ประวัติศาสตร์กบฏเจ็ดแคว้นต่อต้านราชวงศ์ฮั่น (1) : ปูมหลังสู่การทรยศ

กบฏเจ็ดแคว้นต่อต้านราชวงศ์ฮั่น (1) : ปูมหลังสู่การทรยศ

ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันตกนั้นได้เกิดเหตุการณ์ที่สำคัญมากเหตุการณ์หนึ่ง นั่นคือกบฏเจ็ดแคว้นหรือชีกั๋วจือล่วน (Rebellion of the Seven States, 七国之乱) ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากในหน้าประวัติศาสตร์จีน เพราะเป็นการชี้ชะตาว่าราชวงศ์ฮั่นที่พึ่งจะตั้งขึ้นมานั้นจะดำเนินไปต่อได้หรือไม่ หรือว่าจะพังพินาศ ทำให้แผ่นดินจีนแตกแยกเป็นกลียุคเหมือนกับสมัยยุคจ้านกว๋อและปลายราชวงศ์ฉิน

เราไปดูกันดีกว่าครับว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

ปูมหลัง

ย้อนกลับไปตอนที่ฉินสื่อหวงตี้รวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง พระองค์ได้โปรดให้จัดระเบียบการปกครองเสียใหม่ โดยให้ยกเลิกระบบเจ้าผู้ครองนครที่ทำให้ราชสำนักอ่อนแอ แต่ให้รวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง และจัดตั้งจังหวัดขึ้นตามลำดับ

หลังจากที่หลิวปังได้ครอบครองแผ่นดินและสถาปนาราชวงศ์ฮั่น หลิวปังหรือฮั่นเกาจู่นั้นได้ปรับระบบนี้เป็นระบบ hybrid หรือพูดง่ายๆ คือพื้นที่ครึ่งหนึ่งนั้นให้ใช้การปกครองแบบราชวงศ์ฉิน หรือขึ้นตรงต่อราชสำนักที่ฉางอาน แต่อีกครึ่งหนึ่งนั้นยกให้เชื้อพระวงศ์หรือว่าแม่ทัพที่มีความดีความชอบต่างๆ อย่างเช่น หานสิ้น อิงปู้ และเผิงเย่ว์เป็นต้น โดยแบบหลังนั้นแบ่งออกเป็นแคว้นต่างๆนับสิบแห่งด้วยกัน

เจตนารมณ์ของฮั่นเกาจู่ที่ยกแผ่นดินเป็นแบบนี้ในเวลานั้นคือให้เป็นความดีความชอบกับพวกขุนทหาร และกระจายอำนาจการปกครองออกไปเพื่อให้การปกครองทั่วถึง และถ้าเมืองหลวงฉางอานมีภัย แคว้นเหล่านี้จะได้ยกมาช่วย

ทว่าไม่นานหลังจากนั้นไม่นาน พวกแม่ทัพที่เป็นหวาง (กษัตริย์) ของแคว้นต่างๆ นั้นล้วนแต่ก่อกบฏ หรือไม่ก็ถูกลวงมาสังหารอย่างทารุณ (หานสิ้นเป็นต้น) ราชสำนักฮั่นจึงมอบหมายให้เหล่าเชื้อพระวงศ์ไปปกครองเมืองเหล่านั้นแทน เพื่อที่หมายว่าจะให้เป็นกำลังหนุนราชวงศ์เช่นเดิม ในช่วงปลายรัชกาลของฮั่นเกาจู่นั้น เหลือแต่เพียงแคว้นฉางซาที่อยู่ทางภาคใต้เท่านั้นที่ปกครองโดยผู้ที่ไม่ใช่แซ่หลิว

จริงอยู่ว่าการที่ใช้พวกเชื้อพระวงศ์ไปครองเมืองนั้นจะช่วยให้อำนาจยังคงอยู่ในแซ่หลิว แต่พวกเชื้อพระวงศ์ที่ถูกส่งไปกินเมืองนั้นมีอำนาจสิทธิ์ขาดในการบริหารไปจนถึงการควบคุมทหารในแคว้น ซึ่งเชื้อพระวงศ์เหล่านี้นั้นล้วนแต่มีสิทธิ์ในราชบัลลังก์ด้วย ทำให้ฮ่องเต้นั้นยากที่จะครองแผ่นดินอยู่เป็นสุขได้ เพราะใครจะไปรู้ว่าวันดีคืนดี พวกเชื้อพระวงศ์แบบนี้จะเป็นกบฏขึ้นมาดื้อๆ

ในสมัยฮั่นเกาจู่นั้น เรื่องแบบนี้ไม่เกิด เพราะฮั่นเกาจู่มีบารมีมาก มีขุนนางและข้าทหารที่จงรักภักดี และผู้ที่ส่งไปก็เป็นญาติสนิทของพระองค์ ทำให้ปัญหาไม่เกิด แต่หลังจากฮั่นเกาจู่ล่วงลับ ไม่มีใครสามารถควบคุมพวกเชื้อพระวงศ์เหล่านี้ได้อีกต่อไป

อย่างไรก็ดีแผ่นดินฮั่นก็อยู่เย็นเป็นสุขมาอีกสองรัชสมัย นั่นคือสมัยฮั่นฮุ่ยตี้และฮั่นเหวินตี้ โดยเฉพาะฮั่นเหวินตี้ที่ทรงมีสติปัญญาและเอาใจใส่ราชการแผ่นดิน ทำให้ราชวงศ์ฮั่นมั่นคงและอยู่อย่างสงบเป็นเวลานานหลายทศวรรษ

เรื่องเกิดเพราะบันดาลโทสะ

รัชทายาทของฮั่นเหวินตี้ทรงมีพระนามว่าหลิวฉี ในวัยเยาว์นั้น พระองค์ทรงโปรดในการเสวยสุขจนทำให้พวกขุนนางหรือแม้กระทั่งฮั่นเหวินตี้กังวลว่าจะเป็นทรราชและนำความพินาศมาสู่ราชวงศ์ ทว่าหลังจากหลิวฉีเสวยราชย์เป็นฮ่องเต้นามว่าฮั่นจิงตี้แล้ว พระองค์กลับเป็นฮ่องเต้ที่ดีพระองค์หนึ่ง ฮั่นจิงตี้ทรงขยันขันแข็งและใส่พระทัยในการลดภาษีเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนในหมู่ประชาชน และปรับการลงทัณฑ์ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

อย่างไรก็ดีฮั่นจิงตี้ทรงมีความแค้นส่วนพระองค์อยู่กับหลิวพี่ หลานลุงของฮั่นเกาจู่ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นอู๋หวาง เรื่องมีอยู่ว่าสมัยที่หลิวฉียังไม่ได้บัลลังก์นั้น หลิวเสียนบุตรชายของหลิวพี่ได้มาเที่ยวฉางอาน และได้เล่นหลิ่วโป๋ (board game ชนิดหนึ่ง) แล้วระหว่างที่เล่นกันนั้น ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโต้เถียงกันเรื่องการเล่นอย่างไร หลิวเสียนได้ดูหมิ่นหลิวฉีผู้เป็นรัชทายาทอย่างรุนแรง ทำให้หลิวฉีบันดาลโทสะใช้กระดานหลิ่วโป๋ฟาดหลิวเสียนจนสิ้นชีวิต

นับตั้งแต่บัดนั้นหลิวพี่จึงแอบซ่องสุมกำลังผู้คนตลอดจนความมั่งคั่งอย่างชัดเจน แต่ยังไม่ได้ลงมือก่อกบฏในเวลานั้น ฮั่นเหวินตี้ทรงทราบเรื่องทั้งหมดและดำริว่าเรื่องทั้งหมดเกิดจากหลิวฉีบันดาลโทสะ ดังนั้นจึงไม่ได้ทรงว่ากล่าวอันใดที่หลิวพี่แห่งแคว้นอู๋นั้นลักลอบดำเนินการที่ดูเหมือนว่าจะเป็นกบฏ

ฝ่ายฮั่นจิงตี้ (หรือหลิวฉี) นั้นก็ทราบดีว่าแคว้นอู๋นั้นมีทีท่าที่เป็นศัตรูกับพระองค์ ดังนั้นพระองค์จึงเรียกขุนนางคนสำคัญอย่างเฉาชั่วมาปรึกษา เฉาชั่วเสนอให้ฮั่นจิงตี้ทรงลงมือก่อนด้วยการใช้อำนาจของจักรพรรดิสั่งให้พวกกษัตริย์แคว้นต่างๆ นั้นตัดดินแดนส่งมอบให้ราชสำนักเพื่อเป็นการตัดกำลัง ถ้าพวกกษัตริย์เหล่านั้นจะเป็นกบฏก็ให้เป็นเสียไปให้รู้แล้วรู้รอด ดีกว่ารอเวลาต่อไปแล้วให้พวกกษัตริย์แคว้นต่างๆ มีอำนาจมากกว่านี้

หลังจากนั้นฮั่นจิงตี้จึงฉวยโอกาสที่พวกกษัตริย์เหล่านี้ทำความผิดในการยึดดินแดนกลับคืน ซึ่งทำให้พระองค์ทรงมีเหตุผลรองรับเพียงพอและปราศจากข้อครหา ตอนนั้นเรียกได้ว่าพวกกษัตริย์นั้นทำผิดอะไรสักอย่างเดียว อีกไม่นานจะมีพระบรมราชโองการให้พวกกษัตริย์คืนดินแดน

แต่จะว่าพวกกษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรผิดก็ไม่ถูก จริงๆแล้วพวกกษัตริย์เหล่านี้นั้นมีพฤติกรรมที่ก้าวร้าวต่อราชสำนักมานานแล้ว และสมควรได้รับโทษ (อย่างเช่นเคสของหลิวพี่) แต่ฮั่นเหวินตี้ พระบิดาของฮั่นจิงตี้ทรงเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เพราะไม่อยากให้วุ่นวาย ทำให้พวกกษัตริย์เหล่านี้ยังคงทำความผิดต่อไป ในครั้งนี้ฮั่นจิงตี้จึงแค่เอาจริงเอาจังกับพวกกษัตริย์มากขึ้น ทว่าก็ฉกฉวยผลประโยชน์ทางการเมืองไปด้วย

แคว้นที่เป็นเป้าหมายหลักของฮั่นจิงตี้ไม่ใช่แคว้นอื่นใด แคว้นอู๋นั่นเอง เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าหลิวพี่เป็นศัตรู และยังมั่งคั่งเพราะในพื้นที่ในปกครองมีเหมืองเกลือและทองแดงจำนวนมาก เพราะฉะนั้นแคว้นอื่นโดนยึดไปแค่จังหวัดเดียว แต่แคว้นอู๋โดนราชสำนักริบดินแดนไปสองจังหวัดเลยทีเดียว

เรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไปติดตามได้ในตอนหน้าครับ

ตอนยาวล่าสุด

แนะนำ:จ้านกว๋อ

บทความอื่นๆ

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!