ประวัติศาสตร์เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 1: หวงโฮ่วตัวแสบผู้นำมาซึ่งความย่อยยับของราชวงศ์จิ้น

เจี่ยหนานเฟิง ตอนที่ 1: หวงโฮ่วตัวแสบผู้นำมาซึ่งความย่อยยับของราชวงศ์จิ้น

ในหน้าประวัติศาสตร์จีนนั้น เมื่อใดที่ผู้หญิงกุมอำนาจ เธอผู้นั้นมักจะเป็นบุคคลที่ controversial หรือสามารถโต้แย้งกันได้ว่าจริงๆ แล้วเธอมีแง่บวกในแง่ลบมากกว่ากัน

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุด นั่นก็คือบูเช็คเทียน จักรพรรดินีหญิงคนเดียวของจีน, ซูสีไทเฮา ผู้กุมฮ่องเต้ราชวงศ์ชิงถึงสองรัชกาล หรือแม้กระทั่งเฟิงไท่โฮ่วแห่งราชวงศ์เว่ยเหนือ (ตัวตนในประวัติศาสตร์ของเจ้าหญิงเว่ยยัง)

อย่างบูเช็คเทียนนั้น เราจะเห็นว่าพระนางโหดร้ายและใช้เล่ห์กลในการจัดการศัตรู แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าบูเช็คเทียนเป็นนักปกครองที่มีความสามารถมาก และช่วงที่นางกุมอำนาจก็ถือว่าเป็นยุคทองของราชวงศ์ถัง

แต่สำหรับเจี่ยหนานเฟิง (賈南風, Jia nanfeng) ซึ่งเป็นบุคคลที่ผมจะเล่าถึงในบทความนี้นั้นจะตรงกันข้าม เพราะเราแทบจะหาข้อดีของนางไม่เจอเลยแม้แต่น้อย และการกระทำของเธอยังนำไปสู่ domino effect อย่างใหญ่โตที่ทำให้แผ่นดินจีนต้องวุ่นวายไปอีกเกือบสามร้อยปี ทั้งๆ ที่เพิ่งรวมแผ่นดินจากยุคสามก๊กไปไม่กี่ทศวรรษ

เราไปดูกันดีกว่าครับ เจี่ยหนานเฟิงนี้คือผู้ใดกักนแน่

ลูกสาวขุนนางคนสนิท

เจี่ยหนานเฟิงเป็นลูกสาวของเจี่ยชง (หรือแกฉงในนิยายสามก๊ก) ขุนนางคนสนิทของซือหม่าเจา (สุมาเจียว) อย่างไรก็ดีเจี่ยหนานเฟิงเป็นลูกที่เกิดกับ กัวหวาย ภรรยาคนที่สองของเจี่ยชง กัวหวายคนนี้นั้นเป็นผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา เธอมีความโหดร้าย ขี้หึง และมีความเฉลียวฉลาดในการใช้เล่ห์กล

ในสมัยที่เจี่ยหนานเฟิงยังเป็นเด็กอยู่นั้น มีเรื่องเล่าว่ากัวหวายได้ให้กำเนิดบุตรชายถึงสองคนให้กับเจี่ยชง แต่นางกลับไปเห็นสามีกำลังหยอกล้อกับลูกชายที่กำลังถูกแม่นมเด็กอยู่ กัวหวายกลับหึงหวงขึ้นมาเพราะคิดว่าสามีจะคบชู้กับแม่นม นางจึงฆ่าแม่นมเสีย ทำให้บุตรชายของนางเสียใจมาก จนล้มป่วยและตายจากไป

ตำนานเล่าว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นสองครั้งซ้อนด้วยกัน ทำให้เจี่ยชงต้องเสียลูกชายไปถึงสองคน เรื่องนี้ถูกบันทึกในพงศาวดารราชวงศ์จิ้น (จิ้นซู) แต่ถามว่าเชื่อได้ 100% หรือไม่ คำตอบคงจะ “ไม่” เพราะพงศาวดารฉบับนี้มีข้อผิดพลาดเยอะ แถมยังชอบใส่เรื่องเวอร์ๆ เข้ามาจำนวนมาก ดังนั้นผมจึงมองว่าฟังหูไว้หูละกันครับ

แต่ถ้ามองอีกมุม พงศาวดารได้บอกเป็นนัยว่าเจี่ยหนานเฟิงได้นิสัยของแม่มาเต็มๆ อย่างไรก็ดีตัวเจี่ยชงผู้เป็นพ่อเองก็ไม่ใช่คนเที่ยงตรง ตัวเจี่ยชงก็เป็นคนปลิ้นปล้อนชอบใช้กลลวงไม่แพ้กัน (เช่นหลอกให้เซงเจสังหารโจมอในเรื่องสามก๊ก) ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าเจี่ยหนานเฟิงนั้นต้องเป็นอย่างที่สุภาษิตไทยว่าไว้นั่นคือ ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นนั่นเอง

เจี่ยชงรับใช้ซือหม่าเจาอย่างสุดความสามารถ โดยยอมทำเรื่องชั่วช้าเพื่อผลประโยชน์ของเจ้านาย ดังนั้นซือหม่าเจาจึงโปรดปรานเจี่ยชงมาก และได้อนุญาตให้ซือหม่าโยว บุตรชายคนรองแต่งงานกับบุตรสาวคนแรกของเจี่ยชงได้ นั่นทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลแน่นแฟ้นขึ้นไปอีก

อย่างไรก็ดี ซือหม่าเจาสิ้นชีวิตลงหลังจากขึ้นเป็นจิ้นหวางได้ไม่นาน เจี่ยชงจึงได้เป็นคนสนิทของซือหม่าเยียน (สุมาเอี๋ยน) ต่อมาและเป็นกำลังสำคัญให้ซือหม่าเยียน ผู้บุตรแย่งชิงบัลลังก์จากเฉาหวน (โจฮวน) ได้สำเร็จ ซือหม่าเยียนจึงได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้แห่งราชวงศ์จิ้นนามว่าจิ้นหวู่ตี้

จิ้นหวู่ตี้ ภาพเขียนฝีมือของเหยียนลีเปิ้น จิตรกรแห่งราชวงศ์ถัง
จิ้นหวู่ตี้ ภาพเขียนฝีมือของเหยียนลีเปิ้น จิตรกรแห่งราชวงศ์ถัง

เกือบบ้านแตก

หลังจากที่จิ้นหวู่ตี้ได้บัลลังก์ก็ได้มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้บ้านตระกูลเจี่ยแตกเป็นเสี่ยงๆ

เรื่องมีอยู่ว่าจิ้นหวู่ตี้ได้ประกาศนิรโทษกรรมเหล่านักโทษ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักโทษการเมือง) ทั้งอาณาจักร ดังนั้นหลีหว่าน ภรรยาคนแรกของเจี่ยชงที่เคยเป็นศัตรูการเมืองของตระกูลซือหม่า และต้องโทษเนรเทศจึงพ้นโทษด้วย ภรรยาคนนี้เจี่ยชงน่าจะรักมาก แต่กลั้นใจหย่าเพราะต้องการแสดงความจงรักภักดีกับซือหม่าเจา

ดังนั้นเมื่อหลีหว่านพ้นโทษ แม่ของเจี่ยชงกับบุตรสาวของหลีหว่านจึงอยากให้เจี่ยชงนำตัวหลีหว่านกลับมา ซึ่งเจี่ยขงก็ลังเลตัดสินใจอยู่ เหตุการณ์นี้ทำให้กัวหวาย แม่ของเจี่ยหนานเฟิงโกรธมากจนอาละวาดใหญ่โต สุดท้ายแล้วเจี่ยชงจึงต้องแค่สร้างบ้านอยู่นอกเมืองลั่วหยางให้กับอดีตภรรยา และไม่ได้ไปเกี่ยวข้องหาสู่กัน

อย่างไรก็ดีก็มีเรื่องตลกเกิดขึ้น นั่นคือกัวหวายในฐานะภรรยาคนที่สองพยายามจะข่มภรรยาคนแรกของหลีหว่าน นางจึงแต่งตัวให้หรูหราและสวยงามที่สุดและบุกไปบ้านของหลีหว่านพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนมาก เจตนาของนางจึงเหมือนกลับว่าจะไปเยาะเย้ยนั่นเอง เมื่อเจี่ยชงทราบก็บอกภรรยาว่าอย่าไปเลย แต่กัวหวายก็ไม่เชื่อฟัง

เรื่องกลับเป็นว่าเมื่อกัวหวายเห็นอีกฝ่ายเดินมาต้อนรับ นางกลับเห็นว่าหลีหว่านเป็นคนที่มีความสง่างามเป็นนางพญา ขาของนางจึงอ่อนลงและคุกเข่าลงไปโดยไม่ตั้งใจ จากที่ตั้งใจจะไปข่มจึงไปคารวะเสียอย่างนั้น หลังจากนั้นกัวหวายจึงเสียหน้า และไม่ไปเจอกับหลีหว่านอีกเลย นางได้สั่งให้คนลอบติดตามเจี่ยชงว่าไม่ให้กลับไปหาภรรยาเก่าเท่านั้น

แม้ว่าทั้งหลีหว่านและกัวหวายจะเป็นลูกสาวขุนนางเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่ากัวหวายจะด้อยกว่าทางด้านหน้าตา เพราะพงศาวดารบันทึกไว้ว่านางมีหน้าตาอัปลักษณ์ ผิวคล้ำ และตัวเตี้ย นางจึงรู้สึกว่าไม่อาจเทียบหลีหว่านได้เมื่อได้พบกัน ส่วนเจี่ยชงก็ทราบดีอยู่แล้วจึงบอกนางว่าอย่าไปบ้านหลีหว่านตั้งแต่แรก

เจี่ยหนานเฟิงเข้าวัง

ในปี ค.ศ.271 จิ้นหวู่ตี้สั่งให้เจี่ยชงเป็นแม่ทัพยกไปปราบกบฏชาวเซียนเปยทางตอนเหนือ เจี่ยชงไม่ต้องการจะไป เพราะสาเหตุที่ทราบกันดี ทางเหนือนอกด่านของจีนนั้นกันดารมาก แถมพวกเซียนเปยเองก็มีฝีมือในการทำศึก ดังนั้นถ้ายกทัพไปอาจจะต้องไปเป็นปีๆ แถมถ้าแพ้มาอาจจะหมดอนาคตทางการเมืองได้เลยทีเดียว

ด้วยเหตุนี้เจี่ยชงจึงอยากแต่งลูกสาวให้กับซือหม่าจง รัชทายาทของจิ้นหวู่ตี้ หลังจากนั้นก็อาศัยว่าเป็นพ่อตาของไท่จื่อจะได้ไม่ต้องไปทัพ แต่เรื่องของเรื่องคือ จิ้นหวู่ตี้ปฏิเสธเพราะอยากให้ลูกสาวของเว่ยกวน ขุนนางอีกคนหนึ่งแต่งงานกับซือหม่าจงมากกว่า โดยฮ่องเต้อ้างว่าตระกูลเจี่ยไม่มีบุตรชายเลยสักคนเดียว แถมกัวหวายก็ยังขี้ริษยา และมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ส่วนตระกูลเว่ยนั้นตรงกันข้าม เพราะมีบุตรชายมากมาย และเว่ยฝูเหริน (ฮูหยินตระกูลเว่ย) ก็มีรูปร่างหน้าตาดี และมีจิตใจดีงาม

อย่างไรก็ดีเมื่อถูกปฏิเสธ คนอย่างเจี่ยชงมีหรือจะยอมแพ้ เจี่ยชงจึงไปขอให้หยางหวงโฮ่ว มเหสีที่จิ้นหวู่ตี้รักมากมาช่วยเหลือ ไม่รู้ว่าหยางหวงโฮ่วเกลี้ยกล่อมอย่างไร แต่ที่แน่ๆ จิ้นหวู่ตี้อนุญาตให้รัชทายาทแต่งงานกับลูกสาวของเจี่ยชงได้ แต่คนที่พระองค์เลือกกลับเป็นเจี๋ยหวู่ น้องสาวของเจี่ยหนานเฟิง

ไม่ปรากฏว่าเจี่ยหนานเฟิงรู้สึกอย่างไรที่น้องสาวถูกเลือกแทนตนเอง แต่ที่แน่ๆ สุดท้ายแล้วคนที่ได้เข้าวังและแต่งงานกับรัชทายาทกลับเป็นเจี่ยหนานเฟิงเสียอย่างนั้น สาเหตุก็คือเมื่อเจี่ยหวู่ไปลองเสื้อประจำตำแหน่ง นางกลับใส่ไม่ได้ เพราะว่านางเตี้ยและเด็กเกินไป (เจี๋ยหวู่อายุได้เพียง 12 ปีเท่านั้นในเวลานั้น)

รูปปั้นผู้หญิงสมัยราชวงศ์จิ้นตะวันตก คาบเกี่บวกับเหตุการณ์ในบทความนี้ by Gary Dodd

ด้วยเหตุนี้ทำไปทำมาคนที่ส้มหล่นได้เข้าวังแทนจึงเป็นพี่สาวอย่างเจี่ยหนานเฟิงที่อายุ 14 ปี

แม้ว่าทั้งสองคนจะสลับตัวกันเข้าวัง แต่ความสัมพันธ์ของสองพี่น้องก็ยังแน่นแฟ้นต่างกับซีรีส์จีนและเกาหลีหลายๆ เรื่อง โดยทั้งสองจะเป็นคู่คิดกัน (และสร้างความพินาศ) ต่อไปในภายภาคหน้า

ซือหม่าจง

เมื่อเจี่ยหนานเฟิงแต่งงานกับรัชทายาทซือหม่าจงนั้น ซือหม่าจงอายุได้เพียง 12 ปี หรือเด็กกว่าเจี่ยหนานเฟิงประมาณสองปี ดังนั้นเจี่ยหนานเฟิงจึงมีความเป็น “พี่สาว” ที่ดูอาวุโสกว่าไปด้วย โดยเฉพาะถ้ามองว่าในช่วงอายุนั้นเด็กผู้หญิงจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กผู้ชาย

ยิ่งไปกว่านั้นซือหม่าจงกลับไม่ใช่เด็กปกติ แต่เขามีปัญหาทางด้านพัฒนาการตั้งแต่เด็ก กล่าวคือซือหม่าจงไม่สามารถวิเคราะห์แบบใช้เหตุผลและตัดสินใจได้ รวมไปถึงไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในเรื่องง่ายๆ ที่คนทั่วไปทำได้เลย

ยกตัวอย่างเช่นมีอยู่วันหนึ่ง ซือหม่าจงได้ยินเสียงกบร้อง ซือหม่าจงกลับถามว่ากบร้องเพราะพวกมันต้องการร้องเอง หรือว่าราชสำนักสั่งให้มันร้อง ดังนั้นพวกขุนนางต่างส่ายหัวและต่างพากันทูลจิ้นหวู่ตี้อ้อมๆ ว่าซือหม่าจงไม่เหมาะจะเป็นรัชทายาท (ไม่มีใครกล้าทูลตามจริงเพราะกลัวโดนอาญา) จิ้นหวู่ตี้ทราบความนัยแต่ยังเฉยเสีย สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพระองค์รักโอรสคนนี้มากนั่นเอง

ด้วยความที่สามีของเจี่ยหนานเฟิงเป็นเช่นนี้ ไม่ต้องสงสัยว่าเธอจะควบคุมเขาได้โดยไม่ยากอะไร นี่จึงเป็นปฐมบทที่จะนำราชวงศ์จิ้นไปสู่เบื้องต่ำนั่นเอง

เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนหน้าครับ

References:

  • Lee, Lily Xiao Hong, Biographical Dictionary of Chinese Women: Antiquity Through Sui
  • Book of Jin
  • Shishuo Xinyu

บทความประวัติศาสตร์

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!