หลังจากที่จัดการเรื่องภายในเสร็จสิ้นแล้ว ฉินหวางเจิ้ง (จิ๋นซีฮ่องเต้ หรือ ฉินสื่อหวงตี้ในเวลาต่อมา) จึงพร้อมแล้วที่จะจัดการกับหกแคว้นตะวันออก
ช่วงเวลานั้นหกแคว้นตะวันออกอ่อนแอลงอย่างมาก โดยเฉพาะแคว้นสามจิ้นเดิมอย่างแคว้นหาน จ้าว และเว่ย เพราะทั้งสามแคว้นได้รับความเสียหายมากที่สุดจากการทำสงครามกับแคว้นฉินมานานปี
สายตาของฉินหวางจึงอยู่ที่แคว้นหาน แคว้นที่เล็กที่สุดก่อนเป็นลำดับแรก
ทำลายแคว้นหาน
ด้วยความที่สถานการณ์สภาพในขณะนั้น แคว้นฉินมั่งคั่งเข้มแข็งเกรียงไกร แคว้นทั้งหกไม่อาจจะต่อสู้ได้เลย แต่ละแคว้นจึงพยายามจะถ่วงเวลาเพื่อซื้อชีวิตไว้ให้ได้นานที่สุด
แคว้นที่เข้าข่ายคับขันมากที่สุดคือ แคว้นหาน เพราะว่าอยู่ใกล้แคว้นฉินมากที่สุด และเป็นแคว้นที่เล็กที่สุดในบรรดาแคว้นทั้งหก
หานหวางอัน กษัตริย์แห่งแคว้นหานเกรงกลัวแคว้นฉินยิ่งนัก ด้วยเหตุนี้จึงไปเฝ้าฉินหวางอยู่เสมอ การทำเช่นนี้ทำให้แคว้นหานเหมือนกับเป็นประเทศราชของแคว้นฉินไปเรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม แคว้นหานไม่ได้ยอมอ่อนน้อมต่อแคว้นฉินอย่างจริงใจ ก่อนหน้านี้หานหวางหาทางที่จะทำให้แคว้นฉินอ่อนแอลงด้วยการส่งวิศวกรคนหนึ่งชื่อ เจิ้งกั๋ว เข้าไปยังแคว้นฉิน
ตามแผนการคือ เจิ้งกั๋วจะเสนอให้ฉินหวางสร้างสิ่งก่อสร้างที่ใช้ทรัพยากรและแรงคนจำนวนมากอย่างการขุดคลอง แคว้นฉินจะได้อ่อนแอลง อีกนัยหนึ่งการใช้แรงคนจำนวนมากเช่นนั้น แคว้นฉินจะได้ไม่มีทรัพยากรในการรุกรานแคว้นหาน ตัวแคว้นหานจะได้ยึดอายุตนเองไปอีกหน่อย
ปรากฏว่าฉินหวางอนุมัติให้ขุดคลองเชื่อมแม่น้ำจิงและแม่น้ำลั่วตามที่เจิ้งกั๋วเสนอ พอผ่านไปได้สักพักฉินหวางก็จับได้ว่า เจิ้งกั๋วเข้ามาเป็นจารชนและพยายามจะก่อความวุ่นวายในแคว้นฉิน
ฉินหวางปรารถนาจะให้สังหารเจิ้งกั๋วเสีย แต่เจิ้งกั๋วกลับกล่าวว่า
แต่เดิมข้าเข้ามาเพื่อก่อความวุ่นวาย ทว่าถ้าคลองแห่งนี้เสร็จสิ้น มันจะมีประโยชน์อย่างมากต่อแคว้นฉิน
ฉินหวางจึงอนุญาตให้เจิ้งกั๋วทำงานของเขาต่อไป ท้ายที่สุดคลองก็เสร็จสิ้น ทำให้พื้นที่เพาะปลูกของแคว้นฉินเพิ่มขึ้นมาก แคว้นฉินยิ่งกลายเป็นเสือติดปีก เพราะปัญหาเสบียงอาหารไม่พอเวลาที่ยกทัพไปรุกรานหกแคว้นตะวันออกแทบจะไม่มีอีกต่อไป
แผนการของแคว้นหานจึงกลับทำให้แคว้นฉินแข็งแกร่งขึ้น
ต่อมาในแคว้นหานมีราชนิกูลผู้หนึ่งชื่อว่า หานเฟย ผู้มีสติปัญญาเลื่องลือ เขาต้องการจะปฎิรูปแคว้นหานให้เข้มแข็ง หานเฟยจึงเสนอแผนการของตนต่อหานหวางอัน แต่กลับถูกปฎิเสธ
หานเฟยจึงเขียนหนังสือวิทยานิพนธ์ออกมาเล่มหนึ่ง เรียกกันว่าหานเฟยจื่อ แต่หานหวางอันก็ยังไม่สนใจในตัวหานเฟยอยู่ดี
ฉินหวางเจิ้งกลับได้อ่านหนังสือเล่มนั้น ทำให้ได้รับทราบว่าแคว้นหานมีบุคคลผู้ทรงปัญญา ฉินหวางจึงให้หานหวางอันส่งตัวหานเฟยเข้าไปเป็นขุนนางที่แคว้นฉิน หานหวางอันไม่มีทางปฎิเสธฉินหวางได้อยู่แล้ว จึงส่งตัวหานเฟยให้ฉินหวาง
เมื่อหานเฟยเข้าพบฉินหวาง ทั้งสองได้เสวนาเรื่องการปกครองบ้านเมือง ฉินหวางชื่นชมในสติปัญญาของหานเฟยอย่างมากจึงต้องการจะตั้งให้เป็นขุนนาง
ขุนนางแคว้นฉินและเพื่อนเก่าของหานเฟยอย่าง หลี่ซือ รู้สึกไม่สบายใจที่หานเฟยจะมาเป็นคู่แข่งของตนเอง หลี่ซือจึงใส่ความหานเฟยว่าจงรักภักดีกับแคว้นหานบ้านเกิดไม่ใช่แคว้นฉิน ฉินหวางหลงเชื่อจึงมีรับสั่งให้นำหานเฟยไปขังในคุก
ฝ่ายหานเฟยไปอยู่ในคุก เขาจึงพยายามเขียนฎีกาแสดงความบริสุทธิ์ของตนเองเพื่อถวายต่อฉินหวางเจิ้ง
ปรากฏว่าเมื่อฉินหวางอ่านแล้ว ประทับใจในสำนวนการเขียนของเขามากจึงปรารถนาจะปล่อยตัวหานเฟยออกมา
การปล่อยตัวหานเฟยเป็นสิ่งที่หลี่ซือยอมรับไม่ได้เป็นอันขาด หลี่ซือจึงให้คนนำสุรายาพิษไปกรอกปากหานเฟย จนหานเฟยเสียชีวิตในคุก หลังจากนั้นเขาทูลต่อฉินหวางเจิ้งว่าหานเฟยสำนึกในความผิดของตนเองจึงฆ่าตัวตาย
ฉินหวางเจิ้งผู้ไม่ทราบเรื่องจึงได้แต่กล่าวว่าเสียดายในสติปัญญาของหานเฟยไม่ขาดปาก ส่วนหลี่ซือลอยนวลไปได้จนกระทั่งถูกจ้าวเกาเชือดในสมัยต่อมาด้วยวิธีการใส่ความเช่นเดียวกัน ราวกับว่าเป็นกรรมตามสนองที่เขาทำไว้กับหานเฟย
หลังจากที่หานหวางอันมอบตัวหานเฟยให้ฉินหวางไปแล้วนั้น เขาคิดว่าฉินหวางน่าจะพอใจในความนอบน้อมของแคว้นหาน ดังนั้นแคว้นหานน่าจะอยู่ไปได้หลายปี
หากแต่ว่าหานหวางอันได้คิดผิดอย่างสิ้นเชิง เพราะฉินหวางกลับคิดว่า แคว้นหานเล็กนิดเดียว เครื่องบรรณาการที่ให้ก็น้อยไม่มีประโยชน์อะไร ฉินหวางเจิ้งจึงมีรับสั่งให้กองทัพฉินเข้ายึดครองดินแดนแคว้นหานทั้งหมด ตั้งเป็นจังหวัดหนึ่งของแคว้นฉิน และจับตัวหานหวางอันเข้ามาในเมืองเสียนหยาง
ในปี 230 BC (ก่อนคริสตกาล 230 ปี) แคว้นหานก็สิ้นชื่อเป็นแคว้นแรก!
หานหวางอันได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากฉินหวาง แต่ทว่าในอีกสี่ปีต่อมา เชื้อพระวงศ์แคว้นหานก่อกบฏต่อฉินหวางเจิ้ง พวกกบฎถูกฉินหวางปราบปรามได้ ฉินหวางจึงมีรับสั่งให้ปลงพระชนม์หานหวางอัน ผู้ซึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวกับการกบฏไปด้วย
พ่ายแพ้ครั้งแรก
หลังจากที่ฉินหวางล้มล้างแคว้นหานไปแล้วนั้น ฉินหวางเจิ้งจึงให้กองทัพฉินยกไปตีแคว้นจ้าว เพื่อเขมือบแคว้นจ้าวมาอยู่ในอุ้งมือให้ได้
แต่แคว้นจ้าวไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับแคว้นหาน แคว้นจ้าวมีกำลังทหารที่เข้มแข็ง ถึงแม้จะพ่ายแพ้ยับเยินในการรบที่ฉางผิง แต่แคว้นจ้าวยังมีทหารอีกหลายหมื่นคนและแม่ทัพที่มีความสามารถ แคว้นจ้าวเอาชนะการรุกรานของกองทัพฉินและกองทัพเยียนได้หลายครั้ง
ในรัชกาลของฉินหวางเจิ้ง เหลียนโปผู้เก่งกาจได้ป่วยสิ้นชีวิตไปแล้ว แต่แคว้นจ้าวยังมีแม่ทัพหลี่มู่อยู่อีกคนหนึ่ง
เดิมทีหลี่มู่เป็นแม่ทัพดูแลชายแดนด้านเหนือ เขาป้องกันชายแดนจากพวกซงหนูที่มักเข้ามาปล้นชิงทรัพย์สินและฆ่าฟันราษฎร หลี่มู่ทำลายพวกอนารยชนจนแตกยับ ถึงขนาดที่พวกซงหนูไม่กล้ามากล้ำกรายอีกนานถึง 20 ปี
ในปี 234 BC ฉินหวางเจิ้งต้องการจะเข้าบุกยึดแคว้นหาน แต่เกรงว่าแคว้นจ้าวจะเข้าช่วยเหลือ ฉินหวางจึงสั่งให้หวนหยี่ (หรือหวนจี่) เข้าโจมตีแคว้นจ้าว กองทัพฉินเข้าโจมตีผิงหยาง และหวู่เฉิงจนแตก แล้วบดขยี้กองทัพจ้าวที่นำโดย หู้เจ๋อจนแตกยับ หู้เจ๋อและทหารจ้าวหนึ่งแสนคนล้วนแต่พลีชีพในสนามรบ
กองทัพฉินเดินทัพผ่านภูเขาไท่หางและเข้ายึดครองหยีอานและชื่อลี่ แคว้นจ้าวจึงมีภัยคับชัน
จ้าวหวางเชียนเห็นสถานการณ์การศึกไม่ดีนัก เขาจึงเรียกตัวหลี่มู่มาจากชายแดนภาคเหนือเพื่อมารับศึกฉิน
กองทัพของหลี่มู่จากภาคเหนือมาสมทบกับกองทัพที่มาจากเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าว แล้วจึงเข้าเผชิญหน้ากับกองทัพฉิน
หลี่มู่คาดคะเนว่ากำลังใจของกองทัพฉินคงจะสูงลิ่วจากชัยชนะก่อนหน้านี้ กองทัพจ้าวจึงไม่ควรจะเข้าต่อสู้กับกองทัพฉิน หลี่มู่จึงสั่งให้ทหารตั้งรับอย่างเข้มแข็ง และรอเวลาที่จะเข้าโจมตี
ฝ่ายหวนหยี่ แม่ทัพฉินต้องการจะเผด็จศึกแคว้นจ้าวโดยเร็ว เพราะกองทัพของเขาเริ่มจะเหนื่อยล้าจากการศึกและการเดินทัพเข้ามาในดินแดนจ้าวหลายร้อยลี้ หวนหยี่จึงสั่งให้กองทัพเข้าโจมตีเมืองเฟยของแคว้นจ้าว เพื่อหลอกทหารจ้าวให้เข้าช่วยเหลือเมืองเฟย ตนเองจะได้เข้าโจมตีค่ายใหญ่ของกองทัพจ้าว
บรรดาเสนาธิการในกองทัพล้วนแต่ต้องการจะไปช่วยเหลือเมืองเฟย แต่หลี่มู่ปฎิเสธ เขามีคำสั่งให้กองทัพทุกกองอย่าได้เคลื่อนไหว
จนกระทั่งวันหนึ่งหลี่มู่เห็นว่ากองทัพฉินจำนวนมากล้วนแต่ถูกส่งไปตีเมืองเฟย ทำให้ค่ายหลวงของกองทัพฉินว่างเปล่า หลี่มู่จึงสั่งให้กองทัพจ้าวทุกหมวดทุกกองเข้าโจมตีค่ายหลวงฝ่ายฉินจนแตก จับเป็นเชลยศึกและสังหารทหารฉินจำนวนมาก
นอกจากนี้หลี่มู่คาดว่าเมื่อหวนหยี่ได้ทราบข่าว เขาจะต้องถอยทัพจากเมืองเฟยมาชิงค่ายคืน หลี่มู่จึงสั่งให้ทหารจ้าวดักรอตามเส้นทางที่หวนหยี่จะถอยทัพ
เมื่อหวนหยี่ทราบข่าวก็เร่งนำทัพไปยึดค่ายคืนอย่างที่หลี่มู่คาดไว้ กองทัพจ้าวที่ซุ่มอยู่ทุกทางจึงเข้าโจมตีกองทัพฉิน ทหารฉินถูกสังหารไปนับไม่ถ้วน กองทัพฉินทั้งกองทัพล้วนแต่ถูกหลี่มู่และทหารจ้าวทำลายสิ้น
สำหรับหวนหยี่นั้น เมื่อพ่ายแพ้ยับเยินก็เกรงกลัวอาญาจากฉินหวางเจิ้ง เขาจึงหลบหนีไปยังแคว้นเยียน
ข่าวความพ่ายแพ้มาถึงเมืองเสียนหยาง (ปัจจุบันคือซีอาน) เมืองหลวงของแคว้นฉิน ฉินหวางเจิ้งโกรธเป็นอย่างยิ่งที่กองทัพแสนกว่าคนถูกทำลายทั้งกองทัพ ความพ่ายแพ้ดังกล่าวเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกในรัชสมัยด้วย
เว่ยเหลียว
ฉินหวางเจิ้งกลัดกลุ้มอย่างหนักกับความพ่ายแพ้ เพราะในรัชสมัยของตน กองทัพฉินไม่เคยพ่ายแพ้ต่อผู้ใด เพิ่งจะมาพ่ายแพ้ต่อหลี่มู่ผู้นี้เป็นคนแรก
ในช่วงเวลาใกล้กัน หลี่ซือแนะนำปราชญ์ผู้มีสติปัญญาผู้หนึ่งชื่อว่าเว่ยเหลียวต่อฉินหวางเจิ้ง
ฉินหวางเจิ้งจึงมีรับสั่งให้เชิญตัวเขามา เมื่อเว่ยเหลียวเข้าเฝ้าฉินหวางเจิ้งนั้น เว่ยเหลียวกล่าวว่า
ต้าหวางต้องการจะรวบรวมแผ่นดินในใต้หล้าให้เป็นหนึ่ง แคว้นฉินของพระองค์ก็เข้มแข็ง ไม่ว่าพระองค์จะทำสงครามกับแคว้นใดๆ ถ้าแคว้นเหล่านั้นแตกกระจายไม่เป็นหนึ่งเดียว พระองค์จะรวมแผ่นดินได้โดยง่าย แต่ถ้าหากแคว้นเหล่านี้รวมตัวเป็นหนึ่ง แคว้นฉินจะได้รับความลำบาก เหมือนกับที่พวกสามจิ้นรวมตัวกันทำลายล้างตระกูลจื้อ ห้าแคว้นรวมกันทำให้ฉีหมิ่นหวางทรงพ่ายแพ้ ต้าหวางต้องทรงคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวไว้จงหนัก
ฉินหวางเจิ้งได้รับฟังก็สนใจจึงกล่าวว่าตนเองไม่ปรารถนาให้แคว้นพวกนี้รวมกัน เว่ยเหลียวจะมีวิธีการอย่างไร
เว่ยเหลียวจึงว่า
ทุกวันนี้ เหล่าขุนนางในราชสำนักแคว้นต่างๆ มีอิทธิพลมาก ข้าพเจ้าขอให้ต้าหวางอย่าได้ทรงเสียดายทรัพย์สินที่อยู่ในท้องพระคลัง ขอให้ทรงนำทรัพย์สินเหล่านั้นไปติดสินบนขุนนางเหล่านี้ให้มาก เช่นนี้พวกเขาก็จะทำให้ราชการในแคว้นต่างๆ ฟั่นเฟือนไป ข้าพเจ้าคาดว่าต้าหวางทรงลงทุนทองคำเพียงสามสิบหมื่นชั่ง เพียงเท่านี้พวกหกแคว้นตะวันออกน่าจะจบสิ้น
ฉินหวางเจิ้งได้ฟังก็ยินดียิ่ง เขามีรับสั่งให้ดูแลเว่ยเหลียวอย่างดี เมื่อฉินหวางเจิ้งไปเยี่ยมเยือนครั้งใดก็จะคุกเข่าและยกย่องให้เป็นพระอาจารย์
หากแต่ว่าเว่ยเหลียวกลับคิดว่า ฉินหวางเจิ้งเป็นคนดุร้ายทารุณ เมื่อต้องการจะใช้งานใครก็จะเคารพนบนอบ เมื่อหมดประโยชน์แล้วก็จะสังหารทิ้ง เว่ยเหลียวจึงออกจากเมืองเสียนหยางไปโดยไม่ได้ร่ำลา
ฉินหวางเจิ้งตกใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงให้ทหารตามหาเว่ยเหลียวทุกสารทิศ จนสุดท้ายก็พบเขา ฉินหวางเจิ้งเดินมาด้วยตนเองเพื่อเชิญเว่ยเหลียวกลับไปอย่างสุภาพ เว่ยเหลียวจึงยอมรับและเดินทางกลับไปกับพระองค์ ต่อมาฉินหวางเจิ้งแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บังคับบัญชาทหารทั้งหมดในแคว้นฉิน
หลังจากนั้นเว่ยเหลียวสั่งให้บรรดาจารชนนำทรัพย์สินมากมายไปติดสินบนเหล่าขุนนางใหญ่ในบรรดาแคว้นทั้งหก ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงแคว้นจ้าวด้วย
จารชนแคว้นฉินได้ติดสินบนกับกว้อไค สมุหนายกของแคว้นจ้าว ผู้เห็นทรัพย์สมบัติดีกว่าความอยู่รอดของแคว้นตนเอง หลังจากที่ติดสินบนกว้อไคแล้ว ฉินหวางเจิ้งได้มอบคำสั่งลับมาให้กว้อไคจัดการกับหลี่มู่เมื่อกองทัพฉินยกไป
สองปีต่อมาหลังจากสงครามครั้งแรก สัญญาณร้ายเกิดขึ้นกับแคว้นจ้าว มีแผ่นดินไหวใหญ่เกิดขึ้นตามด้วยภาวะแล้งอย่างหนัก ทำให้ประชาชนชาวจ้าวสิ้นชีวิตไปเป็นจำนวนมาก ที่เหลือก็อยู่อย่างอดๆ อยากๆ
ฉินหวางเจิ้งเห็นเป็นโอกาสในการรุกรานแคว้นจ้าว ในปี 229 BC เขาจึงให้หวางเจียนเป็นแม่ทัพ หยางตวนเหอเป็นรองแม่ทัพยกกองทัพไปตีแคว้นจ้าวอีกคำรบหนึ่ง
กำจัดหลี่มู่
กองทัพฉินนำมาโดยแม่ทัพมือดีที่สุดในแคว้นอย่างหวางเจียน แต่จนแล้วจนรอด แม้แต่หวางเจียนเองก็ไม่สามารถเอาชนะหลี่มู่ได้ หลี่มู่หลีกเลี่ยงการปะทะกับกองทัพฉิน และมีคำสั่งให้ตั้งรับอย่างเข้มแข็ง กองทัพทั้งสามกองที่หวางเจียนนำมาจึงต้องหยุดชะงัก และไม่สามารถเข้าถึงหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าวได้
เวลาผ่านไปนานนับปี สถานการณ์ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ฉินหวางเจิ้งยิ่งประจักษ์ว่าต้องกำจัดหลี่มู่ไปให้ได้ ฉินหวางเจิ้งจึงส่งคำสั่งลับผ่านแม่ทัพคนหนึ่งมาให้หวางเจียน เพื่อที่จะใช้กลลวงกำจัดหลี่มู่
หลังจากนั้นหวางเจียนได้ส่งทูตไปค่ายหลี่มู่อยู่หลายครั้งเพื่อเจรจาสันติภาพ หลี่มู่เองก็ส่งทูตกลับไปยังค่ายฉินเพื่อเจรจา
“การเจรจา” ของทั้งสองฝ่ายเปิดโอกาสให้ฝ่ายฉินใช้งาน “กว้อไค” สมุหนายกแคว้นจ้าวที่แคว้นฉินได้ซื้อตัวไว้แล้ว
กว้อไคได้ทูลต่อจ้าวหวางเชียนว่าหลี่มู่น่าจะเป็นกบฏเพราะมีการติดต่อกับหวางเจียนอยู่หลายครั้ง จ้าวหวางเชียนเป็นผู้ไร้สติปัญญาจึงหลงเชื่อ เขาส่งรับสั่งไปให้หลี่มู่มอบกองทัพให้แม่ทัพคนอื่นเป็นผู้ดูแล
หลี่มู่กลับปฏิเสธที่จะมอบกำลังทหารเพราะว่าตนถูกใส่ความ จ้าวหวางเชียนจึงยิ่งสงสัยหลี่มู่เข้าไปใหญ่ เขาจึงส่งคนไปจับกุมหลี่มู่และนำตัวไปประหารชีวิต
เมื่อกำจัดหลี่มู่ได้แล้ว หวางเจียนไม่มีอะไรจะต้องกังวลอีกต่อไป กองทัพฉินทั้งหมดบุกเข้าโจมตีที่มั่นของกองทัพจ้าวราวกับคลื่นที่ถาโถม
ทหารจ้าวส่วนหนึ่งที่มาจากภาคเหนือเป็นทหารของหลี่มู่มาตั้งแต่เดิม เมื่อเจ้านายถูกทำร้ายโดยปราศจากความผิดจึงโกรธแค้น และไม่รักษาที่มั่น แม่ทัพที่จ้าวหวางส่งมาใหม่ก็ไร้ความสามารถ ที่มั่นฝ่ายจ้าวจึงถูกตีแตกได้หมดทุกแห่ง
แคว้นจ้าวล่มสลาย
กองทัพฉินของหวางเจียนที่ได้รับชัยชนะเร่งบุกหน้าไปยังเมืองหานตาน เมืองหลวงของแคว้นจ้าว การต่อสู้ดำเนินไปอย่างหฤโหด แต่กองทัพฉินยังไม่สามารถเข้าเมืองได้
จ้าวหวางเชียนต้องการขอให้แคว้นอื่นๆ ยกมาช่วยเหลือ แต่กว้อไคทูลตัดรอดว่าแคว้นอื่นๆ อ่อนแอเกินกว่าที่จะยกมาช่วยได้ ดังนั้นขอให้จ้าวหวางเชียนยอมจำนนเสียเลยจะดีกว่า (สถานการณ์คล้ายกับเล่าเสี้ยนในเรื่องสามก๊ก)
หากแต่ว่าจ้าวเจีย พี่ชายต่างมารดาของจ้าวหวางเชียนยังต่อสู้ป้องกันเมืองอย่างเข้มแข็ง ตัวจ้าวเจียเองต้องการจะสังหารกว้อไคเสียในท้องพระโรง โทษฐานที่กว้อไคทูลให้ยอมจำนน จ้าวหวางเชียนจึงต้องออกมาห้าม กว้อไคถึงเอาชีวิตรอดไปได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากนั้นไม่นานจ้าวหวางเชียนก็ทำตามคำแนะนำของกว้อไค ด้วยการเปิดประตูเมืองยอมจำนนต่อกองทัพฉิน แต่จ้าวเจียไม่ยอมแพ้ เขาสู้ตายหนีออกจากเมืองไปได้พร้อมกับทหารจำนวนหนึ่ง จ้าวเจียไปตั้งแคว้นใหม่ที่เมืองไต้ เมืองทางตอนเหนือสุดของแคว้นจ้าว
การยอมจำนนของจ้าวหวางเชียนทำให้แคว้นจ้าวที่เคยยิ่งใหญ่สิ้นสุดลงอย่างเป็นทางการในปี 228 BC
จ้าวหวางเชียนได้รับการไว้ชีวิตและถูกส่งตัวไปคุมขังในที่กันดารแห่งหนึ่ง ด้วยความเศร้าโศกที่แคว้นล่มสลายเพราะความโง่เขลาของตนเองที่ประหารชีวิตหลี่มู่ จ้าวหวางเชียนจึงเสียชีวิตหลังจากนั้นไม่นาน
ส่วนกว้อไคเองก็อยู่ได้ไม่นานเช่นเดียวกัน ตัวเขาได้รับเงินทองจำนวนมหาศาลจากฉินหวางเจิ้ง ระหว่างที่เขากำลังเดินทางกลับไปยังเมืองหานตานพร้อมกับทรัพย์สินอันมากมาย กว้อไคก็ถูกกลุ่มโจรปล้นสะดม ตัวกว้อไคถูกสังหาร และทรัพย์สินที่ได้มาถูกปล้นไปทั้งหมด ว่ากันว่าบริวารของหลี่มู่เป็นผู้ลงมือเพื่อล้างแค้นให้กับเจ้านาย
หกแคว้นตะวันออกจึงเหลือเพียงสี่แคว้นเท่านั้น ภารกิจของฉินหวางเจิ้ง หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้เสร็จสิ้นไป 1 ใน 3 แล้ว
อย่างไรก็ตาม หลังจากพิชิตแคว้นจ้าวได้ไม่นาน ฉินหวางเจิ้งกลับต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด จะเป็นเหตุการณ์อะไร ติดตามได้ในตอนหน้า