เทคโนโลยีซอฟต์แวร์10 เครื่องมือดีๆ ช่วยเพิ่มศักยภาพการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ

10 เครื่องมือดีๆ ช่วยเพิ่มศักยภาพการตลาดออนไลน์ในช่องทางต่างๆ

ในยุคปี ค.ศ.2020 การขายสินค้าทางออนไลน์มีการแข่งขันที่สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะจำนวนผู้ขายเพิ่มมากขึ้น ทำให้ส่วนแบ่งตลาดกระจายกันไป

ดังนั้นการที่ธุรกิจของคุณจะมียอดขายอย่างไม่มีสะดุดเป็นเรื่องยากขึ้นมาก กลยุทธ์มากมายที่ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มยอดขายในทุกช่องทาง เช่นเดียวกับการโฆษณาที่ธุรกิจออนไลน์ทั่วไปใช้กัน ไม่ว่าจะเป็น Social media ads, SEO และ SEM

เนื่องจากวิธีด้านบนใครๆ ก็ใช้ หนึ่งในวิธีการที่จะช่วยให้คุณอยู่เหนือคู่แข่งก็คือการใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยกว่าในการทำการตลาด อย่างเช่น เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้าเพื่อที่คุณจะออกแบบกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมไปถึงเครื่องมือเพิ่มความน่าเชื่อถือแก่ธุรกิจของคุณ

เครื่องมือการตลาดออนไลน์ Image by Photo Mix from Pixabay

ดังนั้นในโพสนี้ เราจะมาดูกันว่ามีเครื่องมือตัวไหนที่คุณน่าจะใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำการตลาดออนไลน์ครับ

เราไปเริ่มต้นกันเลยครับ

ข้อควรทราบ: ราคาและเงื่อนไขต่างๆ ที่ระบุในโพสนี้อาจจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ โปรดตรวจสอบกับทางผู้ให้บริการเพื่อความชัดเจนอีกครั้งหนึ่งครับ

1. Social Media Management Tools

Social Media Management Tools เป็นเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์และจัดการ Social Media ของธุรกิจคุณไม่ว่าจะเป็น Facebook Page, Instagram หรือแม้กระทั่ง Twitter ครับ

Social Media เป็นช่องทางการขายที่สำคัญยิ่งในยุคศตวรรษที่ 21 Image by Erik Lucatero from Pixabay

สำหรับธุรกิจที่ทำการตลาดออนไลน์โดยเน้นไปที่ Social Media แล้วเครื่องมือเหล่านี้มีประโยชน์มากมาย อาทิเช่น

  • ดูแล Social Network ทั้งหมดของคุณจากแพลตฟอร์มเดียว
  • เก็บรวบรวมสถิติมาวิเคราะห์อย่างละเอียด เพื่อที่คุณจะสร้างกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมมากขึ้น
  • จัดการการเขียน Content ให้สะดวกสบายมากขึ้น รวมไปถึงมีการวิเคราะห์มาให้เรียบร้อยว่าควรโพสเวลาไหน Engagement ถึงจะดีที่สุด
  • เขียนเป็น Report เพื่อเก็บเป็น reference ได้อย่างง่ายดาย
  • เจาะลึกข้อมูล Social media ของคู่แข่งเพื่อเปรียบเทียบผลงานของธุรกิจของเขาและของคุณ
  • Recycle content หรือช่วยโพส content ที่เคยทำผลงานที่ดีบนแพลตฟอร์มของคุณ
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ฟีเจอร์ต่างๆ ของ Social Media management แต่ละตัวอาจจะแตกต่างกันบ้าง ต้องตรวจสอบกับทางผู้บริการแต่ละเจ้าโดยตรงครับ แต่ด้านบนจะเป็นฟีเจอร์หลักที่ผู้บริการส่วนใหญ่จะมีให้

ผู้บริการ Social Media Management สำหรับธุรกิจขนาดเล็กและกลางที่น่าสนใจได้แก่

  • Crowdfire (ลองใช้งานได้ฟรีแบบไม่จำกัด, หรือเริ่มต้นที่ $7.50 หรือประมาณ 225 บาทต่อเดือน)
  • Iconosquare (เป็น Facebook และ Instagram Analytics ที่ดีเยี่ยม เริ่มต้นที่ $29 หรือประมาณ 870 บาทต่อเดือน)
  • Sprout Social (เริ่มต้นที่ $99 หรือ 2,970 บาทต่อเดือน)
  • Socialbee (เริ่มต้นที่ $19 หรือ 570 บาทต่อเดือน)
  • Social Pilot (เริ่มต้นที่ $25 หรือ 750 บาทต่อเดือน)
  • Buffer (เริ่มต้นที่ $15 หรือ 450 บาทต่อเดือน)

2. Social Listening

Social Listening เป็นเครื่องมือที่จำเป็นมากขึ้นในระยะหลังสำหรับการตลาดออนไลน์ เพราะอิทธิพลของ social media ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้เครื่องมือเหล่านี้ยังสามารถช่วยให้คุณตอบสนองต่อวิกฤตที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ของคุณอีกด้วยครับ

ฟีเจอร์หลักๆ ของ Social Listening ได้แก่

  • ตรวจสอบทุก Social Media และเว็บไซต์ว่ามีใครกล่าวถึงแบรนด์หรือ Keyword ที่คุณตั้งไว้ว่าอย่างไรบ้างแบบ Real-time
  • เช็คว่าในอุตสาหกรรมมี Influencer คนไหนบ้างที่อาจจะช่วยคุณทำการตลาดออนไลน์ได้
  • ติดตาม Keywords หรือ Hashtag ใน Social Media ว่าตัวไหนกำลังมาแรง
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ส่วนผู้ให้บริการ Social Listening ที่น่าสนใจได้แก่

  • Awario (เริ่มต้นที่ $29 หรือ 870 บาทต่อเดือน)
  • BrandMentions (เริ่มต้นที่ $49 หรือ 1,470 บาทต่อเดือน)
  • Buzzsumo (เริ่มต้นที่ $99 หรือ 2,970 บาทต่อเดือน อาจจะดูแพงกว่าแพลตฟอร์มอื่น แต่ Buzzsumo เป็น Keyword Planner ให้คุณได้ด้วยครับ)

บางผู้บริการเป็นได้ทั้ง Social Media management และ Social Listening tools ในคราวเดียว แต่ราคาโดยเฉลี่ยจะสูงกว่าเครื่องมือ Social Listening แบบทั่วไป อาทิเช่น

  • Sprout Social (เริ่มต้นที่ $99 หรือ 2,970 บาทต่อเดือน)
  • Agora Pulse (เริ่มต้นที่ $79 หรือ 2,370 บาทต่อเดือน)

3. Landing Page Creator

สำหรับเว็บไซต์นั้น Landing Page ที่คุณส่ง traffic มาจากที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น SEO, SEM หรือ Facebook Ads เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะถ้า Landing Page ออกมาแย่ นั่นหมายความว่า Traffic ที่คุณส่งมายากที่สร้างยอดขายหรือ Conversion ได้ครับ

การสร้าง Landing Page โดยใช้ Unbounce

ดังนั้นการออกแบบ Landing page ที่ดีจึงจำเป็นสุดๆ และไม่ใช่ว่าสวยอย่างเดียวจะเพียงพอ คุณจะต้องออกแบบให้ออกมาใช้งานง่าย ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด และปราศจาก distraction ที่จะทำให้ลูกค้าไปสนใจสิ่งอื่น

เครื่องมือสร้าง Landing Page ที่น่าสนใจได้แก่

  • Unbounce (เริ่มต้นที่ $72 หรือ 2,160 บาทต่อเดือน มีฟีเจอร์ที่ครบครันไม่ว่าจะเป็น A/B Testing หรือว่า DTR ที่ปรับหน้าเพจให้ตรงตามความต้องการของลูกค้า)
  • Instapage (เริ่มต้นที่ $149 หรือ 4,470 บาทต่อเดือน แต่มีจุดเด่นคือไม่จำกัด Conversions)

4. Live Chat

Live Chat เป็นเครื่องมือการตลาดออนไลน์ที่สำคัญยิ่ง ถ้าคุณต้องการสื่อสารกับลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเว็บไซต์ของคุณและกำลังตัดสินใจว่าจะซื้อสินค้าและบริการของคุณดีหรือไม่

จากสถิติที่รวบรวมโดยบริษัท LiveChat พบว่า การเข้าไป chat และให้ความช่วยเหลือของทีมงานแบบ Real-timeสามารถเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญด้วยครับ (ส่วนหนึ่งเพราะคุณสามารถให้โปรโมชั่นพิเศษกับลูกค้าได้นั่นเอง ผมเคยโดนวิธีนี้จนต้องเสียเงินมาแล้ว 555)

LiveChat Chats

ผู้ให้บริการ Live Chat ที่น่าสนใจได้แก่ (ราคาคือต่อการใช้งาน 1 คนครับ)

  • LiveChat – ฟีเจอร์เด่น สวย การใช้งานง่ายเป็นอันดับต้นๆ เริ่มต้นที่ $16 (480 บาทต่อเดือน)
  • Freshchat – ฟีเจอร์ครบถ้วน ใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เริ่มต้นใข้งานได้ฟรี

5. Chatbot

Chatbot คือบอทหรือ AI ที่เราสร้างขึ้นเพื่อแชทกับลูกค้า ทั้งนี้ Chatbot ในปัจจุบันนอกจะสามารถให้ข้อมูลและแก้ปัญหาเบี้องต้นให้กับลูกค้าได้แล้ว มันยังสามารถปิดการขายด้วยตัวเองรวมไปถึงให้ส่วนลดกับลูกค้าได้ด้วยครับ ทำให้คุณไม่ต้องอดตาหลับข่มตานอนตอนดึกๆ เพื่อรับลูกค้าอีกต่อไป

โดยทั่วไปแล้ว Chatbot มักถูกสร้างบน Chat apps (อย่างเช่น Facebook Messenger/Line) หรือว่าเว็บไซต์ที่ติดตั้ง Live Chat อยู่แล้วครับ ในส่วนของแบบหลังนี่ ส่วนมากผู้ให้บริการ Live Chat จะมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณสร้าง Chatbot ได้ครับ

สำหรับ Chat apps นั้น ผู้ให้บริการสร้าง Chatbot อันดับต้นๆ คือ

  • ManyChat – หนึ่งในแพลตฟอร์มการใช้ Chatbot บน Facebook Messenger ที่ใช้งานง่ายที่สุด เริ่มต้นใช้งานได้ฟรีครับ
  • Snatch Bot – แพลตฟอร์มดีๆ ที่สร้าง Chatbot ได้ทั้ง Facebook และ Line

6. Social Proof

Social Proof คือ Notification หรือ Banner ที่ขึ้นมาบนเว็บไซต์ขายสินค้า โดย Banner เหล่านี้จะให้ข้อมูลต่างๆ ให้กับลูกค้าอย่างเช่น

  • ระหว่างที่คุณกำลังเปิดหน้าจอนี้อยู่ เพิ่งคนจากที่สถานที่ต่างๆ สมัครสมาชิก ลองใช้บริการหรือซื้อสินค้าไป
  • 7 วันที่ผ่านมาขายไปแล้วกี่คน

ถ้ายังสงสัยว่ามันเป็นอย่างไร ดูได้จากรูปด้านล่างครับ เจ้ากล่องสีแดงนั่นแหละครับคือการทำงานของ Social Proof

ตัวอย่าง (กล่องแดง) ของการใช้งาน Social Proof

Social Proof นั้นจะส่งผลต่อการตัดสินใจของลูกค้า ทำให้ลูกค้าเห็นว่ามีคนอื่นที่กำลังสนใจสินค้าของคุณอยู่เช่นกัน รวมไปถึงมีผู้ซื้อไปแล้วจำนวนมากมาย ข้อมูลนี้ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อหรือลองใช้งานสินค้าของคุณมากขึ้น จากสถิติที่เก็บรวบรวมโดย Proof แล้ว Conversion Rate เพิ่มขึ้นตั้งแต่ 10%-30% เลยทีเดียวครับ

ผู้ให้บริการ Social Proof ชั้นนำได้แก่

  • Proof – ให้บริการ Social Proof มากกว่า 20,000 เว็บไซต์ และกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นตามลำดับ ราคาเริ่มต้นที่ $29 หรือ 870 บาทต่อเดือน และลองใช้ฟรี 14 วัน (เปลี่ยนภาษาเป็นภาษาไทยได้ด้วย)
  • Trustpulse – อีกหนึ่งผู้บริการที่น่าสนใจ เริ่มต้นที่ $39.50 หรือประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน

7. Push Notifications

Push Notifications คือการส่ง Notifications ไปยังคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ของผู้ใช้งานว่า Blog หรือเว็บไซต์ของคุณมีการอัพเดตอย่างเช่นมีบทความใหม่แล้ว หรือแม้กระทั่งสินค้าที่พวกเขาสนใจกำลังลดราคา ฯลฯ

ถ้ายังนึกไม่ออกมันก็คือการที่เราเข้าเว็บไซต์ และมีกล่องขึ้นมาว่า “ABC wants to send you notifications….” นั่นแหละครับ อย่างเช่นกล่องในกรอบสีแดงด้านล่าง หลังจากที่เราตอบรับ (Allow) ทางเว็บไซต์ก็จะส่ง Notifications เข้าไปที่มือถือหรือคอมพิวเตอร์ ผู้ใช้งานที่สนใจก็จะย้อนกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณครับ

วิธีนี้ดีมากในแง่ของการติดต่อลูกค้าหรือผู้ใช้งานเว็บไซต์ของคุณเป็นประจำ เพราะคุณไม่ต้องง้อ Ad แพงๆ อย่าง SEM หรือ Facebook Ads ในการสื่อสารกับลูกค้าประจำอีกต่อไปครับ

ผู้ให้บริการชั้นนำได้แก่

  • PushEngage (ใช้งานได้ฟรีถ้าไม่เกิน 2,500 subscribers แต่ถ้าต้องการสูงกว่านั้นเริ่มต้นที่ $29 หรือ 870 บาทต่อเดือน)
  • OneSignal (ใช้งานได้ฟรียาวๆ แต่มีจำกัดจำนวนที่ส่งไปได้ แพลนหลักเริ่มต้นที่ $99 หรือ 2,970 บาทต่อเดือน)

8. Email Marketing

Email Marketing คือการทำการตลาดออนไลน์ผ่านทางอีเมล์ หลังจากที่คุณได้รับการอนุญาตจากลูกค้าหรือผู้สนใจ คุณจะส่งอีเมล์ไปให้พวกเขาได้ อีเมล์เหล่านี้อาจจะเป็นการบอกต่อข่าวสาร หรือแม้กระทั่งมอบโปรโมชั่นส่วนลดก็ได้

การทำการตลาดวิธีนี้เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการโฆษณาผ่าน Facebook แต่ไม่ใช่ว่าจะทำง่าย เพราะคุณจะต้องออกแบบอีเมล์ของคุณให้ดูสนใจและน่ากดอ่านสำหรับลูกค้า ดังนั้นเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสร้างอีเมล์การขายที่ดีมาได้จึงสำคัญอย่างยิ่ง

ผู้ให้บริการที่น่าสนใจได้แก่

  • MailChimp – ผู้ให้บริการ Email Marketing ที่ได้รับความนิยมสูงมากทั่วโลก คนใช้เยอะเพราะใช้ฟรียาวๆ ถ้าไม่เกินจำนวนที่กำหนด
  • Constant Contact – แพลตฟอร์ม Email Marketing ที่อาจจะเรียกได้ว่าครบเครื่องและคุณภาพสูงที่สุดในปัจจุบัน ถ้าจะเสียเงิน ควรใช้บริการเจ้านี้ครับ

9. Interactive Content

Interactive Content เป็นการทำการตลาดออนไลน์ที่น่าสนใจมาก ผมเองชอบแนวทางนี้เป็นการส่วนตัว เพราะว่าสามารถทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกสนุกไปด้วย โดยไม่รู้สึกว่าถูกยัดเยียดโฆษณาแต่อย่างใด ดังนั้นโอกาสที่จะถูกแชร์ใน Social media เป็นไวรัลก็เกิดขึ้นได้ง่ายๆ

ลองเปิดดู Intro ได้จากคลิปด้านล่างครับ (คลิก play ได้เลย)

Interactive Content ที่น่าสนใจได้แก่

  • Quiz – ควิซต่างๆ เช่นเกิดวันนี้ เดือนนี้ควรใส่เสื้อผ้าสีไหนดี, มีงบเท่านี้ ควรไปเที่ยวไหนดี ฯลฯ
  • Calculator – สร้างเครื่องคิดรายได้หรือรายจ่ายเพื่อคำนวณให้กับลูกค้า อย่างเช่นคุณจะประหยัดเงินเท่าไร ถ้าเลือกใช้บัตรเครดิตของธนาคาร ABC หรือถ้าคุณต้องการบ้านที่มี facilities ตามนี้จะต้องใช้เงินเท่าไร ลูกค้าจะคลิกเลือกเงื่อนไขต่างๆ ด้วยตนเอง ทำให้รู้สึกสนุกและเข้าถึงมากกว่าการโฆษณาทั่วไป
  • Assessments – สร้างแบบประเมินที่น่าสนใจและสวยงามให้ลูกค้านำไปทำ
  • Recommendations – ให้ลูกค้าทำแบบทดสอบ หลังจากนั้นแนะนำสินค้าที่คุณขายตามสิ่งที่ลูกค้ากรอกข้อมูลออกมา
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

จากสถิติของ Outgrow พบว่าผู้ใช้บริการสามารถเพิ่ม Conversion Rate มากถึง 60% หลังจากลองใช้ครับ ทำให้เป็นตัวเลือกที่น่าพิจารณาอย่างมากในการทำการตลาดบนเว็บไซต์ครับ

สำหรับผู้ให้บริการแล้ว เจ้าที่ครบเครื่องที่สุดก็คือ Outgrow ครับ เพราะคุณสามารถสร้างทั้งหมดได้บนแพลตฟอร์มของ Outgrow และมีการจัดเก็บข้อมูลที่นำไปใช้ประเมินผล (Analytics) อย่างละเอียดด้วยครับ

10. Affiliate Marketing

Affiliate Marketing คือการทำการตลาดแบบที่ผู้ต้องการจะโฆษณา (Advertiser) เป็นพันธมิตรกับผู้สร้าง content ทั้งหลาย (Publisher) อย่างเช่นเว็บไซต์และ Blog ต่างๆ โดย Advertiser จะจ่ายค่า Commission ก็ต่อเมื่อทาง Publisher ส่ง traffic ที่ซื้อสินค้าหรือว่าสมัครสมาชิกมาให้เท่านั้นครับ

การทำ Affiliate Marketing สามารถทำแบบ In-house (ทำเอง ประสานงานเอง) หรือว่าจะไปเข้ากับ Affiliate Network ก็ได้ โดย Affiliate Network ที่น่าสนใจได้แก่

เครื่องมือการตลาดออนไลน์สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่

สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ คุณอาจจะเลือกใช้แพลตฟอร์มของผู้ให้บริการเหล่านี้เพราะรวมหลายเครื่องมือในโพสนี้ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ผู้ให้บริการที่น่าสนใจได้แก่

  • Hubspot (สุดยอดแพลตฟอร์มที่รวมทุกอย่างในการทำการตลาดออนไลน์และ CRM ไว้ในแพลตฟอร์มเดียว)
  • Salesforce
  • NUVI
  • Sprinklr

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!