ประวัติศาสตร์เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 2: ศัตรูทางการเมืองและการก่อรัฐประหาร

เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 2: ศัตรูทางการเมืองและการก่อรัฐประหาร

จากความเดิมตอนที่แล้ว (ถ้าใครยังไม่ได้อ่าน สามารถเลื่อนลงไปท้ายสุดของบทความและไล่อ่านขึ้นมาได้ครับ) เจี่ยหนานเฟิงได้แต่งงานกับรัชทายาทซือหม่าจงอย่างไม่น่าเชื่อ เธอจึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นไท่จื่อเฟย หรือพระชายาหลักของรัชทายาท

อย่างไรก็ดีด้วยความที่ซือหม่าจงอายุเพียง 12 ปี และยังมีสติปัญญาที่ไม่สมบูรณ์ เจี่ยหนานเฟิงที่อายุมากกว่าและมีความพี่สาวจึงเริ่มมีอิทธิพลเหนือสามีอย่างช้าๆ กล่าวคือนางทำให้สามีรักและกลัวเธอไปในเวลาเดียวกัน

ถ้าให้ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว เจี่ยหนานเฟิงไม่น่าจะใช่คนสวย โดยเฉพาะถ้าเราอ้างอิงจากสิ่งที่จิ้นหวู่ตี้เคยตรัสออกมา แต่นางมีความฉลาดอย่างที่หาตัวจับได้ยาก ดังนั้นนางจึงใช้มันให้เป็นประโยชน์ให้ซือหม่าจงหลงรักเธอ

ทุกคนในราชสำนักรู้ดีอยู่แล้วว่าซือหม่าจงมีปัญหาเรื่องสติปัญญา พวกขุนนางหลายคนจึงพยายามให้จิ้นหวู่ตี้สลับเปลี่ยนรัชทายาทเพื่อป้องกันเภทภัยในภายภาคหน้า จิ้นหวู่ตี้เองก็ทราบดี แต่ก็ยังไม่อยากทำเช่นนั้น มีอยู่วันหนึ่งพระองค์จึงตัดสินใจหลงทดสอบสติปัญญาของซือหม่าจงดูด้วยการส่งคำถามมาหลายข้อมาให้ซือหม่าจงตอบ

ซือหม่าจงไม่มีความสามารถจะตอบได้อยู่แล้ว เจี่ยหนานเฟิงจึงยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือสามี

วิธีการของนางนั้นไม่ได้ยากอะไรเลย นางแค่ไปจ้างปัญญาชนมาสองสามคน และเขียนคำตอบสั้นๆ แต่ถูกต้องแล้วส่งกลับไป การที่เลือกคำตอบสั้นๆ ก็เพราะถ้าเป็นคำตอบยาวๆ ฮ่องเต้ก็จะสงสัย เพราะเห็นได้ชัดว่าซือหม่าจงไม่มีปัญหาเขียนอะไรยาวๆ ได้อยู่แล้วนั่นเอง

ปรากฏว่าจิ้นหวู่ตี้กลับประทับใจในคำตอบมาก และเลือกที่จะไม่ทำตามการร้องขอของพวกขุนนางแต่อย่างใด

สำหรับเจี่ยหนานเฟิงแล้ว เหตุการณ์นี้ถือเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ เพราะนอกจากนางจะทำให้ตนเองยังอยู่ในตำแหน่งไท่จื่อเฟยแล้ว นางยังได้ความรักและความไว้ใจจากสามีอีกด้วย อย่างไรก็ดี ถ้ามองในมุมของราชวงศ์จิ้นแล้ว เมล็ดพันธุ์ของความพินาศกำลังถูกปลูกลงอย่างช้าๆ จากการที่ฮ่องเต้ไร้สติปัญญาที่อยู่ในกำมือของชายาที่ฉลาดและมีอำนาจนั่นเอง

โบราณวัตถุจากราชวงศ์จิ้นตะวันตก ร่วมสมัยกับเจี่ยหนานเฟิง By Uploadalt – Own work, photographed at Shanghai Museum, CC BY-SA 3.0

ไม่มีลูกชาย

หลังจากนั้นชีวิตการแต่งงานของซือหม่าจงและเจี่ยหนานเฟิงก็ดูเหมือนว่าจะดำเนินไปด้วยดี ทั้งสองมีลูกด้วยกันถึง 4 คน แต่กลับเป็นว่าลูกทุกคนเป็นลูกสาวทั้งหมด! สิ่งที่จิ้นหวู่ตี้กังวลว่าตระกูลเจี่ยไม่ให้กำเนิดบุตรชายเลยจึงเป็นจริงเสียอย่างนั้น

สำหรับคนจีนแล้วนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคโบราณ การมีลูกชายถือเป็นเรื่องสำคัญเพราะเป็นผู้ทำหน้าที่สืบทอดตระกูล ขณะที่ลูกสาวนั้น เมื่อแต่งเข้าสกุลอื่นไปก็ถือว่าจบไป

นอกจากนี้ถ้าเป็นกรณีในราชสำนักแล้ว การไม่มีลูกชายให้สามีถือว่าเป็นเรื่องแย่มากกว่าเดิมหลายสิบเท่า สาเหตุที่ว่าก็คือสถานะการเป็นภรรยาเอก (ฟูเหริน) ของตนเองไม่มั่นคง

ยกตัวอย่างเช่นสามีอาจหันไปโปรดปรานภรรยาคนอื่น และภรรยาคนนั้นให้กำเนิดบุตรชายก็จะยิ่งได้รับการโปรดปรานขึ้นไปอีก ผลสุดท้ายตนเองจะโดนอัปเปหิจากตำแหน่งภรรยาเอกได้ง่ายๆ (ดูเคสบูเช็คเทียนกำจัดหวงโฮ่วของถังเกาจงเป็นตัวอย่างได้)

ดังนั้นเมื่อผ่านการคลอดไปสี่ครั้งแล้ว เจี่ยหนานเฟิงก็ยังไม่ได้ลูกชายเสียที นางจึงเริ่มเครียดและกังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภรรยานางอื่นที่เกิดกับซือหม่าจงมีบุตรชาย

ภรรยาคนที่ว่าก็คือสนมเซี่ย สนมคนนี้เคยเป็นสนมของจิ้นหวู่ตี้มาก่อน แต่จิ้นหวู่ตี้กลับมอบให้โอรสอย่างซือหม่าจงก่อนที่เขาจะแต่งงานกับเจี่ยหนานเฟิงเล็กน้อย

สาเหตุที่จิ้นหวู่ตี้ทำเช่นนั้นก็เพราะว่าต้องการให้สนมเซี่ยสอนการมีเพศสัมพันธ์ให้กับซือหม่าจง! และเรื่องราวก็เริ่มซับซ้อนขึ้นไปอีก เพราะนางเป็นคนเดียวที่ให้กำเนิดซือหม่ายี่ว์ บุตรชายคนเดียวของซือหม่าจง

หลังจากนั้นเจี่ยหนานเฟิงจึงอิจฉาริษยาและเกลียดชังสนมเซี่ยและซือหม่ายี่ว์ แต่ก็ไม่กล้าแตะต้อง เพราะจิ้นหวู่ตี้โปรดหลานปู่คนนี้เป็นอย่างมาก เพราะว่าเหตุการณ์ต่อไปนี้

มีอยู่วันหนึ่งได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่ในเมืองลั่วหยาง จิ้นหวู่ตี้จึงเสด็จขึ้นไปบนหอคอยเพื่อจะตรวจดูสถานการณ์ ในตอนนั้นเองซือหม่ายี่ว์ที่มีอายุ 4 ขวบได้กล่าวขึ้นว่า

เมื่อมีเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลเกิดขึ้น เราควรระมัดระวัง ฮ่องเต้ไม่ควรให้แสงเพลิงต้องพระวรกาย

จิ้นหวู่ตี้ที่ได้ยินเช่นนั้นจึงประทับใจในความฉลาดของซือหม่ายี่ว์ และมองว่าเมื่อโตขึ้น เขาน่าจะชาญฉลาดเหมือนกับซือหม่าอี้ (สุมาอี้) ปู่ของพระองค์เอง หลังจากนั้นซือหม่ายี่ว์ก็เป็นหลานที่จิ้นหวู่ตี้โปรดปรานที่สุด และเชื่อกันว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้จิ้นหวู่ตี้ยังคงให้ซือหม่าจงเป็นรัชทายาทต่อไป

ด้วยสาเหตุนี้เจี่ยหนานเฟิงจึงยิ่งหวาดกลัวเรื่องสถานะของตนเอง แถมจะทำอะไรสองแม่ลูกก็ทำไม่ได้ นางจึงไปลงกับสนมคนอื่นแทน กล่าวคือถ้าสนมคนอื่นของซือหม่าจงตั้งครรภ์ นางจะสังหารพวกนางเหล่านั้นจนหมดสิ้น เพื่อที่จะได้ไม่มีเสี้ยนหนามมาให้รังควานใจนางอีก

อย่างไรก็ดีพฤติกรรมนี้ทราบไปถึงจิ้นหวู่ตี้ ทำให้พระองค์พิโรธใหญ่ และต้องการจะปลดเจี่ยหนานเฟิงออกจากตำแหน่ง แต่แล้วเพราะหวางหวงโฮ่ว (เป็นน้องสาวของหวางหวงโฮ่วในตอนที่แล้ว) ขอให้พระองค์ละเว้นโทษไว้สักครั้งหนึ่ง เจี่ยหนานเฟิงจึงรอดไปได้อย่างหวุดหวิดอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด ถึงกระนั้นชื่อเสียงในการลบของนางก็ฉาวโฉ่ไปทั่วราชสำนัก ทุกคนในวังต่างรู้ว่าไท่จื่อเฟยนั้นอำมหิต กระหายอำนาจ และพร้อมที่จะทำเรื่องผิดศีลธรรมเพื่อความต้องการของตนเอง

สำหรับหวางหวงโฮ่วนั้น นางไม่รู้เลยว่านางได้ช่วยเหลืองูพิษเอาไว้ และนางกำลังจะโดนแว้งกัดในอีกไม่กี่ปีต่อมา

ขึ้นเป็นหวงโฮ่ว

โชคเป็นของเจี่ยหนานเฟิง เพราะหลังจากเหตุการณ์นั้นไม่นาน จิ้นหวู่ตี้ก็สวรรคต ซือหม่าจงจึงขึ้นครองราชย์ตามธรรมเนียมเป็นฮ่องเต้นามว่า จิ้นฮุ่ยตี้ ส่วนนางก็ได้เป็นหวงโฮ่ว ผู้กุมอำนาจสูงสุดเหนือตำหนักใน

แต่เรื่องไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด กลิ่นอายของการแย่งชิงอำนาจนั้นมีมาตั้งแต่จิ้นหวู่ตี้จะสิ้นลมแล้ว ทั้งนี้ก่อนที่จะสวรรคต จิ้นหวู่ตี้ได้เขียนพินัยกรรมไว้ว่าให้หยางจวิ้น (พ่อของหวางหวงโฮ่ว) และซือหม่าเลี่ยง (อาของจิ้นหวู่ตี้) เป็นผู้สำเร็จราชการคู่และคอยช่วยเหลือจิ้นฮุ่นตี้ แต่หวางจวิ้นกลับปลอมพินัยกรรม ด้วยการตัดชื่อซือหม่าเลี่ยงออกไป

ด้วยเหตุนี้ในต้นรัชกาลของจิ้นฮุ่ยตี้ หวางจวิ้นจึงมีอำนาจล้นฟ้าเป็นผู้สำเร็จราชการแต่เพียงผู้เดียว ทว่าคนที่เขากลัวเกรงในขณะนั้นก็คือเจี่ยหนานเฟิง เพราะหวางจวิ้นรู้ดีว่าเจี่ยหนานเฟิงก็ต้องการอำนาจไม่แพ้กัน และนางย่อมใช้อำนาจผ่านทางฮ่องเต้สามีผู้มีปัญหาทางด้านสติปัญญาอย่างแน่นอน

เมื่อเป็นเช่นนี้หวางจวิ้นจึงใช้อำนาจสั่งว่าพระบรมราชโองการจะต้องผ่านการพืจารณาและลงตราประทับโดยหวางไท้โฮ่ว ผู้เป็นบุตรสาวของตนก่อนเท่านั้น นี่เท่ากับว่าเป็นการ block อำนาจของเจี่ยหนานเฟิงโดยสมบูรณ์

เจี่ยหนานเฟิงรู้สึกโกรธเคืองและไม่พอใจอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะหวางจวิ้นมีกองทัพและฐานกำลังที่แข็งแกร่งมากในราชสำนัก ถ้าบุ่มบ่ามแล้วจะลงไปเจอกับยมบาลได้ง่ายๆ

ก่อรัฐประหาร

อย่างไรก็ดีการใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นนั้นของหวางจวิ้นก็ทำให้ขุนนางและแม่ทัพจำนวนมากไม่พอใจอย่างมาก จากเดิมที่เกลียดอยู่แล้วเพราะหวางจวิ้นปลอมพินัยกรรมของจิ้นหวู่ตี้ หวางจวิ้นพยายามแก้ปัญหาด้วยการมอบตำแหน่งสูงๆ ให้กับคนเหล่านั้น แต่ก็ไม่เป็นผล

ที่ปรึกษาคนหนึ่งได้แนะนำว่าให้หวางจวิ้นนำซือหม่าเลี่ยงกลับเข้ามาเป็นผู้สำเร็จราชการ เพื่อลดความตึงเครียดและประนีประนอมกับกลุ่มต่อต้าน แต่หวางจวิ้นกลับปฏิเสธ บรรยากาศในราชสำนักจิ้นจึงเริ่มมีกลิ่นอายของความกระหายเลือดเพิ่มขึ้นทุกที

เจี่ยหนานเฟิงได้ทราบชัดเจนจึงเห็นเป็นโอกาส นางคบคิดกับซือหม่าเว่ย น้องชายของจิ้นฮุ่ยตี้ เหล่าขันทีและแม่ทัพอีกหลายคนในการล้มอำนาจหวางจวิ้น ตามแผนการก็คือให้ซือหม่าเว่ยนำกำลังทหารกลับมาจากจิงโจว (เกงจิ๋ว) แล้วเข้าตีฝ่ายหวางจวิ้นทันที

ในปี ค.ศ.291 เหตุการณ์เป็นไปตามที่เจี่ยหนานเฟิงวางไว้ กองกำลังของซือหม่าเว่ยเข้าโจมตีฝ่ายหวางจวิ้นอย่างดุเดือด ระหว่างที่ยังไม่มีผู้ใดได้รับชัยชนะเด็ดขาด เจี่ยหนานเฟิงได้ให้จิ้นฮุ่ยตี้ออกพระบรมราชโองการว่าหวางจวิ้นเป็นกบฏ และสั่งให้ทหารหลวงเข้าโจมตีหวางจวิ้น

ขณะนั้นเองหวางไท่โฮ่วที่อยู่ในวังเช่นเดียวกันเห็นว่าตระกูลของตนกำลังจะพินาศ นางจึงออกพระบรมราชโองการออกมาตอบโต้ เจี่ยหนานเฟิงจึงถือโอกาสนี้อ้างว่าหวางไท่โฮ่วเป็นกบฏด้วย และจับตัวพระนางไปคุมขังไว้อย่างแน่นหนา

การแย่งชิงอำนาจจบลงในไม่ช้า หวางจวิ้นพ่ายแพ้และถูกสังหารทั้งครอบครัว ส่วนหวางไท่โฮ่วที่เคยช่วยเหลือเจี่ยหนานเฟิงเอาไว้นั้นรอดชีวิตไปได้ แต่ก็ถูกถอดออกจากตำแหน่ง และถูกคุมขังในวังอย่างรัดกุม หวางจวิ้น ศัตรูทางการเมืองคนแรกของเจี่ยหนานเฟิงจึงจบสิ้นลง

ในเวลานั้นไม่มีใครรู้เลยว่า เหตุการณ์รัฐประหารของเจี่ยหนานเฟิงครั้งนั้นจะเป็นปฐมบทแห่งความวุ่นวายใหญ่โต และนำมาซึ่งความวินาศสันตะโรไปอีกนานนับร้อยปี

References

  • Book of Jin
  • Zizhi Tongjian

ตอนอื่นๆ

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!