร์ตลอดกาลโดยรัฐบาลรัสเซีย เพราะว่าสาธารณชนรัสเซียจำนวนมากไม่น่าจะรับได้
ยูรอฟสกี้ส่งของมีค่าต่างๆ ที่เขารวบรวมจากครอบครัวโรมานอฟให้กับรัฐบาล และได้ส่งมอบปืนของเขาทุกกระบอกที่ใช้สังหารครอบครัวโรมานอฟให้กับพิพิธภัณฑ์แห่งการปฏิวัติที่มอสโก
ในใจของยูรอฟสกี้รู้สึกกลัวไม่น้อยว่าพวกนิยมกษัตริย์จะล้างแค้นเขา เพราะขนาดเหล่านักปฏิวัติด้วยกันเองยังรู้สึกรังเกียจเขาเลย ยูรอฟสกี้จึงพาครอบครัวเดินทางไปพำนักที่มอสโก ตัวเขาทำงานเป็นตำรวจลับตามเดิม
ในปี ค.ศ.1920 ยูรอฟสกี้กลับมาที่เยกาเตรินเบิร์ก ในฐานะหัวหน้าตำรวจลับที่นี่ ยูรอฟสกี้เกรงว่าจะมีคนมาลอบสังหารเขา เขาจึงไม่ค่อยออกจากบ้านเท่าไรนัก เขามักจะสวมใส่เสื้อโค้ทยาวและสวมหมวกปิดใบหน้าอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้ใครจำได้
ระหว่างนี้มีนายทหารชาวอังกฤษคนหนึ่งได้พบกับเขา ยูรอฟสกี้บอกว่า เขารู้สึกเสียใจที่ได้สังหารครอบครัวโรมานอฟ ความรู้สึกนั้นได้หลอกหลอนเขาตลอดมา
ยูรอฟสกี้ย้ายกลับไปยังมอสโกหลังจากนั้น เขาได้ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลกองทุนเพชรของรัฐบาล (State Diamond Fund) กองทุนที่เพิ่งจะตั้งขึ้นมาใหม่เพื่อดูแลทรัพย์สินมหาศาลของครอบครัวโรมานอฟที่เขาสังหารไป
ตลอดเวลาหลายปียูรอฟสกี้ทำงานด้วยความซื่อสัตย์มาก เขามีชื่อเสียงในการปราบปรามการลักขโมยและการคอรัปชั่น ทำให้เวลาต่อมาเขาได้รับตำแหน่งเป็นถึง ผู้อำนวยการแผนกทองคำของกระทรวงการคลังโซเวียต
ในปี ค.ศ.1934 พวกอดีตมือสังหารครอบครัวโรมานอฟได้จัดงาน Reunion ที่บ้านอิปาตเยฟ ยูรอฟสกี้เป็นหนึ่งในคนที่ไปร่วมงานดังกล่าวด้วย นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาได้พบกับคนเหล่านั้น เพราะหลังจากนั้นไม่นาน พวกเพื่อนที่เป็นมือสังหารต่างถูกสตาลินกวาดล้างในเหตุการณ์ Great Purge
ยูรอฟสกี้โชคดีที่เขาไม่เคยต่อต้านสตาลิน และทำงานด้วยความซื่อสัตย์มาตลอด ทำให้สตาลินไม่สงสัย (แต่บุตรสาวของเขาก็ถูกส่งตัวไปค่าย Gulag) แต่สุขภาพของยูรอฟสกี้ก็ย่ำแย่ลงทุกวัน
อเล็กซานเดอร์ ลูกชายของเขาเล่าว่า พ่อของเขาถูกหลอกหลอนโดยเหตุการณ์ที่เขาสังหารครอบครัวโรมานอฟมาตลอด พ่อของเขารู้สึกเสียใจมากกับการกระทำในวันนั้น
ในวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ.1938 ยูรอฟสกี้ที่ป่วยออดๆแอดๆ ด้วยโรคในกระเพาะอาหารก็สิ้นชีวิตลงด้วยโรคหัวใจวาย เขาอายุได้ 60 ปี ร่างของเขาถูกฝังในสุสาน Novodevichy สุสานที่มีเกียรติยศสูงสุดในโซเวียตรัสเซียและเป็นรองเพียงการฝังที่กำแพงเครมลินเท่านั้น
ก่อนที่จากไป ยูรอฟสกี้เขียนบันทึกของเขาเกี่ยวกับการสังหารครอบครัวโรมานอฟไว้สามครั้ง ตามคำขอของรัฐบาลโซเวียต ได้แก่ฉบับปี (1920,1922,1927)
หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่
บทความนี้เป็นบทความเสริม อ่านบทความหลักได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ