สมรภูมิที่คูลิโคโว (Battle of Kulikovo) เป็นสมรภูมิที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์รัสเซีย คูลิโคโวมีส่วนสำคัญในการทำลายอำนาจของพวกมองโกลเหนือรัฐต่างๆ ในรัสเซีย และเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของแกรนด์ดัชชีแห่งมอสโก (Grand Duchy of Moscow) นครรัฐที่สร้างจักรวรรดิรัสเซียในเวลาต่อมา
ภายใต้มองโกล
พวกมองโกลได้ทำลายอาณาจักรคิเยฟสกายา รุสในปี ค.ศ.1240 ดินแดนรัสเซียได้แตกออกเป็นหลายส่วน แต่ละส่วนต่างมีนครรัฐอิสระเกิดขึ้นมาหลายแห่ง แต่ทุกแห่งย่อมอ่อนน้อมต่อข่านแห่งอาณาจักรโกลเด้นฮอร์ด (Golden Horde) บุตรหลานของโจชิ ลูกชายคนโตของเจงกิสข่าน
ถึงแม้จะได้ชื่อว่าอยู่ใต้อำนาจมองโกล แต่นครรัฐต่างๆ ในรัสเซียต่างมีอิสระในระดับหนึ่ง พวกมองโกลไม่ได้มายุ่งเกี่ยวกับเรื่องในอาณาจักรมากนัก พวกมองโกลต้องการแค่บรรณาการ ทรัพย์สินเงินทอง และการยอมรับว่าเมืองต่างๆ เป็นเมืองขึ้นของพวกเขาเท่านั้น
เอาง่ายๆ พวกมองโกลแค่ต้องการเงิน และการยอมรับว่า พวกลื้อเป็นลูกน้องนะ ถ้าจ่ายเงินและยอมก้มหัวให้อั๊ว พวกลื้อจะทำอะไรก็ทำไป
แว่นแคว้นทั้งหลายในรัสเซียตกอยู่ภายใต้อำนาจของมองโกลหรือพวกโกลเด้นฮอร์ดมานานร้อยกว่าปี ในช่วงเวลานี้ได้มีนครรัฐแห่งหนึ่งที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 14
นครรัฐแห่งนี้คือ นครรัฐมอสโก
นครรัฐแห่งนี้เรืองอำนาจมาได้เพราะ การเป็น “ลูกน้อง” ที่ดีของข่านแห่งโกลเด้นฮอร์ด ตามนโยบายของอีวานที่ 1 คเนียส (Knyaz) แห่งมอสโก
อีวานทำหน้าที่เป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ของข่าน ทำให้เขาได้รับหน้าที่เป็นผู้เก็บภาษีทั้งหมดที่พวกมองโกลรีดเอามาจากนครรัฐในรัสเซียอื่นๆ ไม่ต้องสงสัยว่าอีวานต้องเก็บภาษีไว้บ้างเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ทำให้อีวานและมอสโกร่ำรวยมาก
นอกจากนี้อีวานยังเริ่มฐานอำนาจของมอสโกขึ้นมาลับๆ เขาขยายดินแดนในปกครองของมอสโกออกไปผ่านทางการใช้เงินซื้อดินแดนบ้าง ทำสงครามบ้าง
ด้วยความไว้ใจทำให้พวกมองโกลไม่สงสัย มอสโกจึงแข็งแกร่งขึ้นอย่างเงียบๆ และเริ่มวัดรอยเท้า “เจ้านาย” อย่างช้าๆ
คเนียสคนต่อๆมา ของมอสโกต่างดำเนินนโยบายของอีวานต่อไป นั่นก็คือประจบพวกมองโกลเพื่อสร้างความเข้มแข็งและร่ำรวยให้กับมอสโก
มอสโกอยู่ในสถานะนี้อีกหลายสิบปี จนกระทั่งในปี ค.ศ.1350 บุรุษคนหนึ่งก็ได้กำเนิดขึ้น เขาชื่อว่า
ดมิทรี อีวาโนวิช
ดมิทรี
ดมิทรี อิวาโนวิช (Dmitri Ivanovich) เป็นโอรสของ คเนียสอีวานที่ 2 แห่งมอสโก เมื่อเขาอายุได้ 9 ขวบ กาฬโรคก็ระบาดอย่างหนักในมอสโก ทำให้บิดามารดาและญาติพี่น้องจำนวนมากจากไป
ตำแหน่งคเนียสแห่งมอสโกกลับไปตกอยู่กับ ดมิทรีแห่งซูสดัล (Dmitri of Suzdal) เพราะดมิทรียังเด็กและยังไม่สามารถจัดการเรื่องใดๆ ด้วยตัวเองได้
ในปี ค.ศ.1363 ดมิทรีได้แย่งอำนาจกลับมาได้สำเร็จ และขึ้นเป็นคเนียสแห่งมอสโกอย่างเป็นทางการ โดยเขาได้สมรสกับบุตรสาวของดมิทรีแห่งซูสดัล เพื่อเป็นการประนีประนอมกับอีกฝ่าย
ดมิทรีเป็นคนกล้าหาญมาตั้งแต่เด็กแล้ว เมื่อเขาโตขึ้น เขาเริ่มรวบรวมดินแดนต่างๆ ในรัสเซียเข้าเป็นหนึ่งเดียว ดมิทรีต้านทานการรุกรานของลิทัวเนียเอาไว้ได้ และแผ่ขยายอาณาเขตด้วยการเขมือบเมืองข้างๆ อย่างวลาดิเมียร์ ภายในเวลาไม่นาน มอสโกก็มีอาณาเขตเพิ่มขึ้นถึงสองเท่า
อิทธิพลของดมิทรีแผ่กระจายไปดินแดนทุกส่วนในรัสเซีย คเนียสคนอื่นๆต่างยอมรับดมิทรีในฐานะผู้นำของแว่นแคว้นรัสเซียทั้งปวง และสนับสนุนการตัดสินใจของเขา
ในขณะนั้น ดมิทรีจึงตัดสินใจว่าเขาจะลองเผชิญหน้ากับพวกมองโกลแบบเปิดเผยดูบ้าง เพราะพวกมองโกลก็มีสงครามกลางเมืองอยู่ด้วย ถ้าแว่นแคว้นรัสเซียปลดแอกได้สำเร็จ ภาษีที่ขูดรีดจะได้เลิกไปเสียที
ดังนั้นดมิทรีประกาศว่า ต่อไปนี้หัวเมืองรัสเซียทั้งปวงจะไม่ส่งส่วยให้กับพวกมองโกลอีกต่อไป ผลที่คือมาไม (Mamai) แม่ทัพผู้กุมอำนาจสูงสุดในอาณาจักรโกลเด้นฮอร์ดโกรธมาก เขาส่งทหาร 50,000 นาย มาตีรัสเซียทันที ในปี ค.ศ.1378
ดมิทรีส่งกองทัพออกไปขัดขวาง และเผชิญหน้ากับข้าศึกที่แม่น้ำ Vozha ในระหว่างการต่อสู้ ดมิทรีเกือบจะเพลี่ยงพล้ำ กองทัพมองโกลโจมตีกองทัพพันธมิตรรัสเซียจากสองด้าน แต่ดมิทรีต้านทานเอาไว้ได้ เขาสั่งให้กองทัพรัสเซียตีโต้ตอบ ผลที่ออกมาคือ
พวกมองโกลแพ้ต่อกองทัพรัสเซียเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ แม่ทัพมองโกลถูกสังหาร ทหารมองโกลจำนวนมากจมน้ำตายในแม่น้ำ Vozha
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ชาวรัสเซียทั้งปวงใจชื้นขึ้น ทหารทุกนายเห็นว่าทหารม้ามองโกลมิได้แข็งแกร่งขนาดที่เอาชนะไม่ได้อีกต่อไป นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของทุกคนที่มีต่อดมิทรียังมีมากเป็นทวีคูณ
การเสี่ยงของดมิทรี
สองปีต่อมา มาไม ผู้ทรงอำนาจในอาณาจักรโกลเด้นฮอร์ดได้ยกทัพขนาดใหญ่มาตีรัสเซียทันที เป้าหมายอันดับหนึ่งของเขาคือ มอสโก เมืองหลวงของดมิทรี
จำนวนกองทัพมองโกลของมาไมไม่ปรากฏแน่ชัด บ้างว่า 50,000 นาย บ้างว่ามากถึง 150,000 นายเลยทีเดียว สำหรับฉบับตำนานแล้ว กองทัพมองโกลมีมากถึง 1,400,000 นาย ซึ่งเห็นได้ชัดว่า “เวอร์”
แต่ที่แน่ๆ คือกองทัพมองโกลมีขนาดใหญ่กว่ากองทัพฝ่ายรัสเซีย
เมื่อดมิทรีได้ทราบข่าวศึก เขาได้รวมกำลังของแว่นแคว้นรัสเซียอีกนับสิบแคว้นเข้าเป็นกองทัพพันธมิตร เพื่อเข้าต่อสู้กับกองทัพของพวกมองโกล โดยรวมแล้วจำนวนทหารรัสเซียมีไม่เกิน 50,000 นาย แต่ในฉบับตำนานว่า 500,000 นาย ซึ่งเวอร์อีกเช่นเดียวกัน
หลังจากกองทัพพร้อมแล้ว ดมิทรียกกองทัพลงใต้มาเผชิญหน้ากับศัตรู
กองทัพทั้งสองฝ่ายได้มาถึงแม่น้ำดอน (Don River) ดมิทรีและแม่ทัพคนอื่นๆตัดสินใจว่าจะข้ามแม่น้ำไปปะทะกับพวกมองโกลที่ตั้งอยู่ฝ่ายตรงข้าม กระบวนรบลักษณะนี้คือกระบวนรบหลังอิงน้ำ ถ้าแพ้ขึ้นมาจะถอยไม่ได้ แต่ดมิทรีตัดสินใจทำเช่นนี้ เพราะเขาต้องการปะทะกับศัตรูโดยเร็วที่สุด
สาเหตุที่เขาต้องการปะทะก็เพราะกองทัพมองโกลยังมาถึงไม่หมด จำนวนกองทัพมองโกลที่อยู่ในสมรภูมิจึงพอๆ กับกองทัพรัสเซีย นั่นก็คือประมาณ 50,000-60,000 คน
เช้าวันที่ 8 กันยายน ค.ศ.1380 กองทัพรัสเซียทั้งหมดข้ามแม่น้ำดอนไปภายใต้หมอกที่ลงจัด เมื่อมาไมเห็นกองทัพรัสเซียมาแล้ว เขาจึงส่งกำลังออกมาต่อสู้
การต่อสู้เริ่มต้นด้วยการให้นักรบที่มีฝีมือที่สุดของทั้งสองฝ่ายมาดวลกัน ปรากฏว่าทั้งสองสังหารอีกฝ่ายจนสิ้นชีวิตพร้อมกันกลางสมรภูมิ หลังจากนั้นกองทัพทั้งสองก็เข้าต่อสู้กัน ยุทธการแห่งคูลิโคโวได้เริ่มต้นแล้ว
สู้ยิบตา
ดมิทรีได้เลือกสมรภูมิได้ดีเยี่ยม เขาเลือกสมรภูมิที่เป็นที่แคบ ทำให้เหล่าทหารม้าเคลื่อนที่ได้ลำบาก และด้านข้างของกองทัพรัสเซียยังเป็นเนินลาดลงไป ทำให้ทหารม้ามองโกลไม่สามารถยกมาตีกระหนาบได้
การต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี ดมิทรีคุมทหารต่อสู้อยู่กลางสมรภูมิ ทั้งสองฝ่ายต่างได้รับความเสียหายอย่างหนัก เจ้าชายดมิทรีเองก็ต้องอาวุธได้รับบาดเจ็บ แต่ยังแข็งใจต่อสู้ต่อไป
เมื่อต่อสู้ไปเรื่อยๆ ฝ่ายที่ได้เปรียบคือฝ่ายมองโกล กองทัพมองโกลตีส่วนกลางของฝ่ายรัสเซียแตก และสังหารแม่ทัพรัสเซียได้อีกด้วย ปีกซ้ายของกองทัพรัสเซียก็ถูกผลักดันอย่างหนัก จวนจะแตกอยู่มะรอมมะร่อ ทหารใหม่ที่เกณฑ์มาต่างเริ่มตื่นตระหนกและเริ่มถอยหนีแล้ว
มาไมเห็นฝ่ายตนเองกำลังได้ชัยชนะ เขาจึงสั่งให้กองทัพทั้งหมดโหมเข้าโจมตีทันที
แต่ดมิทรียังมีทหารอีกกองหนึ่งที่เขาเก็บไว้ก่อนหน้านี้
ทหารกองนี้เป็นทหารม้า พวกเขาได้รับหน้าที่ให้แอบอยู่ในป่าโอ๊คด้านหลังของกองทัพรัสเซีย ดังนั้นเมื่อพวกมองโกลผลักดันแนวหน้าของกองทัพรัสเซียให้ถอยมา ทหารกองนี้จึงเข้าโจมตีด้านข้างของกองทัพมองโกล
พวกมองโกลที่เคยซุ่มโจมตีศัตรูจึงเป็นฝ่ายถูกซุ่มโจมตีบ้าง
การโจมตีของทหารม้าที่ยังสดทำให้แนวรบของฝ่ายมองโกลต้านทานไม่อยู่ ประกอบกับความตื่นตระหนกที่ถูกซุ่มโจมตีด้วย กองทัพมองโกลเริ่มถอยหนีอย่างอลหม่าน เปิดโอกาสให้กองทัพรัสเซียไล่สังหารได้เป็นจำนวนมาก
กองทัพมองโกลแตกย่อยยับ ทหารม้ารัสเซียไล่ตามไปถึง 50 กิโลเมตรถึงจะหยุดลง
ดมิทรีที่อยู่ในสมรภูมิแทบจะทรงกายไว้ไม่อยู่ เพราะอาการเหนื่อยล้าที่ต่อสู้จากเช้ามาจนเย็นและอาการบาดเจ็บ แต่ก็รอดชีวิตมาได้
ชัยชนะครั้งนี้ทำให้ดมิทรีได้รับการขนานนามว่า ดมิทรี ดอนสกอย (Dmitry Donskoi) หรือดมิทรีแห่งแม่น้ำดอน
ผลที่ตามมา
ความพ่ายแพ้ครั้งนี้ไม่ได้ทำให้รัสเซียเป็นอิสระอย่างเป็นทางการ เพราะในเวลาไม่นานกองทัพมองโกลก็ได้ย้อนกลับมาอีกครั้งภายใต้ข่านคนใหม่ และทำการยึดมอสโกได้เป็นผลสำเร็จ ดมิทรีจำต้องกลับไปยอมรับอำนาจของมองโกลเหนือรัสเซียอีกครั้งหนึ่ง
ถึงแม้จะพ่ายแพ้ในบั้นปลาย ยุทธการที่คูลิโคโวทำให้ความกลัวพวกมองโกลของชาวรัสเซียลดน้อยลงกว่าเดิมมาก ถึงขนาดที่ดมิทรีมอบตำแหน่งคเนียสให้บุตรชายตนเองโดยปราศจากความยินยอมจากข่านแห่งโกลเด้นฮอร์ด อิทธิพลของมองโกลในดินแดนรัสเซียลดลงจนแทบไม่เหลืออยู่เลยทีเดียว
ชาวรัสเซียต้องรออีกประมาณหนึ่งร้อยปีจนกระทั่งถึงสมัยของอีวานมหาราช (ค.ศ.1480) ถึงจะเป็นอิสระจากมองโกลอย่างทางการ