ประวัติศาสตร์จุดเริ่มต้นของ "ยุคสามก๊ก" เกิดขึ้นอย่างไร ทำไมพวกเจ้าเมืองมีอำนาจ?

จุดเริ่มต้นของ “ยุคสามก๊ก” เกิดขึ้นอย่างไร ทำไมพวกเจ้าเมืองมีอำนาจ?

ยุคสามก๊กเป็นช่วงที่คนไทยรู้จักกันเป็นอย่างดี เพราะความโด่งดังของนิยายสามก๊กของหลอกว้านจงที่กินใจนักอ่านมาทุกยุคทุกสมัย

หากแต่ว่าท่านสงสัยหรือไม่ว่า ในหน้าประวัติศาสตร์แล้ว อะไรเป็นจุดเริ่มต้นของยุคสามก๊ก อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกขุนศึกในแต่ละเมืองเรืองอำนาจขึ้นมา?

เรื่องเกิดขึ้นในช่วงปลายสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

ภาพเขี่ยนสีสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก

ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเสื่อม

ราชวงศ์ฮั่นตะวันออก (ตงฮั่น) เป็นราชวงศ์ใหม่ที่หลิวซิ่วสถาปนาขึ้นหลังจากที่ปราบปรามหวางหมั่งแห่งราชวงศ์ซินได้สำเร็จ ราชวงศ์นี้รุ่งเรืองอยู่เกือบหนึ่งร้อยปีก็เริ่มส่อเค้าของความเสื่อมถอย

เมืองหลวงของราชวงศ์นี้อยู่ที่ลั่วหยาง (ลกเอี๋ยงในเรื่องสามก๊ก)

ฮั่นเหอตี้ ฮ่องเต้คนที่สี่แห่งราชวงศ์เป็นจักรพรรดิหนุ่มที่มีเมตตา แต่เป็นคนที่มีสติปัญญาธรรมดา และปราศจากความเด็ดขาด ทำให้ญาติของโต้วไท่โฮ่ว พระมารดาเลี้ยงมีอำนาจมาก และเริ่มคุกคามเสถียรภาพของราชวงศ์

ในการปราบปรามตระกูลโต้วนั้น ฮั่นเหอตี้ได้ใช้พวกขันทีเป็นกำลังสำคัญ ทำให้สามารถปราบตระกูลโต้วได้สำเร็จ ด้วยความที่พวกขันทีมีความดีความชอบ พวกเขาจึงได้รับมอบรางวัล และมีหน้าที่ที่ได้รับผิดชอบมากยิ่งขึ้น อำนาจของพวกขันทีเริ่มเพิ่มขึ้นทีละน้อย

หลังจากปราบตระกูลโต้วได้ไม่นาน ฮั่นเหอตี้ก็สวรรคตด้วยวัยเพียง 26 ปี การที่ฮ่องเต้สวรรคตตั้งแต่ยังเป็นหนุ่ม ทำให้รัชทายาทเป็นเด็กน้อยที่มีอายุเพียง 100 วันเท่านั้น รัชทายาทผู้นี้ครองราชย์ไม่ถึงปีก็ป่วยตายไปอย่างไม่ทราบสาเหตุ ทำให้บัลลังก์ไปตกอยู่กับฮั่นอันตี้ พระญาติของฮั่นเหอตี้ที่มีอายุเพียง 12 ปี

ฮั่นอันตี้ผู้นี้ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เมื่อเป็นวัยรุ่นก็เริ่มทำตัวเหลวแหลกด้วยการใช้เวลาไปกับสุรานารีทุกวัน และทิ้งราชการแผ่นดินทุกอย่างให้อยู่ในมือพวกขันที และตระกูลเหยียน ซึ่งเป็นตระกูลของหวงโฮ่ว พระอัครมเหสี

ทั้งพวกขันทีและตระกูลเหยียนต่างคอรัปชั่นกันยกใหญ่ อาณาจักรฮั่นตะวันออกที่เคยยิ่งใหญ่จึงเริ่มเสื่อมถอย เพราะปราศจากผู้ปกครองที่มีความสามารถ

หลังจากนั้นฮั่นอันตี้ก็ดำเนินรอยตามบรรพบุรุษของเขา นั่นคือป่วยตายตั้งแต่ยังหนุ่ม และทิ้งบัลลังก์ให้ผู้ที่อายุน้อยกว่าตนเองเสียอีก วงจรอุบาทว์จึงเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ดังต่อไปนี้

  1. ฮ่องเต้เด็กน้อยอยู่ในการดูแลของพวกขันทีหรือพระญาติ
  2. เมื่อโตขึ้นมาก็มัวเมาในสุรานารี
  3. ภายในไม่นานก็ป่วยตายตั้งแต่หนุ่ม และทิ้งบัลลังก์ให้เด็กน้อย
  4. ย้อนกลับไปข้อ 1

วงจรอุบาทว์ทำให้พวกขุนนางกังฉินและขันทีผงาดขึ้นมาในราชสำนักมากขึ้นตามลำดับ แต่ละคนต่างกอบโกยทุกสิ่งที่หามาได้ การปกครองหัวเมืองต่างๆก็เข้มงวดลดลงไปด้วย เปิดโอกาสให้เจ้าเมืองต่างๆ ใช้อำนาจได้เกินกว่าที่ราชสำนักกำหนดไว้ และพวกเจ้าของที่ดินเองก็เริ่มฉกฉวยที่ดินของประชาชนมาเป็นของตนโดยพลการ

โจรโพกผ้าเหลือง

อำนาจของขันทีพุ่งสูงขึ้นอีกจากที่สูงอยู่แล้วในสมัยของฮั่นหวนตี้ เพราะขันทีมีความดีความชอบในการปราบปรามเหลียงจี้ ขุนนางกังฉินตัวพ่อที่คิดจะชิงบัลลังก์ได้สำเร็จ

พวกปัญญาชนและขุนนางบางส่วนรู้สึกไม่พอใจพวกขันทีที่มีอำนาจมากในราชสำนัก ทำให้เกิดการต่อต้านขึ้นมาทั้งในสมัยของฮั่นหวนตี้และฮั่นหลิงตี้ (เลนเต้) ทั้งสองฝ่ายต่อสู้ในทางการเมืองกันอย่างรุนแรง แต่สุดท้ายพวกขันทีเป็นฝ่ายชนะด้วยการกวาดล้างพวกปัญญาชนและขุนนางที่ต่อต้านพวกตนออกจากราชสำนัก

หลังจากนั้นขันทีคือผู้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในราชสำนักอย่างแท้จริง ฮั่นหลิงตี้ถึงกับเรียกพวกขันทีว่า “พ่อ” พวกขันทีกดขี่ข่มเหงประชาชนได้ตามอำเภอใจ เพราะอำนาจของฮ่องเต้อยู่ในมือตน พวกตนจะทำอะไรก็ได้

พวกขันทีไม่รู้เลยว่าประชาชนกำลังเอือมระอากับการกดขี่เหล่านี้มานานแล้ว จนสุดท้ายพวกเขาก็ลุกฮือขึ้นภายใต้การนำของจางเจี่ยว (เตียวก๊ก) ในปี ค.ศ.184 ผู้ที่อ่านสามก๊กน่าจะรู้จักกันดีในนาม “โจรโพกผ้าเหลือง”

กบฏโจรโพกผ้าเหลืองส่ร้างความย่อยยับไปทั่วทั้งแผ่นดินจีน เพราะพวกกบฏได้บุกเข้าทำลายสถานที่ราชการและฆ่าฟันพวกข้าราชการ ทำให้ดินแดนต่างๆ ขาดการติดต่อกับรัฐบาลกลางไปโดยปริยาย ช่องว่างนี้เองที่ทำให้พวกเจ้าเมืองต่างๆ เริ่มใช้เป็นโอกาสในการสร้างฐานกำลังของตนเอง

เจ้าเมืองเรืองอำนาจ

นอกจากนี้ราชสำนักฮั่นต้องใช้กำลังทหารในการปราบกบฏ และเมื่อพวกกบฏเกิดขึ้นในทุกส่วนของประเทศ ราชสำนักที่อยู่ในสภาพที่ไร้เสถียรภาพจึงไม่มีปัญญาจะปราบได้ หลิวเยียน (บิดาของเล่าเจี้ยง) จึงเสนอให้ฮั่นหลิงตี้อนุญาตให้พวกเจ้าเมืองต่างๆ มีอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองเมืองของตัวเอง รวมไปถึงอำนาจทางการทหารด้วย

พวกเจ้าเมืองจึงมีอำนาจอย่างเป็นทางการนับตั้งแต่บัดนั้น

พวกเจ้าเมืองต่างๆ จึงเกณฑ์กำลังทหารเข้าต่อสู้กับพวกกบฏ พวกกบฏส่วนใหญ่จึงถูกปราบปรามอย่างราบคาบในปี ค.ศ.185 อย่างไรก็ตามพวกกบฏยังเกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ พวกเจ้าเมืองที่ไม่ต้องการคืนอำนาจให้กับราชสำนักจึงใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการคงกองทัพของตนต่อไป

นอกจากนี้เจ้าเมืองทุกคนยังรู้ดีว่า ราชสำนักฮั่นไม่มีศักยภาพที่จะบังคับพวกตนได้ เพราะราชสำนักเองกำลังปั่นป่วนอยู่กับการต่อสู้ระหว่างขุนนางและขันที เช่นกรณีสังหารสิบขันที และตั๋งโต๊ะ (ต่งจัว) เป็นต้น พวกเจ้าเมืองจึงใช้เวลาเหล่านี้สร้างความเข้มแข็งให้กับเมืองของตนเอง สถานะของเจ้าเมืองเหล่านี้จึงไม่ต่างอะไรกับเจ้าผู้ครองแคว้นในยุคชุนชิวจ้านกว๋อ

นานวันเข้าพวกเจ้าเมืองที่ต้องการอำนาจมากขึ้นจึงทำสงครามสู้รบกันเอง เกิดเป็นสงครามระหว่างพวกเจ้าเมืองหรือขุนศึกทั่วทั้งอาณาจักร โดยที่ราชสำนักฮั่นไม่สามารถปราบปรามได้

โจโฉ

ต่างจากยุคชุนชิวจ้านกว๋อที่การต่อสู้ดำเนินไปหลายร้อยปี การต่อสู้ของพวกเจ้าเมืองดำเนินไปได้ไม่กี่ปี ผู้ที่เปล่งประกายว่าจะรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งก็ได้เกิดขึ้นมา เขาก็คือ เฉาเชา หรือโจโฉ นั่นเอง

อย่างไรก็ตามการรวมแผ่นดินของโจโฉไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรต่อราชสำนักฮั่น เพราะโจโฉกุมฮ่องเต้ไว้ในอำนาจของตน เหล่าทหารและประชาชนของเขาต่างจงรักภักดีกับโจโฉ ไม่ใช่ต่อราชสำนัก

ในปี ค.ศ.220 โจผี (เฉาพี) บุตรชายของโจโฉได้สืบตำแหน่งของบิดา และได้บีบให้ฮ่องเต้เหี้ยนเต้ (ฮั่นเสียนตี้) สละราชสมบัติให้กับตนเอง ราชวงศ์ฮั่นตะวันออกจึงล่มสลายไปนับตั้งแต่บัดนั้น

ยุคสามก๊กดำเนินไปหลายสิบปี จนกระทั่งสุมาเอี๋ยนรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งอีกครั้งหนึ่ง สุมาเอี๋ยนตระหนักถึงอำนาจของเจ้าเมืองที่มีมากเกินไปจึงหาทางป้องกัน แต่วิธีการป้องกันของเขากลับทำให้ราชวงศ์จิ้นต้องพินาศเพราะสาเหตุอื่นในเวลาต่อมา

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!