Content Marketing คือการทำการตลาดผ่านการสร้าง content และเผยแพร่ให้กับกลุ่มคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของบทความ คลิปวีดิโอ รวมไปถึงสื่ออื่นๆ
ในยุคของ social media นั้น Content Marketing ได้กลายเป็นหนึ่งในวิธีการทำการตลาดที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในโลกออนไลน์ เพราะ content ที่คุณสร้างมาอาจจะเป็นไวรัล และอาจถูกแชร์ไปได้นับล้านๆ ครั้ง ส่งผลให้ธุรกิจและแบรนด์ของคุณเป็นที่รู้จัก ได้รับความสนใจ ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างยอดขายและขยายฐานลูกค้าในที่สุด
ดังนั้นคงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ธุรกิจขนาดเล็กเองก็ควรจะทำ Content Marketing ให้มีประสิทธิภาพเช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่
ในโพสนี้ผมจะมาแนะนำว่าเครื่องมือ content marketing ตัวไหนมีคุณภาพสูงและธุรกิจขนาดเล็กควรเลือกใช้งานบ้างครับ
ข้อควรทราบ: ราคา เงื่อนไข และฟีเจอร์ของเครื่องมือแต่ละตัวอาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตามความต้องการของผู้ให้บริการ ดังนั้นโปรดตรวจสอบกับเว็บไซต์ผู้ให้บริการโดยตรงเพื่อความชัดเจนครับ
1. StoryChief
หลายๆ ธุรกิจมี blog และ website เป็นของตัวเอง และเมื่อขนาดเว็บไซต์ของคุณเริ่มใหญ่ขึ้น สิ่งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุดก็คือการจัดการ content ที่คุณสร้างขึ้นมาอย่างมากมาย
สาเหตุก็เพราะใช้เวลามาก แถมยังซ้ำซ้อนชวนง่วงอีกด้วย โดยส่วนตัวผมว่ามันเป็นยานอนหลับชั้นดี แต่จะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมันเกี่ยวพันถึง Traffic และ User experience ซึ่งเป็นสองสิ่งที่สำคัญยิ่งสำหรับ Blog หรือ Website ใดๆ
แม้ว่าขนาดเว็บไซต์ของผมไม่ได้ใหญ่โตอะไร บางครั้งผมยังต้องใช้เวลานับชั่วโมงในการจัดการบทความที่ผมเขียนขึ้นมาให้เข้าที่เข้าทาง ความน่าเบื่อทำให้บางทีผมต้องยอมดินพอกหางหมู ด้วยการเลื่อนไปเรื่อยๆ บางครั้งเลื่อนไปเลื่อนมาถึง 2 เดือนเลยทีเดียว!
หากแต่ว่าถ้าคุณมีเครื่องมือ Content Marketing อย่าง StoryChief การจัดการ content จะง่ายขึ้น เร็วขึ้น และไม่ใช่เรื่องสุดเซ็งอีกต่อไป
StoryChief เป็นอีกหนึ่งในซอฟต์แวร์ Content Marketing ที่ช่วยให้คุณจัดการบทความต่างๆ บนเว็บไซต์ ได้ในพริบตา ทำให้คุณและทีมงานได้เวลาอันมีค่ากลับคืนไปอย่างมาก ทั้งนี้คุณสามารถใช้ StoryChief ในการจัดการได้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น Blog ที่สร้างขึ้นจาก WordPress, Social Media posts, Newsletter และอื่นๆ อีกมากมายครับ
ลองดู Intro ของ StoryChief ย่อๆ ได้จากคลิปด้านล่างครับ (กด play ได้เลย)
ฟีเจอร์ของ StoryChief
- Content Editor – ทีมงาน content marketing สามารถเขียนบทความได้อย่างง่ายดายผ่านทางแพลตฟอร์ม คุณสามารถตรวจสอบดูได้ด้วยว่าพวกเขากำลังเขียนอะไรอยู่ ให้ feedback ตามความเหมาะสม และเข้า take over ตัวบทความได้ทันทีถ้าต้องการ
- Content Approval – บทความที่เขียนเสร็จแล้วจะถูกส่งให้คุณหรือ Editor ของคุณตรวจสอบก่อนที่จะโพสลงบนเว็บไซต์ นอกจากนี้ถ้าคุณใช้ WordPress และจ้างคนนอกมาเขียนบทความให้กับคุณ พวกเขาสามารถส่งบทความได้โดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าถึง wp-admin ทำให้ไม่เกิดปัญหาความลับรั่วไหลอย่างแน่นอนครับ
- Protect/Restore Content – ได้รับข้อมูลอย่างแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แก้ไข content และสามารถนำเวอร์ชันที่ยังไม่ถูกแก้ไขกลับมาใช้ได้ในพริบตา
- Optimized SEO Editor – SEO Editor ซึ่งจะช่วยตรวจสอบดูว่า บทความของคุณถูก optimized สำหรับ SEO แล้วหรือยัง
- Interactive Media – คุณสามารถแนบ content ได้จากแทบทุกอย่างที่มีอยู่บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็น Social media ต่างๆ, Google Maps, Youtube และอื่นๆ อีกมากมาย
- Content Calendar – จัดการลูกทีมที่ทำ content marketing ให้คุณอย่างง่ายดาย ด้วยการสั่งงานและตั้งเดตไลน์จากปฏิทินแบบ Bird’s eye view
- Multi-channel Distribution – ภายในคลิกเดียว StoryChief จะโพสบทความของคุณลงบนเว็บไซต์, social media ทุกตัวที่คุณเป็นเจ้าของ หรือแม้กระทั่งใน medium ของคุณ หรือถ้าคุณต้องการจะตั้งเวลาโพสก็สามารถทำได้เช่นกัน ซึ่งจะทำให้เหมือนกับเป็น Social Media Management ในตัวด้วยครับ
- Analysis – ข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับบทความที่โพสไปจะถูกส่งตรงมายังแพลตฟอร์มเพื่อรอให้คุณนำไปวิเคราะห์ต่อไป
- Ambassadors – จัดการ Influencer ของคุณทุกคนบนแพลตฟอร์มเดียว คุณสามารถส่งอีเมล์ไปหาทุกคนเพื่อแจ้งว่า content ใหม่ของคุณถูกโพสแล้ว และขอให้พวกเขาแชร์โพสดังกล่าวไปยังแพลตฟอร์มต่างๆ
- PDF, Word, Assets Export – ดาวน์โหลดบทความของคุณออกไปแบบ offline เช่น PDF, Word ฯลฯ
- และอื่นๆ อีกมากมาย
โดยเฉลี่ยแล้วธุรกิจที่ใช้ StoryChief จะประหยัดเวลาไปมากถึง 6 ชั่วโมงต่อวันเลยทีเดียว และเพิ่ม Leads ได้มากเป็น 10 เท่าในปัจจุบัน StoryChief จึงเป็นซอฟต์แวร์ content marketing อันดับต้นๆ อย่างไม่ต้องสงสัยครับ
จุดแข็งอีกอย่างหนึ่งของ StoryChief คือสามารถ Integrate กับ CMS อย่าง WordPress, Shopify, Drupal, Magento ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงซอฟต์แวร์ Marketing Automation อย่าง ActiveCampaign และ Hubspot ด้วยครับ
มาถึงตรงนี้ หลายคนอาจจะสงสัยว่าซอฟต์แวร์ที่ดีอย่าง StoryChief ราคาจะอยู่ที่เท่าไร?
ราคาของ StoryChief
แพลนของ StoryChief มีอยู่ 4 แพลนด้วยกันได้แก่ (UPDATE: Oct 2020)
- Team Plan – เริ่มต้นที่ $90 หรือประมาณ 2,700 บาทต่อเดือน
- Agency Plan – เริ่มต้นที่ $225 หรือ 6,750 บาทต่อเดือน
- Custom Plan – เริ่มต้นที่ $750 หรือ 1,350 บาทต่อเดือน
ในส่วนของฟีเจอร์ทุกแพลนแทบจะเหมือนกันหมด สิ่งที่แตกต่างก็คือจำนวนทรัพยากรที่ให้ครับ กล่าวคือ Team Plan จะใช้งานได้แค่ 4 Users พร้อมกันเท่านั้น แต่ถ้าเป็น Agency จะให้ใช้ได้ 25 คน และเพิ่ม Workspace จาก 1 เป็น 5 ตัวด้วยกัน รวมไปถึงเก็บ Ambassador Contacts ได้มากขึ้นจาก 200 คนเป็น 1,000 คน ส่วนแพลน Custom จะเพิ่ม Account Manager เพิ่มเข้ามาครับ
เนื่องจากฟีเจอร์ของทุกแพลนเหมือนกันหมด ผมจึงมองว่าถ้าทีมของคุณมีไม่มากนัก ตัวเลือกที่ดีก็คือใช้งาน Team Plan ครับ แล้วค่อยเพิ่ม User ตามลำดับ เพราะการเพิ่ม User 1 คนจะเสียเพิ่มที่ $15 หรือประมาณ 450 บาทต่อเดือน
อย่างไรก็ดีถ้าทีมของคุณเกิดมากกว่า 13 คน คุณควรจะอัพเกรดไปใช้ Agency Plan ครับ เพราะว่าการเพิ่ม User จะไม่คุ้มค่าแล้วครับ
สำหรับใครที่ยังสงสัยในเรื่องราคา สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ StoryChief Pricing ครับ
StoryChief ให้คุณใช้ได้ฟรี 14 วันโดยไม่ต้องใส่ Credit Card ใดๆ
รีวิว: 4.5/5.0 จาก g2 และ 4.7/5.0 จาก Capterra
2. SEMrush
SEMrush เป็นอีกเครื่องมือ content marketing ที่น่าสนใจมาก และมีฟีเจอร์หลายอย่างที่ต่างออกไปจาก StoryChief ความหลากหลายของ SEMrush เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้ซอฟต์แวร์ตัวนี้ครองใจผู้ใช้งานมากถึง 6 ล้านคนครับ
จะว่าไปแล้ว SEMrush เป็นทั้งซอฟต์แวร์ที่ทำได้ทั้ง Content Marketing, Social Media Management, Social Listening รวมไปถึง Content Curation ในตัวเดียวครับ
อย่างด้านล่างคือหน้าตาของแพลตฟอร์ม SEMrush ที่ผมใช้งานอยู่
ฟีเจอร์และราคาของ SEMrush
- Topic Research – หา Topic ที่กำลังเป็นกระแสในโลกออนไลน์ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหนหรือเมืองไหนก็ตาม SEMrush ก็สามารถหาให้คุณได้หมด การสรรหายังละเอียดมากโดยครอบคลุมทั้งรูปแบบคำถามเพื่อให้รองรับ Voice search นอกจากนี้ตัวแพลตฟอร์มยังสามารถเลือก headline ที่เหมาะสมสำหรับโพสของคุณได้ด้วย
- Marketing Calendar – สร้าง Marketing Calendar เพื่อจัดการการสร้าง content และ campaign การตลาดอื่นๆ ทำให้คุณและทีมงานทำงานได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้บนแพลตฟอร์มจะเก็บรายละเอียดสำหรับการทำ campaign โฆษณาไว้ด้วยครับ
- SEO Content Template – สร้าง template และได้รับคำแนะนำที่เหมาะสมกับการทำ SEO ภายในเสี้ยววินาทีเพื่อให้แต่ละโพสของคุณมี On-page SEO ที่ดี นอกจากนี้ตัวแพลตฟอร์มจะแนะนำคำคล้าย (Semantically related words) ให้คุณนำไปใช้งานด้วย
- SEO Writing Assistant – SEMrush จะตรวจสอบ content ที่คุณสร้างโดยอัตโนมัติว่าเหมือนกับคนอื่นมากเกินไปหรือไม่ และมี On-page SEO ที่ดีเพียงพอแล้วหรือยัง
- Brand Monitoring – เครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบว่ามีการพูดถึงแบรนด์ของคุณอย่างไรบ้าง คุณสามารถนำไปใช้เพื่อตรวจสอบประสิทธิภาพของการทำ PR ตลอดจนหา Influencer หน้าใหม่ให้กับคุณได้อีกด้วย
- Content Audit – ตรวจสอบว่าบทความไหนของคุณที่ต้องการการ update ตัวแพลตฟอร์มจะวิเคราะห์ให้คุณโดยอัตโนมัติ พร้อมกับข้อเสนอแนะครับ
- Post Tracking – ตรวจสอบว่าบทความของคุณได้รับการตอบรับดีเพียงใด ไม่ว่าจะเป็น social engagement หรือ backlink หรือ referral traffic ครับ
- Domain & Keyword Research – SEMrush สามารถใช้ตรวจสอบ Keyword ที่น่าสนใจบน search engine ได้อย่างละเอียด นอกจากนี้ยังใช้สอดส่องข้อมูลของคู่แข่งได้อีกด้วย
- Reporting – SEMrush สามารถสร้างรายงานข้อมูลต่างๆ ให้คุณได้อย่างละเอียด
- Social Media Management – บริหารบัญชี Social Media ของคุณไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Instagram, LinkedIn, Google My Business และ Pinterest ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลมาวิเคราะห์ จัดการการโฆษณา ส่องเพจคู่แข่ง จัดระเบียบการโพส ฯลฯ
- และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ข้อ 1 ถึง 7 ที่อยู่ในฟีเจอร์ด้านบนเป็นส่วนของ Content Marketing Platform ของ SEMrush ซึ่งจัดว่าเป็นฟีเจอร์ระดับพรีเมียมครับ ดังนั้นแพลนสมาชิกราคาถูกที่สุดของ SEMrush จะไม่สามารถจะใช้งานเครื่องมือเหล่านี้ได้ ถ้าคุณอยากจะใช้งาน คุณจะต้องสมัคร 2 แพลนต่อไปนี้ครับ
- Guru ($199.95 หรือ 6,000 บาทต่อเดือน)
- Business ($399.95 หรือ 12,000 บาทต่อเดือน)
การใช้งาน SEMrush ตามราคาด้านบนจะใช้ได้เพียง user เดียวเท่านั้น ถ้าคุณต้องการเพิ่ม User จะต้องเสีย $140 หรือประมาณ 4,200 บาทต่อเดือนครับ
สำหรับสองแพลนนี้ แพลนที่เหมาะสมและเพียงพอคือ Guru ครับ เพราะมีฟีเจอร์ทุกอย่างครบถ้วนสำหรับการทำ Content Marketing ส่วนแพลน Business นั้นจะใช้งานสำหรับ Agency ในสายงาน Digital Marketing ที่ต้องการข้อมูลมหาศาล หรือว่าการทำ Report แบบ White Label ครับ
ในกรณีที่ยังสงสัยสามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ SEMrush Pricing ครับ
ถ้าเทียบกับ StoryChief แล้ว แม้ว่าจะมีฟีเจอร์ที่ทับซ้อนกันบ้าง แต่ฟีเจอร์ SEMrush จะแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจน เพราะ SEMrush จะเน้นไปที่การค้นหาเรื่องที่น่าสนใจมาเขียนบทความ แต่ StoryChief จะช่วยให้ส่วนของการผลิตบทความบนแพลตฟอร์มให้สะดวกสบาย ดังนั้นคุณสามารถใช้ทั้งสองตัวร่วมกันได้ครับ
SEMRush ให้คุณใช้งานได้ฟรี 7 วัน
รีวิว: g2 – 4.5/5.0, Capterra – 4.6/5.0
3. Promo
ในยุคนี้กระแส content marketing ที่มาแรงที่สุดคงหนีไม่พ้นคลิปวีดิโอ เห็นได้จากจำนวน Youtuber ที่เพิ่มจำนวนขึ้นเป็นดอกเห็ดจนทำให้อุตสาหกรรมโทรทัศน์ที่เคยอยู่ยงคงกระพันต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งที่น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
หลายคนอาจจะคิดว่าคลิปดีๆ สร้างยากมาก แต่จริงๆ แล้วในปัจจุบันมีเครื่องมือหลายตัวที่ช่วยให้คุณผลิตคลิปเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นมาก หนึ่งในตัวที่น่าสนใจก็คือ Promo ครับ
ฟีเจอร์ของ Promo
Promo คือเครื่องมือสามารถที่ใช้สร้าง marketing video ได้แทบจะทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นคลิป content สั้นๆ ไม่เกิน 5 นาทีที่ลงใน Social Media หรือ Youtube รวมไปถึง video ads ทุกประเภท ทั้งนี้การสร้างวีดิโอตั้งแต่ต้นจนจบสามารถทำได้บน Browser ของคุณ โดยที่คุณไม่ต้องลงโปรแกรมใดๆ ทั้งสิ้น
ลองดูตัวอย่างการใช้งานจากคลิปด้านล่างครับ (กด play ได้เลย)
จุดแข็งของ Promo คือความง่ายดายในการใช้งาน (ง่ายมากจริงๆ) โดยมี video template คุณภาพสูงให้คุณเลือกสรรและนำไปใช้ได้ทันทีมากกว่า 2,500 แบบ หลังจากนั้นคุณแค่ลากวางทุกอย่างลงไปในคลิปก็เสร็จแล้ว
ถ้าเป็นโปรแกรมอื่นอย่างเช่น Adobe Premiere อาจจะใช้เวลา 2-3 ชั่วโมง แต่ถ้าใช้ Promo จะเหลือแค่ 5-10 นาทีครับ ความที่ตัวซอฟต์แวร์ใช้ง่ายมากๆ ทำให้คนที่ไม่มีทักษะด้านการทำวีดิโอมาก่อนเลยอย่างเช่นผม สามารถใช้งานได้อย่างสบายๆ
อย่างไรก็ดีถ้าคุณสนใจจะสร้างทุกอย่างขึ้นมาเองโดยไม่ง้อ template ก็ทำได้เช่นกันครับ
จุดแข็งอีกอย่างของ Promo คือ คุณสามารถใช้งาน Stock Footage ของ Getty และ Shutterstock ได้ฟรีๆ รวมแล้วมากถึง 23 ล้านคลิปเลยทีเดียว เช่นเดียวกับเพลงและไฟล์เสียงคุณภาพสูงอีกจำนวนมากที่มีให้ใช้อย่างถูกลิขสิทธิ์ด้วย
ดังนั้นเรียกได้ว่าทุกอย่างมีพร้อมใช้งาน ทรัพยากรที่มากมายเช่นนี้ทำให้คุณสร้างคลิปวีดิโอชั้นยอดได้มากมายไม่รู้จบเลยครับ
ถ้าคุณต้องการ upload รูปภาพ, วีดิโอ, หรือ voice-over ของคุณเองก็สามารถทำได้อย่างง่ายๆ ด้วยการกด upload หลังจากนั้นตัวไฟล์จะถูกโหลดเข้าแพลตฟอร์มให้คุณนำไปสร้างวีดิโอได้ทันทีครับ
การใช้งานก็รองรับภาษาไทยได้เป็นอย่างดี อย่างด้านล่างผมลองสร้างคลิปแบบง่ายๆบนแพลตฟอร์มครับ
พอพร้อมจะดาวน์โหลดแล้วก็จะมี Preview ให้ดูแบบนี้
สำหรับรายละเอียดอื่นๆ เรื่องฟีเจอร์ต่างๆ ของ Promo สามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Promo Features ครับ
จากที่ลองใช้มา ผมว่าข้อเสียของ Promo มีอยู่อย่างเดียว ในปัจจุบันความละเอียดสูงสุดของคลิปวีดิโอที่ Promo สามารถสร้างได้คือ 1080p (Full HD) เท่านั้น ถ้าคุณต้องการไปไกลกว่านั้นจะยังไม่มีให้บริการครับ นอกจากนี้คลิปวีดิโอจะมีความยาวสูงสุดได้แค่ 5 นาทีเท่านั้น
ราคาของ Promo
ถัดไปเรามาดูเรื่องราคากันบ้างดีกว่า Promo คิดค่าใช้งานเป็นแบบสมาชิกครับ โดยประกอบด้วย 3 แพลนด้วยกัน
- Basic – เริ่มต้นที่ $39 หรือ 1,170 บาทต่อเดือน
- Standard – เริ่มต้นที่ $69 หรือ 1,970 บาทต่อเดือน
- Pro – เริ่มต้นที่ $249 หรือ 7,470 บาทต่อเดือน
การที่จะได้ราคานี้คือต้องสมัครเป็นรายปีครับ ถ้าจ่ายแบบเดือนต่อเดือน ราคาจะแพงกว่านี้ประมาณ 20%
ความแตกต่างของแต่ละแพลนอยู่ที่การใช้งานล้วนๆ โดยฟีเจอร์จะไม่ต่างกันเลยครับ อย่างเช่น Basic จะใช้งาน Premium Clips ของ Getty และ Shutterstock ได้แค่ 36 คลิปต่อปี (หรือ 3 คลิปต่อเดือน) เท่านั้นและไม่สามารถใช้ font ของคุณเองได้เป็นต้น ลองอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Promo Pricing
ผมมองว่าสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก รวมไปถึง Youtuber ทั่วไป แบบ Standard เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะใช้คลิปจาก Getty และ Shutterstock ได้ไม่จำกัด และสามารถ upload font รวมไปถึงใช้งาน Watermark ของตัวเองได้ แต่ไม่จำเป็นต้องใช้งานระดับ Pro เพราะสิ่งที่เพิ่มมามีแค่ White Label Sharing และ Reseller rights ซึ่งใช้งานโดย Agency โฆษณาครับ
ในส่วนของลิขสิทธิ์ หลังจากที่คุณสร้างวีดิโอไปแล้ว คุณสามารถใช้งานได้ตลอดชีพ แม้ว่าจะไม่ได้เป็นสมาชิกแล้วก็ตามครับ
ทั้งนี้คุณสามารถลองสร้างวีดิโอโดยใช้ Promo ได้ฟรีโดยไม่ต้องใส่ข้อมูลเครดิตการ์ดใดๆ
รีวิว: g2 – 4.3/5.0, Capterra – 4.6/5.0
4. Outgrow
การทำ content marketing ด้วยการเขียนเป็นบทความหรือวีดิโอนั้นก็ดีอยู่ แต่นานวันเข้าก็เริ่มจะเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายทั้งฝั่งผู้ทำและผู้อ่าน การสรรหา content รูปแบบใหม่สำหรับการทำการตลาดออนไลน์จึงเป็นทางเลือกที่ดีอย่างยิ่ง
Outgrow คือซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้คุณสร้าง content ที่ช่วยเพิ่ม Engagement ได้อย่างมากมาย โดยไม่ต้องเขียน code ลองดูคร่าวๆ ได้จากคลิป Youtube ด้านล่าง (กด play ได้เลยครับ)
ฟีเจอร์ของ Outgrow
ตัวอย่าง content ที่สร้างได้จาก outgrow คือ
- Quiz & Assessments – สร้างควิซหรือแบบประเมินแบบ Interactive ที่จะสำรวจความต้องการของลูกค้าโดยอัตโนมัติ ตัวควิซจะให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า และทำให้พวกเขารู้สึกสนุกไปด้วยในคราวเดียวกัน
- Ecommerce Recommendations – สำหรับเว็บไซต์ e-commerce คุณสามารถสร้างแบบสอบถามลูกค้า และแนะนำสินค้าที่เหมาะสมให้กับลูกค้าได้ทันที หลังจากที่ลูกค้าตอบคำถามเสร็จ
- Interactive Calculators – ใบเสนอราคาหรือบทความยาวๆที่อธิบายเรื่องราคาของสินค้าเป็นสิ่งที่เบื่อหน่าย แถมบางทียังอ่านยากและไม่น่าสนใจ ดังนั้นการใช้งาน Interactive Calculator โดยให้ลูกค้าใส่ความต้องการของตนเอง และได้รับทราบราคาทันทีผ่านทางเครื่องคิดเลขที่หน้าตาสวยงามจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจกว่ามาก
- Form & Surveys – สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าและบริการ สร้างแบบฟอร์มที่ดูสวยงามและใช้งานง่ายจะช่วยคุณเก็บข้อมูลของลูกค้า ข้อมูลดังกล่าวสามารถใช้สร้าง content ใน Email marketing หรือใช้ทำโฆษณาแบบ personalized รูปแบบอื่นกับลูกค้าต่อไป
- Giveaways/Contests – จัด Campaign แบบ Interactive เพื่อแจกของรางวัลแก่ลูกค้า
- และอื่นๆ อีกมากมาย
ทั้งนี้ Content ที่คุณสร้างมาเหล่านี้สามารถ embed บนเว็บไซต์ได้ทุกรูปแบบ ไม่จะเป็นแบบ Full Screen, Pop Up, Chatbot หรือ iframe ครับ และใช้งานในทุกขั้นตอนของ marketing funnel ไม่ว่าจะเป็นขั้น awareness, acquisition, activation หรือ retention ครับ
อีกสิ่งที่มาพร้อมกับ content เหล่านี้คือ Analytics และ Tracking ครับ ข้อมูลต่างๆ จะถูกตัวแพลตฟอร์มเก็บอย่างละเอียด เพื่อให้คุณนำไปใช้วิเคราะห์ต่อไป
จากผลการสำรวจของ Outgrow พบว่าการใช้งาน content รูปแบบนี้ช่วยเพิ่ม ROI จาก 10% เป็น 90%, เพิ่ม Conversion จนสูงมากกว่า 30% ซึ่งถือว่ามีประสิทธิภาพอย่างมากเลยครับ ลองดูข้อดีของการใช้งาน Interactive Content ได้จากคลิปด้านล่างครับ
ราคาของ Outgrow
ถัดไปเราไปดูเรื่องราคากันดีกว่า แพลนของ Outgrow มี 4 แบบด้วยกัน (ราคาด้านล่างเป็นราคาเฉลี่ยต่อเดือนสำหรับสมาชิกรายปี หมายความว่าถ้าคุณจะได้ราคานี้ คุณจะต้องสมัคร 12 เดือนในทันทีครับ)
- Freelancer (Quiz only) – เริ่มต้นที่ $14 หรือ 420 บาทต่อเดือน
- Freelancer – เริ่มต้นที่ $25 หรือ 750 บาทต่อเดือน
- Essentials – เริ่มต้นที่ $95 หรือ 2,850 บาทต่อเดือน
- Business – เริ่มต้นที่ $600 หรือ 19,500 บาทต่อเดือน
สิ่งที่ต่างกันในแต่ละแพลนก็คือฟีเจอร์และจำนวน Lead ที่คุณสามารถได้จาก Outgrow ในแต่ละปีครับ อย่างเช่นถ้าแพลน Quiz Only ก็จะสร้างได้เฉพาะ Quiz จริงๆ ถ้าเป็นแพลนสูงขึ้นมาจะมีฟีเจอร์ครบทุกอย่าง และสามารถได้ Lead มากขึ้นด้วย ถ้าสงสัย ลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Outgrow Pricing ครับ
สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ผมมองว่าแค่แพลน Freelancer ที่ราคา $25 ต่อเดือนก็เพียงพอแล้วครับ เพราะว่าสามารถใช้สร้างได้เกือบทุกอย่าง ยกเว้นแต่ Chatbot และ Chart ต่างๆที่สร้างไม่ได้ นอกจากนี้จำนวน Lead สูงสุดที่ 12,000 ครั้งต่อปียังถือว่าเหลือเฟือสำหรับธุรกิจขนาดเล็กครับ
Outgrow ให้คุณใช้งานฟรีได้ 7 วัน
รีวิว: g2 – 4.8/5.0, Capterra – 4.9/5.0 (ถือเป็นซอฟต์แวร์ที่ได้คะแนนรีวิวสูงที่สุดที่ผมเคยเห็นมาเลยทีเดียว)
สรุป: ใช้งาน Content Marketing Software ตัวไหนดี?
จากทั้ง 4 ตัวที่ผมแนะนำไป คุณจะเห็นว่าแนวทางการใช้งานจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน กล่าวคือถ้าคุณต้องการจัดการ content บนเว็บไซต์ คุณควรจะใช้ StoryChief แต่ถ้าต้องการหาข้อมูลสำหรับการสร้าง content ก็ต้อง SEMrush ในขณะที่ถ้าเป็นการสร้างวีดิโอก็ต้อง Promo และถ้าอยากได้ Interactive content ก็ต้อง Outgrow ครับ
ด้วยความที่ซอฟต์แวร์แต่ละตัวช่วยเหลือคุณในคนละด้านของ Content Marketing ทำให้คุณสามารถใช้งานทุกตัวร่วมกันได้ครับ