Social Media Management Tools เป็นเครื่องมือที่ธุรกิจใช้ในการบริหารจัดการโซเชียลมีเดียของบริษัทแบบบูรณาการ เครื่องมือเหล่านี้สามารถจัดการ account ต่างๆ ในโซเชียลมีเดีย (อย่างเช่น Facebook Page) อันหลากหลายได้จากแพลตฟอร์มเดียว และช่วยลดเวลาที่ต้องมาใช้จัดการลงไป
การใช้เครื่องมือเหล่านี้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะทุกคนคงเคยได้ยินข่าวที่ว่าฟรีแลนซ์หรือบริษัท outsource โฆษณาลืมสลับ account ของ Facebook ทำให้เผลอโพสข้อความที่สุ่มเสี่ยงต่อการเกิดดราม่าลงไป ซึ่งส่งผลกระทบในทางลบต่อแบรนด์และภาพลักษณ์ของบริษัทอย่างมากเลยทีเดียว
นอกจากนี้ถ้าคุณจัดการบัญชี Social Network เอง (หรือที่เรียกกันว่า In-house) เมื่อลูกค้าแจ้งปัญหาเข้ามา คุณและทีมงานจะเข้าถึงปัญหาได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องรอทีม outsource แจ้งเข้ามาซึ่งจะทำให้ Customer Experience ของลูกค้าดีขึ้นอย่างมากด้วย
ผู้ประกอบการหลายคนอาจจะคิด Social Media Management Tools มักจะมีราคาสูงเกินไปสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก แต่จริงๆ แล้วมีเครื่องมือหลายตัวที่ไม่ได้แพงขนาดนั้น และมีประสิทธิภาพในการใช้งานไม่แพ้เครื่องมือที่มีราคาแพง ในโพสนี้เราจะมาดูกันครับว่ามีตัวไหนที่น่าใช้บ้าง
ข้อควรทราบ: ราคา เงื่อนไข หรือแม้กระทั่งฟีเจอร์ของ Social Media Management Tools ในโพสนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้นผมแนะนำให้ตรวจสอบที่เว็บไซต์ผู้ให้บริการให้ดีก่อนที่จะตัดสินใจใดๆ ครับ
1. SocialPilot
SocialPilot เป็น Social Media Management Tools คุณภาพเยี่ยมที่ใช้งานได้ทั้งธุรกิจขนาดเล็กไปจนถึงบริษัท Agency โฆษณา จุดแข็งของ SocialPilot คือคุณสามารถใช้บริหาร account ได้เรียกว่าครบจะทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น Facebook, Instagram, Twitter, Linkedin, Google My Business (GMB), Pinterest, Tumblr, VK หรือแม้กระทั่งที่มาแรงสุดๆ อย่างเช่น Tiktok ครับ
ความหลากหลายเหล่านี้เรียกได้ว่ายากมากๆ ที่จะหาเครื่องมือตัวไหนที่จะมาเหนือกว่าได้ครับ ปัจจุบันบริษัทระดับโลกจำนวนมากอย่างเช่น Walmart และ Automattic ต่างเป็นลูกค้าของ SocialPilot รวมไปถึงหน่วยงานของรัฐอย่างกองทัพสหรัฐอเมริกาด้วยครับ
เรามาดูฟีเจอร์ของ SocialPilot กันดีกว่าครับ
ฟีเจอร์ของ SocialPilot
SocialPilot มีฟีเจอร์ที่ช่วยคุณบริหารจัดการ account ในโซเชียลมีเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ว่าจะเป็น
Publishing & Scheduling – SocialPilot สามารถช่วยโพสทุกสิ่งที่คุณต้องการได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว ทำให้คุณไม่ต้องยุ่งยากไปกับการเปิด Facebook, Twitter, Pinterest ฯลฯ เพื่ออัพเดต content ให้กับผู้ติดตามอีกต่อไป
จากในรูปด้านล่างจะสังเกตว่ามีแค่ Facebook เท่านั้น ซึ่งไม่แปลกอะไรเพราะผมได้ connect account กับแค่ Facebook ครับ ถ้าคุณมีมากกว่านี้ account อื่นๆ อย่างเช่น Twitter, Linkedin ฯลฯ ก็จะเรียงรายกันไปครับ
นอกจากนี้คุณยังสามารถตั้งเวลาในการโพสได้อย่างสะดวกสบาย คุณสามารถเลือกได้ว่าให้โพสช่วงเวลาไหน หรือว่าจะให้ SocialPilot เลือกช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการโพสก็ได้ครับ แต่ถ้าไม่อยากโพสก็สามารถเก็บไว้เป็น Draft ก่อนได้
คุณสามารถตั้งเวลาล่วงหน้าได้นานมากๆ เป็นเดือน และเพื่อป้องกันความงงงวย ในแพลตฟอร์มของ SocialPilot จะมี Calendar ให้คุณจัดการ content ล่วงหน้าได้เป็นเดือนอีกด้วยครับ นอกจากนี้ถ้าคุณต้องการโพสทุกวัน คุณจะมั่นใจว่าไม่มีวันไหนตกหล่นไปอย่างแน่นอน
Curated Content – จบปัญหาไม่รู้จะโพสอะไรลงใน account ดี ด้วยการหา content คุณภาพสูงที่พร้อมแชร์มาส่งตรงถึงไหนแพลตฟอร์ม ถ้าคุณรู้สึกว่าผู้ติดตามของคุณน่าจะสนใจ คุณก็สามารถคลิกแชร์หรือตั้งเวลาการแชร์ไว้ได้อย่างสบายๆ
URL Shortener – ในกรณีที่ URL ยาวเกินไป SocialPilot สามารถช่วยคุณย่อลิงค์ได้ทันทีด้วย bit.ly หรือ Sniply ซึ่งถูก built-in ในแพลตฟอร์มของ SocialPilot อยู่แล้วครับ
Inner Designer – ถ้าคุณต้องการสร้าง Facebook Post หรือ Infographic ที่ดูสวยๆ เจ๋งๆ ล้ำๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้ติดตาม คุณไม่ต้องไปหาโปรแกรมอื่นๆ ที่ไหน เพราะในแพลตฟอร์มของ SocialPilot นั้นมี Canva หรือโปรแกรมดีไซเนอร์ชั้นยอดที่ถูก built-in ไว้อยู่แล้ว ดังนั้นหลังจากแก้ไขเพียงเล็กน้อย คุณก็สามารถโพสได้ทันทีครับ
Facebook Features – คุณสามารถใช้งาน Facebook Features ต่างๆ อาทิเช่น Audience Targeting ได้จากแพลตฟอร์มของ SocialPilot นอกจากนี้ยังสามารถ Boost Posts ได้อีกด้วย
Supervision – ในกรณีที่คุณมีทีมงานหลายคนที่คอยจัดการ Social media หัวหน้างานสามารถตรวจสอบแต่ละโพสที่ลูกน้องสร้างขึ้นก่อนที่จะส่งลงไปจริงๆ ได้ ทำให้ปัญหาเฟอะฟะจนทำให้แบรนด์ของคุณเสียหายลดลงเหลือเข้าใกล้ 0
Analytics – วิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ส่งมาจาก social media account อย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของกลุ่มผู้ติดตาม ประสิทธิผลของแต่ละโพส ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการโพส รวมไปถึง Influencer ที่น่าจะช่วยเพิ่ม engagement ให้กับ account ของคุณได้ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกรวบรวมอย่างเป็นระบบ และแสดงออกมาโดยใช้ data visualization อย่างสวยงามครับ
Social Inbox – ทุกอย่างที่ผู้ติดตามของคุณมี Interaction กับคุณจะถูกส่งมาให้คุณจัดการในแพลตฟอร์มของ SocialPilot แบบ Real-time ดังนั้นคุณสามารถตอบลูกค้าใน Inbox หรือคอมเมนต์ตอบกลับอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนหน้าจอไปมาระหว่างโซเชียลมีเดียอีกต่อไป เพราะทุกอย่างสามารถเห็นและจัดการได้ในแพลตฟอร์มเดียว
ทั้งนี้สิ่งที่ผมอธิบายไปเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นของฟีเจอร์ที่ SocialPilot มีให้ ถ้าอยากอ่านเต็มๆ ลองอ่านได้ที่ SocialPilot Features
ราคาของ SocialPilot
SocialPilot คิดค่าใช้งานเป็นแบบสมาชิก โดยแบ่งเป็น 3 แพลนดังต่อไปนี้
- Professional – เริ่มต้นที่ $25 หรือ 750 บาทต่อเดือน
- Small Team – เริ่มต้นที่ $41.66 หรือ 1,250 บาทต่อเดือน
- Agency – เริ่มต้นที่ $83.33 หรือ 2,500 บาทต่อเดือน
ทั้งนี้แทบทุกแพลตฟอร์มแทบจะมีฟีเจอร์เหมือนกันหมด โดยแพลน Professional จะขาดไปอย่างเดียวคือ Social Inbox เท่านั้นที่จะมีให้ใช้ในแพลนระดับ Small Team นอกเหนือจากนี้คือฟีเจอร์ระดับ Agency โฆษณาซึ่งธุรกิจขนาดเล็กจะไม่ได้ใช้กันอยู่แล้วครับ
อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างคือ จำนวนทรัพยากรที่ให้ ยกตัวอย่างเช่น Accounts ที่จัดการได้ของแพลน Professional จะอยู่ที่ 25 account ส่วนแบบ Small Team และ Agency จะเพิ่มเป็น 50 หรือ 100 ตามลำดับ
ว่ากันตามตรงแล้วจำนวน 25 account ในแพลน Professional ถือว่ามากเกินพอสำหรับธุรกิจขนาดเล็กส่วนใหญ่ครับ เพราะถึงแม้คุณจะมีทั้ง Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest, LinkedIn, Tiktok, GMB นี่ก็นับไปแค่ 7 account เท่านั้นเองครับ
ดังนั้นผมจึงมองว่าแพลน Professional น่าจะเพียงพอสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก-กลางส่วนใหญ่ครับ ยกเว้นแต่ว่าคุณเป็น Agency โฆษณาที่ต้องการจัดการ account ของลูกค้าเยอะๆ เท่านั้นเองครับ
ทั้งนี้ SocialPilot ให้คุณลองใช้ฟรีได้ 14 วัน โดยไม่ต้องใส่ข้อมูลเครดิตการ์ดแต่อย่างใดครับ
2. Crowdfire
Crowdfire น่าจะเป็นตัวเลือกของ Social Media Management Tools ที่ประหยัดที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะว่าเริ่มใช้ฟรี และแพลนต่างๆ ก็ไม่ได้แพงอะไรด้วยครับ นอกจากนี้จุดแข็งของ Crowdfire คือความง่ายดายในการใช้งานครับ สาเหตุเหล่านี้ทำให้ Crowdfire ได้รับความนิยมสูงมาก ในปัจจุบันมีผู้ใช้งานมากกว่า 19 ล้านบัญชีเลยทีเดียว
เรามาดูฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Crowdfire กันดีกว่าครับ
ฟีเจอร์ของ Crowdfire
คุณสามารถใช้ Crowdfire บริหารโซเชียลมีเดีย ใน 5 แพลตฟอร์มหลักนั่นก็คือ Facebook, Instagram, Twitter, Pinterest และ Linkedin โดยฟีเจอร์ที่น่าสนใจได้แก่
Publishing and Scheduling – คุณสามารถโพสบทความหรือ content ต่างๆ ไปยังโซเชียลมีเดียที่ครอบคลุมผ่านทางแพลตฟอร์มของ Crowdfire ทั้งหมด ดังนั้นคุณไม่ต้องเสียเวลาเปิดเข้าเปิดออกและแก้ไขให้เหมาะสมกับแต่ละโซเชียลมีเดียให้เหนื่อยครับ
นอกจากนี้ยังสามารถตั้งเวลาไว้ล่วงหน้าได้ว่าจะโพสเมื่อใด โดยทุกโพสจะถูกปรับให้เหมาะสมตามโซเชียลมีเดียแต่ละตัว และคุณยังสามารถดู preview ของแต่ละโพสได้ด้วยครับ
ไม่เพียงเท่านั้น Crowdfire ยังให้แนะนำคุณได้ด้วยว่าควรจะโพสเวลาใดเพื่อที่จะได้รับ Engagement ดีที่สุดโดยวิเคราะห์จากข้อมูลใน account ของคุณครับ ในส่วนนี้จะช่วยให้ Follower ของคุณได้รับ content ใหม่โดยที่ไม่รู้สึกว่าคุณห่างหายไป หรือว่า content มีเยอะเกินไปจนทำให้รู้สึกว่ายัดเยียดครับ
Analytics – Crowdfire จะช่วยวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ของ account ของคุณ และทำ data visualizations ออกมาให้อย่างเรียบร้อย เพื่อที่คุณจะได้เข้าใจข้อมูลได้อย่างง่ายๆ และสะดวกต่อการวิเคราะห์ต่อไป ไม่เพียงเท่านั้นถ้าคุณยังสามารถใช้ตรวจเช็คคู่แข่งของคุณได้ว่ามี post หรือ story ไหนมีกระแสตอบรับดี หรือว่าโดยรวมแล้ว account ของคู่แข่งมีค่าสถิติดีหรือแย่กว่าของคุณครับ
Mention – Crowdfire จะช่วยให้คุณรับทราบถึงทุก mention, comment และ reply จาก Facebook และ Twitter ได้ใน Inbox ของ Crowdfire และคุณสามารถตอบลูกค้าได้ฉับไวครับ
Content Curation – ในบางครั้งคุณอาจจะประสบปัญหาไม่มีอะไรจะโพสอีกแล้ว Crowdfire จะสามารถช่วยคุณหาบทความรวมไปถึงรูปภาพที่น่าสนใจไว้สำหรับแชร์ได้นับร้อยนับพัน ทำให้คุณประหยัดเวลาไปได้มากโขเลยทีเดียว
อย่างการทำ Image Curation หรือว่าสรรหารูปภาพมาแชร์นั้นเรียกได้ว่า Crowdfire เป็น Social Media Management Tool เพียงไม่กี่ตัวที่สามารถทำได้เลยก็ได้ครับ
ราคาของ Crowdfire
อย่างที่ผมบอกไปแล้วนั่นคือ Crowdfire ให้คุณใช้บริการได้ฟรี แต่การใช้ฟรีนั้นมีข้อจำกัดสมควร นั่นคือคุณจะใช้ Crowdfire จัดการ account ของคุณได้เพียง 2 account เท่านั้น (ถ้ามี FB Page 2 account ก็จะคิดเป็น 2 ครับ) และคุณไม่สามารถใช้งานกับ Pinterest ได้ ขณะที่ในส่วนของฟีเจอร์ก็จะจำกัดมาก กล่าวคือ Analytics จะเก็บข้อมูลแค่แบบวันต่อวัน, ทำ competitior analysis ไม่ได้เป็นต้น
ดังนั้นผมจึงมองว่าการใช้ฟรีเหมือนกับการ “ลองใช้ demo” เท่านั้นครับ ในระยะยาวอาจจะไม่เหมาะเท่าไร
ในส่วนของแบบเสียเงินจะคิดค่าใช้จ่ายเป็นระบบสมาชิก โดยประกอบด้วยแพลนต่อไปนี้
- Plus – เริ่มต้นที่ $7.48 หรือประมาณ 225 บาทต่อเดือน
- Premium – เริ่มต้นที่ $37.48 หรือประมาณ 1,125 บาทต่อเดือน
- VIP – เริ่มต้นที่ $74.98 หรือประมาณ 2,250 บาทต่อเดือน
แพลน Plus คุณจะได้การจัดการ Pinterest account เพิ่มขึ้นมา และใช้บริหารได้ 5 account พร้อมกับฟีเจอร์ส่วนใหญ่ แต่คุณจะยังขาดการวิเคราะห์คู่แข่ง และฟีเจอร์ Mentions Tracking ที่ช่วยคุณดูแลการ Mention ที่เกิดขึ้นในโซเชียลมีเดียครับ
ดังนั้นถ้าจะใช้ Crowdfire ให้เต็มประสิทธิภาพ จะต้องเริ่มต้นที่แพลน Premium ครับ เพราะได้ฟีเจอร์ทุกอย่างครบ แต่จะแพ้แพลน VIP ในเรื่องจำนวนทรัพยากรที่ใช้ได้เท่านั้น (เช่น Scheduled Posts ไว้ได้เท่าไร หรือว่าตรวจสอบข้อมูลคู่แข่งได้พร้อมกันได้กี่เจ้าครับ)
อย่างไรก็ดีถ้าคุณจะใช้ Premium ผมมองว่า Social Pilot แพลน Professional/Small Team คุ้มค่ากว่ามากมาย เพราะบริหาร account ได้เยอะกว่า แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่บริหารได้ก็เยอะกว่าด้วยครับ ราคาต่อเดือนเองก็ถูกกว่าถึง 30% ดังนั้นผมมองว่าถ้าจะใช้ Crowdfire ควรจะจำกัดอยู่แค่ใช้ฟรีหรือว่าแพลน Plus จะดีที่สุด
ถ้าสงสัยเรื่องราคาและฟีเจอร์ที่ได้ ผมแนะนำให้อ่านเพิ่มที่ Pricing Page ครับ
3. Hootsuite
Hootsuite เป็น Social Media Management Tools ที่อยู่ในระดับเจ้าตลาด และเป็นที่นิยมอย่างมาก โดย Hootsuite สามารถใช้บริหาร Facebook, Instagram, Youtube, Twitter, Pinterest และ Linkedin ครับ
ในเรื่องของฟีเจอร์นั้นมีหลากหลาย อาทิเช่น
ฟีเจอร์ของ Hootsuite
Plan/Create/Schedule – คุณสามารถวางแผนการสร้าง content ในโซเชียลมีเดียต่างๆ ล่วงหน้าโดยใช้ปฏิทินของ Hootsuite ทำให้ไม่มีปัญหาเรื่องลืมโพสต์ content ต่างๆ ตัวแพลตฟอร์มเองก็มีเครื่องมือคุณภาพสูงที่ช่วยในการสร้างโพสต์ที่ดูสวยงามไม่ว่าจะเป็นรูปภาพหรือวีดิโอครับ
Collaboration – Hootsuite จะติดตั้งระบบ Approval ซึ่งจะช่วยให้ Supervisor สามารถตรวจสอบโพสต์ได้ก่อนที่จะ Publish นอกจากนี้ Hootsuite ยังมีซอฟต์แวร์แบบ built-in ที่ช่วยตรวจสอบว่าโพสต์ของคุณถูกกฎระเบียบของโซเชียลมีเดียหรือไม่ ดังนั้นโอกาสที่โพสต์ที่ไม่เหมาะสมจะลงไปในหน้าเพจของคุณจะไม่มีอยู่อย่างแน่นอน
Content Curation – จบปัญหาเรื่องหน้าเพจว่าง เพราะ Hootsuite จะสรรหา content ดีๆ ในโลกออนไลน์มาให้คุณแชร์ตลอดเวลา
Inbox – Hootsuite จะช่วยรวบรวม message ต่างๆ จากโซเชียลมีเดียต่างๆ มาให้คุณตอบสนองอย่างเป็นระบบ คุณสามารถจัดแจงได้ว่าให้ทีมงานคนใดคนหนึ่งเป็นผู้จัดการกับลูกค้า ความสะดวกสบายนี้จะช่วยประหยัดเวลาและทำให้ Customer Experience ของลูกค้าดีขึ้นเช่นเดียวกับภาพลักษณ์ของ Brand ครับ
Chatbots – คุณสามารถใช้งาน Chatbots เพื่อรับลูกค้าในช่วงกลางคืนหรือว่าในช่วงที่ทีมงานของคุณกำลังยุ่งได้ ทำให้ลูกค้าของคุณจากไปเพราะไม่มีการตอบสนองจากคุณ
Advertising – Hootsuite สามารถใช้ในการบริหารโฆษณาผ่านทาง Facebook และ LinkedIn ได้ โดยคุณทำการ targeting อย่างง่ายๆ ทำให้ได้ผลลัพธ์ทางโฆษณาที่ดียิ่งขึ้น
Insights – Hootsuite จะรวบรวมข้อมูลต่างๆ จากทุก account ของคุณและนำมาทำ visualizations ให้สวยงาม ทำให้การวิเคราะห์ง่ายและสะดวกสบาย
Hootsuite Apps/Integration – สิ่งนี้คือจุดแข็งอันดับต้นๆ ของ Hootsuite เลยก็ว่าได้ เพราะคุณสามารถลง apps ต่างๆ เพื่อเพิ่มฟีเจอร์ในการใช้งานได้ อาทิเช่น Social Listening หรือ Review Tracker ทำให้ความหลากหลายในการใช้งานของ Hootsuite เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ราคาของ Hootsuite
Hootsuite ใช้ระบบสมาชิกเช่นเดียวกับ Social Media Management Tools ตัวอื่นๆ โดยมีราคาต่อไปนี้
- Professional – $19 หรือประมาณ 570 บาทต่อเดือน
- Team – $99 หรือประมาณ 2,970 บาทต่อเดือน
- Business – $599 หรือประมาณ 17,970 บาทต่อเดือน
จากแพลนจะสังเกตว่าแตกต่างกันมาก ซึ่งน่าจะเป็นเช่นนั้นเพราะจริงๆ แล้ว Hootsuite มีกลุ่มเป้าหมายเป็นบริษัทขนาดใหญ่นั่นเอง แต่ก็เปิดกว้างให้ธุรกิจขนาดเล็กและกลางเข้าถึงเครื่องมือ Social Media Management Tools ดีๆ ได้พอสมควร
สิ่งที่แตกต่างกันคือฟีเจอร์ครับ กล่าวคือแพลน Professional จะใช้ฟีเจอร์หลักส่วนใหญ่ได้อย่างเช่น Scheduling, Calendar, Social Inbox แต่จะมีข้อจำกัดในส่วนของการเพิ่ม Premium apps ที่คุณจะต้องเสียเงินเพิ่ม, ฟีเจอร์อย่างการจัดการทีมที่ใช้ไม่ได้ รวมไปถึงจำนวน account ที่ใช้ได้จะจำกัดมากกว่า (แบบ Professional เริ่มต้นที่ 10 account)
สรุปแล้วคือถ้าคุณต้องการฟีเจอร์หลัก และไม่ได้ต้องการฟีเจอร์เสริม เพราะทีมของคุณไม่ได้ใหญ่อะไร การใช้แพลน Professional ก็น่าพิจารณาครับ แต่ผมมองว่า SocialPilot คุ้มค่ากว่า เพราะว่าเพิ่มราคาอีกนิดเดียวได้ทรัพยากรและฟีเจอร์ขึ้นมาอีกเยอะเลย
Hootsuite ให้คุณลองใช้ฟรีได้ 30 วัน
4. Sendible
Sendible เป็น Social Media Management Tool อีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ ด้วยศักยภาพการบริหารโซเชียลที่ครอบคลุมทั้ง Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn, GMB, Youtube และ Pinterest ไม่เพียงเท่านั้น Sendible ยังสามารถ integrate กับ WordPress, Medium, Tumblr, Canva, Dropbox และอื่นๆ อีกมากมายเลยครับ
ดังนั้นถ้าคุณต้องการการบริหารโซเชียลมีเดียที่ครบถ้วน Sendible จึงเป็นตัวเลือกหนึ่งที่ควรค่าต่อการพิจารณาครับ
ฟีเจอร์ของ Sendible
Customize and Preview – คุณสามารถสร้างโพสต์ที่สวยงามต่างๆ ตามใจปรารถนาด้วยการใช้ built-in editor หรือใช้ Canva Integration ก็ได้ ทำให้โพสต์ของคุณสวยงามน่าดึงดูด ทำให้เพิ่ม Engagement ให้ได้อย่างมากเลยครับ ก่อนที่คุณจะโพสต์ คุณจะเห็นชัดเจนว่าเมื่อโพสต์ไปแล้วจะเห็นเป็นเช่นไร
Scheduling and Queues – จัดเรียงการโพสต์อย่างเป็นระบบ นอกจากนี้ยังสามารถจัดคิวการโพสต์ในแต่ละวันให้เหมาะสมได้ ทำให้ผู้ติดตามของคุณได้รับ content ที่สดใหม่ตลอดเวลา ถ้าคุณต้องการจัดเรียงในปฏิทินก็มีให้ใช้งานเช่นเดียวกัน
Content Suggestions – Sendible จะคัดเลือก content ที่น่าสนใจในโลกออนไลน์เพื่อให้คุณนำมาแชร์เพื่อเพิ่ม Engagement ครับ
Collaboration – Sendible เปิดโอกาสให้คุณและทีมงานช่วยกันบริหารโซเชียลมีเดียได้อย่างสะดวกสบาย คุณจะได้ content library ที่สามารถนำไปใช้ร่วมกันได้ รวมไปถึงระบบ Approval ที่ช่วยให้หัวหน้าทีมงานตรวจสอบทุกอย่างก่อนที่จะโพสต์จะถูกส่งไปยังสายตาของลูกค้าครับ
Analytics – เจาะลึกผลงานของคุณในโซเชียลมีเดียด้วยการใช้ฟีเจอร์อย่าง Analytics ในการตรวจสอบ ซึ่ง Sendible จะรวบรวมข้อมูลทุกอย่างและจัดแสดงเป็น charts ต่างๆ ให้คุณเข้าใจได้ง่าย นอกจากนี้คุณยังสามารถเชื่อมต่อ Sendible กับ Google Analytics ได้อีกด้วย
Listening – Sendible สามารถใช้เป็นเครื่องมือ Social Listening ได้เช่นกัน กล่าวคือคุณจะตรวจสอบได้ว่าแบรนด์ของคุณถูกกล่าวถึงในโลกโซเชียลอย่างไรบ้าง ซึ่งจะเป็นในแง่ลบ คุณจะได้แก้ไขสถานการณ์ได้ทันท่วงที
Inbox – Sendible จะรวบรวม message ต่างๆ จากทุกโซเชียลมีเดียมาให้คุณจัดการได้ในแพลตฟอร์ม ดังนั้นการบริการลูกค้าของคุณจะง่ายและสะดวกสบายมากขึ้น
ราคาของ Sendible
Sendible คิดราคาเป็นแบบสมาชิก โดยแบ่งออกเป็น 4 แพลนดังต่อไปนี้
- Starter – เริ่มต้นที่ $24 หรือประมาณ 720 บาทต่อเดือน
- Traction – เริ่มต้นที่ $84 หรือประมาณ 2,520 บาทต่อเดือน
- Growth – เริ่มต้นที่ $169 หรือประมาณ 5,070 บาทต่อเดือน
- Large – เริ่มต้นที่ $254 หรือประมาณ 7,620 บาทต่อเดือน
สิ่งที่แตกต่างของแต่ละแพลนคือฟีเจอร์ครับ แน่นอนว่าฟีเจอร์และทรัพยากรของแพลน Starter จะน้อยที่สุด แต่จากที่ผมตรวจสอบมาพบว่าแพลน Starter นั้นมีฟีเจอร์หลักเกือบทั้งหมดแล้ว จะขาดไปก็แค่ฟีเจอร์ระดับสูงที่ช่วยให้การทำงานเป็นทีมดำเนินไปอย่างง่ายดายมากขึ้น ซึ่งผมมองว่าถ้าคุณจัดการโซเชียลมีเดียเอง หรือว่าให้พนักงานคนเดียวจัดการ ในส่วนนั้นก็จะไม่จำเป็นต้องใช้เลยครับ
สำหรับแพลน Starter คุณจะใช้งานได้เพียง User เดียว และบริหาร social media account ได้ 12 แห่ง ซึ่งก็ถือว่าเป็นจำนวนที่เหมาะสม อย่างไรก็ดีถ้าเทียบในเรื่องของทรัพยากรแล้ว SocialPilot ยังคุ้มค่ากว่าครับ
Sendible ให้คุณใช้ได้ฟรี 14 วัน โดยไม่ต้องใส่ข้อมูลเครดิตการ์ดใดๆ
เลือก Social Media Management Tools ตัวไหนดี?
ถ้าคุณเป็นมือใหม่ในการใช้งาน Social Media Management Tools และมีงบจำกัด ผมมองว่า Crowdfire น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับคุณ เพราะใช้งานได้ฟรียาวๆ แถมแพลนเริ่มต้นเองก็ราคาสองร้อยกว่าบาทเท่านั้นครับ และมีฟีเจอร์ที่จำเป็นครบถ้วน
แต่ถ้าคุณอยากจะได้เครื่องมือตัวที่มีฟีเจอร์หลากหลายที่สุด ตัวที่น่าสนใจคือ Hootsuite ครับ เพราะมี apps มากมายให้คุณลงเสริมไปได้ ทำให้เครื่องมือของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น อย่างไรก็ดีข้อเสียก็คือว่าทรัพยากรของแพลนเริ่มต้นจำกัดพอสมควรนั่นเอง
สำหรับใครที่อยากได้ Integration ตัวที่น่าพิจารณาก็คือ Sendible ครับ เพราะ Integration มากมายจริงๆ ทาง Sendible ถึงกับประกาศในเว็บว่าเป็นเครื่องมือที่สามารถ integrate กับเครื่องมือตัวอื่นได้มากที่สุดเลยทีเดียว
อย่างไรก็ดีถ้าประเมินทุกอย่างทั้งคุณภาพและราคาแล้ว ผมมองว่า SocialPilot คือตัวเลือกที่ดีที่สุดในส่วนของ Social Media Management Tools สำหรับธุรกิจขนาดเล็ก เพราะว่าราคาน่าคบหา แถมทรัพยากรที่ให้ก็ยังถือว่ามากที่สุด นอกจากนี้ฟีเจอร์ของ SocialPilot เองก็มีประสิทธิภาพไม่ด้อยกว่าเครื่องมือตัวอื่นๆ ด้วยครับ