เทคโนโลยีซอฟต์แวร์อยากลองใช้ Email marketing จะใช้บริการของที่ไหนดี?

อยากลองใช้ Email marketing จะใช้บริการของที่ไหนดี?

Email marketing หรือการตลาดโดยใช้อีเมล์ เป็นหนึ่งในวิธีการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากในการสร้างยอดขาย นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายต่ำถ้าเทียบกับการตลาดวิธีอื่นๆ ด้วย จากสถิติแล้วพบว่า Email marketing ทำเงินได้ถึง $31-$38 สำหรับทุกๆ $1 ที่คุณลงทุนไปครับ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า Email marketing คืออะไร

จริงๆ แล้ว Email marketing อยู่ใกล้ตัวคุณมาก ถ้าคุณเคยซื้อสินค้าในแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องสำอาง เสื้อผ้า เกม หรือแม้กระทั่งตั๋วเครื่องบินและโรงแรม คุณน่าจะเคยเห็นช่องที่ถามคุณวา คุณจะอนุญาคให้ส่งโปรโมชันหรือข้อมูลส่งเสริมการขายผ่านทางอีเมล์หรือไม่ ถ้าคุณเลือกว่าใช่ หลังจากนั้นบริษัทเหล่านั้นก็จะส่งอีเมล์มาหาคุณ

ตัวอย่างของ Email marketing ที่ผมได้รับเป็นประจำ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า Email marketing คือสแปมรึเปล่า คำตอบคือไม่ใช่เลยครับ เนื่องจากคุณได้ขออนุญาตลูกค้าไปแล้วว่าให้ส่งอีเมล์เข้ามาได้ นอกจากนี้ถ้าลูกค้าอยากยกเลิก ในอีเมล์ของ Email marketing จะมีปุ่ม Unsubscribe ให้ลูกค้ากดยกเลิกได้ในเวลาเสี้ยววินาที รูปแบบอีเมล์เองก็จะซับซ้อนกว่า สวยงามกว่า และดูน่าเชื่อถือกว่า ทำให้ต่างจากสแปมอย่างสิ้นเชิงครับ

อย่างไรก็ดีการทำ Email marketing จะต้องให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ด้วย เพราะการที่คุณส่งอีเมล์ไปถึง Inbox ของลูกค้า ไม่ได้หมายความว่าลูกค้าจะเปิดอ่าน

คุณสามารถอ่านกลยุทธ์ในการสร้าง E-mail การขายที่มีประสิทธิภาพได้จากบทความของ Neil Patel นักการขายออนไลน์อันดับต้นๆ ของโลกครับ ผมแนะนำให้ทุกคนอ่านก่อนที่จะลงมือใช้งาน Email marketing ครับ

ด้วยความที่กลยุทธ์สำคัญ ย่อมทำให้เครื่องมือสำหรับ Email marketing สำคัญตามไปด้วย เพราะเครื่องมือที่ดีมีฟีเจอร์มากย่อมช่วยให้คุณมีทางเลือกมากขึ้นในการดึงดูดให้ลูกค้าเปิดอ่านอีเมล์ของคุณนั่นเอง ในโพสนี้เราจะมาดูกันว่าเครื่องมือของบริษัทไหนที่เหมาะสมต่อการใช้งาน Email marketing ครับ

Email Marketing

ข้อควรทราบ 1: สำหรับผู้ค้าไทยที่ขายสินค้าทางออนไลน์ให้กับชาวต่างประเทศอย่างเช่นชาวอเมริกัน การทำการตลาดด้วย Email marketing เป็นสิ่งที่คุณควรจะใช้งานอย่างยิ่ง เพราะจากการสำรวจแล้ว ค่าเฉลี่ยในการเปิดอ่านอีเมล์ของชาติเหล่านี้สูง และยังพบว่า lead ที่คุณได้จาก email ยังมีโอกาส convert ได้มากกว่าการตลาดแบบอื่น ไม่ว่าจะเป็น SEO, SEM หรือ Social Network ครับ

ข้อควรทราบ 2: ราคาและเงื่อนไขของการบริการอาจจะเปลี่ยนแปลงได้อย่างกะทันหัน ทำให้ไม่ตรงกับในโพส ดังนั้นควรจะตรวจสอบกับทางเว็บไซต์ (ตามลิงค์) อีกครั้งหนึ่งครับ

1. Constant Contact

Constant Contact เป็นผู้ให้บริการ Email marketing ชั้นนำของโลก และมีชื่อเสียงอย่างมากในเรื่องการใช้งานที่ง่ายดายและสะดวกสบาย ทางบริษัทดำเนินธุรกิจ email marketing มานานกว่า 20 ปีแล้วครับ

ลองดู Intro ของ Constant Contact ได้จากคลิปด้านล่าง (กด Play ได้เลยครับ)

ฟีเจอร์ของ Constant Contact ประกอบด้วย

  • Drag & Drop Designer: คุณสามารถดีไซน์อีเมล์ของคุณได้ออกมาสวย และดูน่าเชื่อถือด้วยการใช้ editor แบบลากวาง (Drag & Drop) ทำให้ปราศจากความซับซ้อนใดๆ ในการสร้างอีเมล์ ทั้งนี้ template ของ constant contact จะมีทุกสิ่งที่คุณต้องใช้อยู่แล้ว คุณไม่ต้องกังวลว่าลืมใส่อะไรรึเปล่า ฯลฯ
  • Automation: ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณส่งอีเมล์ไปได้โดยอัตโนมัติ เช่นอีเมล์ต้อนรับลูกค้าใหม่ ฯลฯ หรืออีเมล์ที่เจาะจงกลุ่มลูกค้า VIP โดยเฉพาะ
  • Integration: สามารถเชื่อมต่อกับ CMS อย่างเช่น Woocommerce หรือ Shopify ได้อย่างง่ายดาย
  • Contact Management: Upload contact ที่คุณมีอยู่แล้วจาก Excel, Outlook, Salesforce ฯลฯ ได้อย่างง่ายดาย
  • Email list building tools: เครื่องมือต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มยอด subscriber ของคุณไม่ว่าจะจากเว็บไซต์ Facebook หรือแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น Dynamic sign-up forms เป็นต้น
  • Analytics – ตัวเก็บสถิติที่จะช่วยในการวิเคราะห์ว่าประสิทธิภาพของการส่งอีเมล์เป็นอย่างไร มีการเปิดกี่เปอร์เซนต์ ฯลฯ
  • Surveys and Polls – จัดทำ Surveys และ Polls เพื่อรับ feedback ของสินค้าและบริการจากลูกค้า
  • A/B Testing – ฟีเจอร์ที่ช่วยให้คุณทดสอบว่า แก้ไข email แบบไหนแล้วเวิร์คหรือไม่เวิร์ค เช่นแบบไหนทำแล้วลูกค้าเปิดอ่านมากขึ้น หรือซื้อสินค้ามากขึ้น ฯลฯ
  • Landing Page Builder – สร้าง Landing Page สวยๆ ได้อย่างง่ายดาย เพื่อรองรับ leads จากอีเมล์ที่ส่งไป
  • Event Marketing – ฟีเจอร์ที่ช่วยโปรโมตอีเวนต์ของคุณ
  • Expert Guidance – การช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญไม่ว่าจะเป็นแบบ 1-1, blog หรือ Webinar
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ดีบางฟีเจอร์ที่ผมกล่าวถึงด้านบนจะเป็นฟีเจอร์สำหรับ Email Plus เท่านั้น โดยแพลนของ Constant Contact จะประกอบด้วย 2 แพลนหลักๆ ได้แก่

  • Email
  • Email Plus

Email Plus ที่มีราคาสูงกว่าจะได้ฟีเจอร์มากกว่าแบบ Email ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการทำ Coupon, Event marketing, Surveys, Pools และ Dynamic Content (เปลี่ยนข้อมูลในอีเมล์ให้เข้ากับความชอบของลูกค้าโดยอัตโนมัติ) และอื่นๆ อีกมากเลยครับ

สำหรับเรื่องราคาทาง Constant Contact จะคิดตามจำนวน Contact ที่คุณจะส่งอีเมล์ในอัตราต่อไปนี้

ตัวอย่างราคาของแพลน Email (ถ้ามากกว่า 10,000 คนจะโดนอัพเกรดเป็น Email Plus โดยอัตโนมัติ)

  • 0-500 contacts – $20 (600 บาทต่อเดือน)
  • 501-2,500 contacts – $45 (1,350 บาทต่อเดือน)
  • 2,501-5,000 contacts – $65 (1,950 บาทต่อเดือน)
  • 5,001-10,000 contacts – $95 (2,850 บาทต่อเดือน)

ตัวอย่างราคาของแพลน Email Plus (รับได้ไม่จำกัด แต่ถ้ามากกว่า 50,000 คนโปรดติดต่อผ่านเว็บไซต์)

  • 0-500 contacts – $45 (1,350 บาทต่อเดือน)
  • 501-2,500 contacts – $70 (2,100 บาทต่อเดือน)
  • 2,501-5,000 contacts – $95 (2,850 บาทต่อเดือน)
  • 5,001-10,000 contacts – $125 (3,750 บาทต่อเดือน)

ทั้งนี้เดือนแรกที่คุณใช้จะไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ว่าคุณจะสมัครแพลนไหนก็ตาม และถ้าคุณจ่ายเป็นรายปี คุณจะได้ส่วนลดเพิ่มไปอีก 15%!

สิ่งที่ดีงามของการคิดราคาแบบนี้คือ คุณสามารถส่งอีเมล์ไปหา contacts ได้ไม่จำกัดครับ เพราะราคาจะคิดตามจำนวน contacts ที่ส่ง ไม่ใช่จำนวนการส่งต่อเดือน

อย่างไรก็ดีข้อเสียของ Constant Contact คือไม่มีให้ใช้ฟรีตลอดกาลเหมือนกับผู้ให้บริการบางแห่งอย่าง MailChimp ครับ

โดยรวมแล้ว ถ้าว่ากันถึงเรื่องความใช้ง่าย ความสวยงาม คุณภาพโดยรวม และ Customer Service คู่แข่งอื่นยากที่จะเทียบได้กับ Constant Contact ทำให้ Constant Contact เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผู้ค้าที่ต้องการทำ email marketing อย่างจริงจังครับ

สำหรับใครที่สงสัยว่า Email marketing จะเวิร์คหรือไม่เวิร์ค สามารถลองใช้งานฟรีได้นานถึง 60 วัน ถ้าสนใจโปรดกดปุ่มด้านล่างเลยครับ

**ข้อควรทราบ**: เพื่อความโปร่งใส ผมขอแจ้งให้ทราบว่า Victory Tale เป็น partnerของ Constant Contact โดยทางเว็บไซต์จะได้รับส่วนแบ่งจากการขายจากทาง Constant Contact ครับ ดังนั้นถ้าคุณอุดหนุนทางผู้ให้บริการก็เท่ากับว่าอุดหนุนผมด้วย ผมจะได้นำรายได้ส่วนนี้มาพัฒนาเว็บไซต์ให้ดียิ่งขึ้นและผลิตบทความคุณภาพต่อไปครับ

2. MailChimp

MailChimp เป็นอีกหนึ่งเจ้าตลาดของธุรกิจ email marketing สาเหตุหลักเพราะเป็นไม่กี่เจ้าที่มีให้ใช้งานฟรีแบบตลอดกาล ราคาค่าใช้จ่ายอะไรก็ถือว่าต่ำกว่าผู้ให้บริการเจ้าอื่นครับ

ฟีเจอร์ของ MailChimp ประกอบด้วย

  • Drag & Drop Builder
  • Analytics
  • Automation – ส่งอีเมล์ให้ลูกค้าแบบอัตโนมัติในสถานการณ์ต่างๆ
  • Integration – เชื่อมต่อกับ WordPress, Shopify ฯลฯ
  • A/B Testing
  • Surveys
  • และอื่นๆ

โดยทั่วไปแล้วฟีเจอร์ของ MailChimp ยังถือว่าน้อยถ้าเทียบกับผู้ให้บริการอื่นๆ บางฟีเจอร์เองก็เพิ่งจะนำเข้ามาใหม่หรือว่าอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา ทำให้อาจเป็นอุปสรรคในการใช้งานได้

ทว่า MailChimp มีข้อดีหลักๆ เลยคือมีแพลนฟรีให้ใช้งานตลอดกาลครับ แพลนของ MailChimp ได้แก่

  • Free (ฟรีตลอดกาล)
  • Essentials (เริ่มต้นที่เดือนละ $9.99 หรือ 300 บาทต่อเดือน)
  • Standard (เริ่มต้นที่เดือนละ $14.99 หรือ 450 บาทต่อเดือน)
  • Premium (เริ่มต้นที่ $299 หรือ 9,000 บาทต่อเดือน)

แพลนฟรีตลอดกาลจะให้คุณส่งอีเมล์ให้ contacts 2,000 คนโดยไม่จำกัดจำนวนใดๆ แต่ฟีเจอร์ต่างๆที่ใช้สร้างอีเมล์จะจำกัดมากครับ เช่น template ที่ใช้ได้จะเป็นแบบ Basic เท่านั้น คุณไม่สามารถสร้างอีเมล์แบบซับซ้อนออกมาได้ครับ และอีเมล์ของคุณที่ส่งไปจะปรากฏคำว่า “MailChimp” อยู่ด้วย

สำหรับแพลนอื่นๆ จะคิดราคาในลักษณะเดียวกับ Constant Contact นั่นคือคิดตามจำนวน contact ไม่ใช่จำนวนอีเมล์ที่ส่งต่อเดือน และจะเพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ ขึ้นมาด้วย โดยฟีเจอร์หลักๆ ส่วนใหญ่จะมีให้ใช้งานตั้งแต่แพลนระดับ Standard ขึ้นไปครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมมองว่า MailChimp เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีถ้าคุณกำลังจะลองใช้ Email marketing สำหรับธุรกิจของคุณ แต่ถ้าจะใช้งานจริงๆ แบบเสียเงิน ควรจะใช้งานเจ้าอื่นจะดีกว่าครับ

3. GetResponse

ข้อควรระวัง!: GetResponse มีปัญหามากกับการช่วยเหลือลูกค้าในช่วงโรคระบาดที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นผมแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อนครับ

GetResponse เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการ Email marketing ที่ได้รับความนิยมสูงมาก แต่จริงๆ แล้ว GetResponse เป็นผู้ให้บริการ digital marketing แบบ all in one นั่นคือคุณจะได้ทั้ง email marketing, marketing automation และ landing page builder รวมไปถึง webinar ครับ

ดังนั้นถ้าคุณต้องการทุกอย่างในแพลตฟอร์มเดียว GetResponse น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดแล้ว

GetResponse

ฟีเจอร์ของ GetResponse มีหลากหลายมาก อาทิเช่น

  • Drag & Drop email editor
  • Personalized Messages – ใช้เทคโนโลยี dynamic content ในการสร้างอีเมล์ที่เหมาะกับความชอบของลูกค้าแต่ละคน
  • Email analytics
  • Integration – เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างเช่น Facebook, Instagram, Woocommerce ฯลฯ
  • A/B Testing
  • Automated Emails – ส่งอีเมล์อัตโนมัติได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็น Welcome, followup, Newsletters ฯลฯ
  • Surveys
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งนี้ถ้าคุณสมัครบริการของ GetResponse คุณจะได้ Marketing tools อื่นๆ ด้วยนอกเหนือจาก Email Marketing อาทิเช่น Sales Funnels และ Webinars ครับ

ส่วนเรื่องราคาจะต่างกันไปตามแพลน ได้แก่

  • Basic (เริ่มต้นที่ $15 หรือ 450 บาทต่อเดือน)
  • Plus (เริ่มต้นที่ $49 หรือ 1,470 บาทต่อเดือน)
  • Professional (เริ่มต้นที่ $99 หรือ 2,970 บาทต่อเดือน)

ทั้งนี้ราคาแต่ละแพลน เป็นราคาสำหรับ contact จำนวน 1,000 อีเมล์ ถ้าคุณมี contact มากกว่านี้ ราคาก็จะเพิ่มขึ้นไปตามลำดับ แต่ว่าถ้า contact ยิ่งเยอะ ราคาค่าส่งต่อ contact ก็จะถูกลงครับ นอกจากนี้ GetResponse ยังลดราคาให้คุณ 18% และ 30% ถ้าคุณสมัครแพลนเป็นเวลา 12 หรือ 24 เดือนตามลำดับ ถ้ายังสงสัยอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Pricing

GetResponse ให้คุณใช้งานฟรีได้ 30 วัน โดยไม่ต้องใส่ข้อมูลเครดิตการ์ดใดๆ

4. Sendinblue

Sendinblue เป็นอีกหนึ่งผู้ให้บริการ Email marketing ที่น่าสนใจมาก เพราะว่าความง่ายดายในการชั้นงาน และยังมีให้ใช้ฟรีตลอดกาลอีกด้วย ระยะหลังตัวแพลตฟอร์มก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก ทำให้มีประโยชน์มากต่อผู้ค้าครับ

Sendinblue

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Sendinblue มีจำนวนมาก อาทิเช่น

  • Drag and Drop Builder
  • Dynamic Content/Contact Segmentation – เปลี่ยนแปลง content ให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละคนได้อย่างง่ายดาย และสามารถ customize กลุ่มลูกค้าที่ส่งจดหมายได้อย่างสบายๆ
  • A/B Testing
  • Marketing Automation – ส่งอีเมล์หลากหลายรูปแบบโดยอัตโนมัติ
  • Integration – เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย
  • Analytics
  • Landing Page Builder
  • Live Chat – คุณไม่จำเป็นต้องเสียเงินค่าซอฟต์แวร์ Live Chat เพิ่มเติม เพราะว่า Sendinblue มีบริการดังกล่าวไว้แล้วเรียบร้อย
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างไรก็ดีบางฟีเจอร์จะมีเฉพาะแพลนระดับสูงเท่านั้นครับ แปลว่าถ้าคุณสมัครแพลนระดับต่ำก็จะใช้งานไม่ได้นั่นเอง

แพลนหลักๆ ของ Sendinblue แบ่งออกได้เป็น 4 แพลน ได้แก่

  • Free (ใช้งานฟรีตลอดกาล ส่งได้กี่ contact ก็ได้ แต่ได้แค่ 300 อีเมล์ต่อวัน โดยแต่ละอีเมล์จะมีโลโก้ “Sendinblue” ติดอยู่ด้วย)
  • Lite ($25 หรือ 750 บาทต่อเดือน) – ส่งได้ 40,000 อีเมล์ต่อเดือน (ยังมีโลโก้ของ Sendinblue อยู่)
  • Essential ($39 หรือ 1,170 บาทต่อเดือน) – ส่งได้ 60,000 อีเมล์ต่อเดือน
  • Premium ($66 หรือ 1,980 บาทต่อเดือน) – ส่งได้ 120,000 อีเมล์ต่อเดือน

ทั้งนี้แต่ละแพลนจะมีฟีเจอร์ที่แตกต่างกันด้วย กล่าวคือแพลนสูงกว่าจะได้ฟีเจอร์ที่มากกว่า อย่างเช่น Chat จะมีให้ใช้เฉพาะแบบ Premium เท่านั้นครับ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่

แพลนของ Sendinblue จะคิดราคาจากการส่งเป็นอีเมล์ต่อเดือน ซึ่งจะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการส่งอีเมล์ให้ลูกค้าจำนวนมาก แต่ส่งไม่บ่อยครับ เช่นเดือนละครั้งเป็นต้น ในกรณีนี้คุณจะเสียแค่ 1,170 บาท แต่ส่งหาลูกค้าได้มากถึง 60,000 คน ซึ่งจะถูกกว่าของ Constant Contact อย่างมากเลยทีเดียว

5. Convert Kit

ถ้าคุณลองผู้ให้บริการเจ้าอื่นแล้วยังรู้สึกว่าซับซ้อนเกินไป Convert Kit อาจจะเป็นผู้ให้บริการที่เหมาะกับคุณ เพราะ Convert Kit ต้องการทำให้ email marketing เป็นเรื่องง่ายที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเน้นไปที่ประสิทธิภาพของ conversion เป็นหลักครับ

Convert Kit

ฟีเจอร์ที่น่าสนใจของ Convert Kit ได้แก่

  • Email designer – สร้างอีเมล์ที่สวยงาม แต่เรียบง่าย และมีประสิทธิภาพด้วยตัวของคุณเอง
  • Segmentation – ส่งอีเมล์เฉพาะให้กับลูกค้าบางกลุ่มได้อย่างง่ายๆ
  • Automation – ส่งอีเมล์โดยอัตโนมัติให้กับลูกค้า
  • Analytics – เก็บสถิติและนำมาให้คุณวิเคราะห์
  • Integration – เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มต่างๆ อย่างเช่น WordPress, Shopify
  • Landing page builder
  • Sign up forms
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

แพลนของ Convert Kit ค่อนข้างเรียบง่าย นั่นคือมีอยู่ 2 แบบได้แก่

  • Free – มีฟีเจอร์ที่จำกัด แต่ฟรีตลอดกาล คุณสามารถส่งอีเมล์ที่ดีไซน์มาแล้วให้กับลูกค้าหรือสมาชิก 1,000 คนต่อเดือน
  • Complete (เริ่มต้นที่ $29 ต่อเดือน มีฟีเจอร์ครบ)

ราคาของแพลน complete จะเพิ่มขึ้นตามจำนวนลูกค้าที่คุณส่งอีเมล์ให้ อย่างเช่นถ้ามี 8,000 คน ราคาก็จะอยู่ที่ $99 หรือ 3,000 บาทต่อเดือนครับ นอกจากนี้ยังมีให้ใช้งานฟรีอีก 14 วันด้วย สมัครได้ที่นี่ครับ

6. Drip

Drip เป็นบริการ email marketing ที่เกิดมาเพื่อเว็บไซต์ขายของหรือ e-commerce โดยเฉพาะ แต่จริงๆ แล้ว Drip ให้มากกว่า email มาก คุณอาจจะเรียกว่า Drip เป็น marketing tool สำหรับเว็บไซต์ e-commerce เลยก็ว่าได้

Drip

ฟีเจอร์ของ Drip นั้นโดดเด่นเหนือกว่าเจ้าอื่นอย่างชัดเจนในเรื่อง e-commerce อาทิเช่น

  • Customer Data – Drip จะรวบรวมข้อมูลแทบทุกสิ่งจากลูกค้าที่เข้ามาเยี่ยมเยือนเว็บไซต์ของคุณ อาทิเช่น ลูกค้าซื้ออะไรบ้าง หรือกดดูอะไรบ้าง และยังมี custom field ให้ลูกค้ากรอกข้อมูลด้วย
  • Deep Segmentation/Personalization – Drip จะนำข้อมูลที่รวบรวมมาได้มาสร้าง campaign และ email ให้กับลูกค้าโดยเฉพาะเพื่อเพิ่มโอกาสการสร้าง conversion เช่นจะเลือก recommended product ในเว็บไซต์หรืออีเมล์ตามข้อมูลของลูกค้าเป็นต้น
  • Behavior-based Automations – ส่งอีเมล์หลากหลายรูปแบบอย่างอัตโนมัติในเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น โดยพิจารณาจากพฤติกรรมของลูกค้า
  • Visual Email Builder – สร้างอีเมล์อย่างมืออาชีพ และสวยงามอย่างง่ายดาย
  • Facebook and Instagram Integration – เชื่อมต่อกับ Facebook และ Instagram เพื่อสนับสนุน email marketing อีกทางหนึ่ง ข้อมูลความชอบของลูกค้าจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อหาโฆษณาที่น่าตรงใจลูกค้ามากที่สุด
  • Integration – เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์มอื่นๆ อย่างง่ายดาย
  • A/B Testing
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

โดยรวมแล้วเราไม่น่าจะปฏิเสธได้เลยว่า ฟีเจอร์ด้าน e-commerce ของ Drip นั้นแน่นมากๆ แต่ก็มีความซับซ้อนอยู่ เรียกได้ว่าต้องเรียนรู้พอสมควรกว่าจะใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพครับ

Drip มีสมาชิกอยู่แพลนเดียว และไม่มีการให้ใช้ฟรีตลอดกาลแต่อย่างใด ค่าใช้จ่ายของ Drip จะเริ่มต้นที่ $19 หรือ 570 บาทต่อเดือนสำหรับ 500 contacts และจะเพิ่มขึ้นตามลำดับตามจำนวน contacts ครับ

ทั้งนี้ Drip ให้คุณใช้ฟรีเป็นเวลา 14 วัน โดยไม่ต้องใส่เครดิตการ์ดใดๆ

7. Mailjet

สำหรับใครที่สนใจจะใช้บริการ email marketing แบบฟรีตลอดกาล Mailjet เป็นอีกผู้ให้บริการที่คุณควรพิจารณา เพราะให้มากถึง 6,000 อีเมล์ต่อเดือน แต่ให้ฟรีเยอะไม่ได้แปลว่าแพลตฟอร์มจะไก่กา

mailjet

ฟีเจอร์ของ Mailjet หลากหลายเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น

  • Drag & Drop Email Builder
  • Collaboration – คนในทีมช่วยกันสร้างและออกแบบอีเมล์ได้แบบ real-time
  • Automation – ส่งอีเมล์ได้หลากชนิดให้กับลูกค้าของคุณแบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะอีเมล์สำคัญๆ อย่าง Transactional Email
  • Contact Management – จัดการและแบ่งกลุ่มลูกค้าของคุณ
  • Analytics
  • Personalization – สร้างอีเมล์ที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน ด้วย dynamic content
  • Integration
  • A/B Testing
  • และอื่นๆ อีกมากมาย

อย่างที่ผมบอกไปแล้วนั่นคือ คุณสามารถใช้ Mailjet ได้ฟรีตลอดกาล แต่มีข้อจำกัดคือ คุณจะส่งไปกี่คนก็ได้ แต่ให้ใช้แค่ 6,000 อีเมล์ต่อเดือน และมีฟีเจอร์จำกัด นอกจากนี้ในทุกๆ อีเมล์จะมีตรา Mailjet ติดไปด้วย

สำหรับแพลนเสียเงินจะมี 2 แพลนได้แก่

  • Basic (เริ่มต้นที่ $9.65 หรือประมาณ 300 บาทต่อเดือน)
  • Premium (เริ่มต้นที่ $20.95 หรือประมาณ 630 บาทต่อเดือน)

แพลน Premium จะได้ฟีเจอร์สูงกว่าแบบ Basic และราคาด้านบนจะเป็นราคาสำหรับ 30,000 อีเมล์ต่อเดือน ถ้าต้องการมากกว่านี้ก็จะแพงกว่านี้ครับ นอกจากนั้นถ้าคุณจ่ายเป็นรายปีจะได้ส่วนลดทันที 10% ครับ

ใช้บริการ Email Marketing เจ้าไหนดี

  • ต้องการใช้ฟรีแบบถาวร – Mailchimp, Sendinblue, Convert Kit, MailJet
  • e-commerce โดยเฉพาะ – Drip
  • ส่งจำนวนคนเยอะ แต่ส่งไม่บ่อย – Sendinblue, Mailjet
  • ฟีเจอร์มีคุณภาพ หลากหลาย – Constant Contact, GetResponse

สำหรับผมแล้ว ผมมองว่าถ้าคุณต้องการจะใช้งาน Email marketing แบบเสียเงิน ทางเลือกที่ดีที่สุดน่าจะเป็น Constant Contact ครับ แต่ถ้าเป็น E-commerce ผมว่าไม่น่าจะมีบริษัทไหนเอาชนะ Drip ได้ง่ายๆ

อย่างไรก็ดีก่อนที่คุณจะเสียเงิน ผมแนะนำให้ลองสมัครใช้งานก่อนทุกครั้ง เพื่อดูว่าตัวโปรแกรมใช้งานง่ายเหมาะกับเราหรือไม่ โดยเฉพาะใครที่ไม่สันทัดเรื่องเทคโนโลยีต่างๆ ครับ เพราะบางแพลตฟอร์มอย่างเช่น Drip ค่อนข้างซับซ้อนอยู่เหมือนกัน

อีกหนึ่งการใช้งาน Email Marketing ที่คุณควรพิจารณาคือ การใช้งานคู่กับ Push Notifications ซึ่งเป็นเครื่องมืออีกตัวที่คุณสามารถนำมาช่วยเพิ่มยอดขายและ traffic บน landing page ของคุณได้ครับ

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!