ความดีความชอบของเอ่อจูหรงที่ทำให้ราชสำนักเป่ยเว่ยนั้น คงไม่มีใครอาจจะปฏิเสธได้ว่ายิ่งใหญ่มาก นอกจากจะสยบความวุ่นวายในราชสำนัก เขาได้ปราบปรามพวกกบฏ รวบรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แถมยังคุ้มกันฮ่องเต้ และเอาชนะการรุกรา่นของราชวงศ์เหลียงทางตอนใต้อีกด้วย ถ้าว่ากันแล้ว ผลงานของเอ่อจูหรงไม่ได้ด้อยกว่าโจโฉในช่วงสามก๊ก แถมยังมีฝีมือในการศึกมากกว่าด้วย
ดังนั้นไม่ว่ามุมใดก็ตาม การพระราชทานเครื่องราชเก้าสิ่งให้เอ่อจูหรงจึงเป็นรางวัลเดียวที่เหมาะสมที่ฮ่องเต้เสี้ยวจวงจะพระราชทานให้ได้ แต่การมอบเครื่องราชที่ว่าให้ก็เหมือนกับการเร่งวันตายของพระองค์เอง เพราะตลอดหน้าประวัติศาสตร์หลายร้อยปีที่ผ่านมา ไม่มีใครที่ได้เครื่องราชเก้าสิ่งแล้วไม่ชิงบัลลังก์ แล้วพอได้นั่งบัลลังก์แล้วก็สังหารจักรพรรดิราชวงศ์เดิมพร้อมเชื้อพระวงศ์จนหมดสิ้น
ด้วยเหตุนี้จักรพรรดิเสี้ยวจวงจึงตัดสินพระทัยที่จะเสี่ยง เพื่อความอยู่รอดของตัวพระองค์เองไปตลอดจนถึงราชวงศ์เป่ยเว่ยด้วย
เตรียมกำจัดเอ่อจูหรง
ในเวลานั้นจักรพรรดิเสี้ยวจวงตัดสินพระทัยแล้วว่าจะกำจัดเอ่อจูหรง ดังนั้นพระองค์จึงคบคิดกับเชื้อพระวงศ์และขุนนางคนสนิทหลายคนว่าจะชิงลงมือกำจัดเอ่อจูหรงเสียก่อน จนกระทั่งวันหนึ่งในปี ค.ศ.530 โอกาสก็มาถึง
ก่อนหน้านี้จักรพรรดิเสี้ยวจวงได้รับบุตรสาวของเอ่อจูหรงเป็นหวงโฮ่วหรือพระอัครมเหสี ทำให้เอ่อจูหรงมีศักดิ์เป็นพ่อตาของฮ่องเต้อยู่กลายๆ ในปีนั้นเอ่อจูหวงโฮ่วมีครรภ์แก่ ด้วยความที่รักและเป็นห่วงบุตรสาว เอ่อจูหรงจึงทูลฮ่องเต้ว่าจะเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงเพื่อรอรับขวัญหลานชาย รวมไปถึงให้กำลังใจบุตรสาวด้วย
เมื่อได้ยินว่าเอ่อจูหรงจะเข้ามาในวังหลวง จักรพรรดิเสี้ยวจวงจึงเรียกขุนนางคนสนิทมาประชุมด่วนว่าจะจัดการอย่างไรก็บเอ่อจูหรงดี เพราะครั้งนี้เป็นโอกาสทองที่หาได้ยากยิ่ง
ปรากฏว่าในที่ประชุมนั้นหาข้อสรุปไม่ได้ สาเหตุสำคัญคือการสังหารเอ่อจูหรงในวังหลวงนั้นไม่ยาก แต่จะทำอย่างไรกับกองทัพของเอ่อจูหรงที่อยู่ในการควบคุมของญาติพี่น้องและพรรคพวก กองทัพเหล่านี้นั้นเอ่อจูหรงเป็นแม่ทัพมานานปี และเรียกได้ว่าแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรก็ว่าได้ เพราะมีประสบการณ์ทำศึกอย่างมากมาย
ในเวลานั้นเองข่าวลือก็สะพัดกันอย่างหนาหูทั้งสองฝ่าย โดยมีทั้งลือว่าเอ่อจูหรงจะนำกองทัพมายึดอำนาจในวังหลวง รวมไปถึงลือว่าฮ่องเต้จะสังหารเอ่อจูหรง ไม่ว่าจะเป็นข้อใดก็จะต้องเกิดการนองเลือดในเมืองลั่วหยาง ประชาชนในเมืองลั่วหยางจำนวนมากจึงตัดสินใจหนีออกจากเมืองก่อน เพื่อรอเหตุการณ์ระดับ climax เกิดขึ้นในราชสำนัก
ฝ่ายเอ่อจูหรงได้ระแคะระคายเช่นกันว่าฮ่องเต้เสี้ยวจวงจะลอบสังหารตน ซึ่งก็ไม่แปลกเพราะตัวเขาเองมีสายสืบมากมายในราชสำนักที่คอยจับตาดูพฤติกรรมของฮ่องเต้ ทว่าเอ่อจูหรงมองว่าฮ่องเต้เสี้ยวจวงไม่น่าจะเด็ดขาดถึงขนาดลงมือลงไม้กับตน ทำให้เอ่อจูหรงเดินทางมายังลั่วหยางโดยที่ไม่ได้นำกองทัพขนาดใหญ่ติดตามมาด้วย แถมตอนที่เข้าไปในวังนั้นยังยอมปลดอาวุธเสียด้วย
เหตุการณ์ในวัง
การที่เอ่อจูหรงเดินทางเข้ามาในวังโดยปราศจากกองทัพและอาวุธนั้นทำให้การตัดสินใจของจักรพรรดิเสี้ยวจวงยากขึ้นอีกมาก ด้วยท่าทีที่อ่อนลงของเอ่อจูหรง ในตอนแรกพระองค์จึงมองว่าแผนการลอบสังหารเอ่อจูหรงในวันนั้นให้ยกเลิกไปก่อน แต่พวกขุนนางข้างกายกลับทูลให้พระองค์ทราบถึงข่าวลือว่าเอ่อจูหรงจะนำกองทัพมายึดอำนาจในไม่ช้า สุดท้ายแล้วพระองค์และพวกขุนนางจึงเห็นตรงกันว่า เพื่อไม่ให้โอกาสทองหลุดลอยไป วันนั้นเอ่อจูหรงจะต้องตาย
แต่ปัญหาที่สำคัญที่สุด ณ เวลานั้นคือกองทัพขนาดใหญ่ของเอ่อจูหรง จักรพรรดิเสี้ยวจวงทรงยังไม่แน่พระทัยว่าจะทำอย่างไรดี อนึ่งพระองค์ทรงมองว่าเมื่อครั้งที่ตั๋งโต๊ะถูกอ้องอุ้นสังหารที่เมืองฉางอานนั้น สิ่งที่อ้องอุ้นพลาดไปคือการไม่ได้ประกาศอภัยโทษให้กับแม่ทัพของตั๋งโต๊ะอย่างลิฉุย กุยกี หวนเตียว และเตียวเจเมื่อครั้งที่ยังมีโอกาส (อาจจะเพราะเชื่อมั่นในตัวลิโป้มากเกินไป) ดังนั้นในครั้งนี้พระองค์ทรงวางแผนว่าหลังจากสังหารเอ่อจูหรงแล้ว พระองค์จะประกาศนิรโทษกรรมให้กับเหล่าแม่ทัพของเอ่อจูหรง
ดังนั้นเมื่อเอ่อจูหรงเข้ามาในวัง เหล่าทหารที่ฮ่องเต้ซุ่มซ่อนไว้จึงจับตัวเอ่อจูหรงพร้อมกับพรรคพวกที่ตามมาด้วยมาสังหารทิ้ง เอ่อจูหรงจึงสิ้นชีวิตในวันนั้น เป็นอันปิดฉากชีวิตพญาเสือด้วยวัยเพียง 37 ปีเท่านั้น
หลังจากนั้นจักรพรรดิเสี้ยวจวงก็ทำตามแผนที่วางไว้ นั่นคือประกาศอภัยโทษให้กับพวกขุนศึกของเอ่อจูหรง แต่พระองค์ทรงไม่ทราบเลยว่า พระองค์ทรงทำผิดพลาดใหญ่หลวง เพราะปล่อยให้เอ่อจูชื่อหลง ลูกพี่ลูกน้องของเอ่อจูหรงหนีรอดไปได้
ผลที่ตามมา
พระราชสาส์นอภัยโทษนั้นมาถึงเอ่อจูชื่อหลงและพรรคพวก และเอ่อจูชื่อหลงกลับไม่แยแส เขาประกาศก้องว่าพระราชสาส์นนี้จะมีค่าอะไร เพราะขนาดคนที่มีความดีความชอบใหญ่หลวงอย่างเอ่อจูหรงนั้นฮ่องเต้ยังสังหารได้ มิประสาอะไรกับพวกตนที่เป็นเพียงขุนศึก
ดังนั้นเอ่อจูชื่อหลงจึงรวบรวมกองทัพใหญ่ที่อยู่ในการควบคุมของพวกตน และประกาศไม่ขึ้นกับราชสำนัก โดยเอ่อจูชื่อหลงได้ประกาศว่าหยวนเย่ เชื้อพระวงศ์เป่ยเว่ยเป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของพวกตน หลังจากนั้นก็เริ่มยกทัพเข้าข้ามแม่น้ำเหลืองอย่างรวดเร็ว โดยที่จักรพรรดิเสี้ยวจวงไม่ทันตั้งตัว
ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือน เมืองลั่วหยางก็เสียให้กับกองทัพของตระกูลเอ่อจู เพราะทหารองครักษ์ไม่อาจต้านทานกองทัพที่เจนศึกของตระกูลเอ่อจูได้ จักรพรรดิเสี้ยวจวงถูกจับกุมตัวได้ และถูกนำไปปลงพระชนม์ในเวลาต่อมา
อย่างไรก็ดีตระกูลเอ่อจูก็อยู่ในอำนาจได้อีกไม่ถึงปี พวกเขาก็ถูกกวาดล้างจนหมดสิ้นด้วยน้ำมือของแม่ทัพเกาฮวน อดีตขุนศึกของเอ่อจูหรงที่ลุกฮือขึ้นต่อต้านตระกูลเอ่อจูหลังจากที่ได้ปลงพระชนม์จักรพรรดิเสี้ยวจวง