ท่านที่ติดตามเรื่อง วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟมาน่าจะสังเกตว่าไม่ว่าจะเป็นยูรอฟสกี้ หรือ เยอร์มาคอฟ หรือมือสังหารคนอื่นๆ ที่สังหารครอบครัวโรมานอฟในห้องใต้ดินของบ้านอิปาตเยฟ ต่างเป็นพวกบอลเชวิคระดับล่างที่ได้รับคำสั่งมาเท่านั้น
ผู้ที่สั่งตายนิโคลัส และครอบครัวจริงๆ คือ คณะกรรมาธิการอูรัล หรือ ศูนย์กลางการปกครองของพวกบอลเชวิคในแถบนั้น และหนึ่งในแกนนำของคณะกรรมาธิการอูรัลคือ
ฟิลิปป อิซาเยวิช โกโลเชคิน (Филипп Исаевич Голощёкин) ผู้ที่ทำทุกวิธีทางที่จะสังหารนิโคลัสและครอบครัวให้ได้
ประวัติย่อของจอมบงการ
โกโลเชคินมีเชื้อสายยิว เราไม่ทราบประวัติของเขาในวัยเด็กมากนัก เรารู้แต่เพียงว่าเขาจบการศึกษาจากโรงเรียนทันตกรรมที่ริกา (ปัจจุบันคือเมืองหลวงของลัตเวีย) และได้ประกอบอาชีพเป็นหมอฟันหรือเจ้าหน้าที่ทันตกรรมอยู่สักพักหนึ่ง
ในปี ค.ศ.1903 โกโลเชคินได้เข้าร่วมพรรค RSDLP (พรรคสังคมนิยมที่แยกเป็นบอลเชวิคและเมนเชวิคในภายหลัง) หลังจากนั้นเขาก็กลายเป็นนักปฏิวัติอย่างเต็มตัว จนกระทั่งถูกจับครั้งแรกโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลซาร์ในปี ค.ศ.1909 และได้รับโทษเนรเทศไปยังไซบีเรีย
ชีวิตในช่วงก่อนปฏิวัติของโกโลเชคินแทบจะไม่มีอะไรน่าสนใจ เขาหนีจากไซบีเรีย แต่กลับมาถูกจับและโดนเนรเทศกลับไปไซบีเรียไปอีกครั้ง เขาโดนแบบนี้อยู่ 2 รอบ จนกระทั่งการปฏิวัติกุมภาพันธ์ได้ปะทุขึ้น ทำให้โกโลเชคินเป็นอิสระ
ระหว่างที่อยู่ที่ไซบีเรีย โกโลเชคินได้รู้จักและสนิทสนมกับยาคอฟ สเวียตลอฟ ซึ่งต่อมาได้เป็นมือขวาของเลนิน ทำให้สเวียตลอฟเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของโกโลเชคินในเวลาต่อมา
หลังการปฏิวัติตุลาคม โกโลเชคินถูกรับเลือกให้เป็นสมาชิกกรรมาธิการบริหารกลาง และถูกส่งโดยเลนินและสเวียตลอฟให้ไปยังดินแดนอูรัล โกโลเชคินได้ก่อตั้งหน่วยเรดการ์ดขึ้นที่นั่น และได้รับเลือกให้เข้าอยู่ในคณะกรรมาธิการอูรัล
ต่อมาเขายังได้รับเลือกเป็นคอมมิสซาร์ฝ่ายทหารแห่งเขตอูรัลด้วย ทำให้โกโลเชคินเป็นหนึ่งในผู้นำคนสำคัญของพวกบอลเชวิคในเยกาเตรินเบิร์กและบริเวณโดยรอบ อิทธิพลของเขาในเขตอูรัลจึงเรียกได้ว่ามากมาย แต่น้อยกว่าเบโลบาโรดอฟ เพียงผู้เดียวเท่านั้น
บทบาทในการสังหารครอบครัวโรมานอฟ
โกโลเชคินเป็นตัวตั้งตัวตีในการเสนอให้นำครอบครัวโรมานอฟมายังเยกาเตรินเบิร์ก จนเกือบกระทบกระทั่งกับยาคอฟเลฟ และเมื่อครอบครัวโรมานอฟอยู่ที่เยกาเตรินเบิร์กแล้ว โกโลเชคินเป็นคนล็อบบี้อย่างหนักหน่วงต่อมอสโกให้อนุญาตให้ลงมือสังหารครอบครัวโรมานอฟ เพื่อการนี้เขาเดินทางไปมอสโกหลายครั้งเพื่อขอให้เลนินและสเวียตลอฟอนุมัติคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ก็ไม่เป็นผล
สิ่งที่โกโลเชคินได้มาคือการยินยอมทางลมปากให้อนุญาตให้สังหารครอบครัวโรมานอฟได้เท่านั้น
ในวันที่ 16 กรกฎาคม ค.ศ.1918 โกโลเชคินส่งโทรเลขเพื่อขอยืนยันคำอนุญาตให้สังหารอีกครั้งหนึ่ง และได้การตอบกลับจากมอสโก แต่โทรเลขดังกล่าวสูญหายไปอย่างลึกลับ
ระหว่างที่ยูรอฟสกี้และมือสังหารคนอื่นๆ กำลังจัดการกับครอบครัวโรมานอฟ โกโลเชคินเดินไปเดินมาอยู่รอบรั้วที่ล้อมบ้านอิปาติเยฟเอาไว้ เพื่อตรวจดูว่ามีเสียงอะไรลอดออกมาหรือไม่ เขาเองก็ได้สั่งให้คนขับรถบรรทุกศพเร่งเครื่องเต็มที่เพื่อกลบเสียงปืน เสียงกรีดร้อง และเสียงเห่าอย่างบ้าคลั่งของสุนัขทั้งสามของครอบครัวโรมานอฟ
แต่สุดท้ายโกโลเชคินก็ตระหนักว่า เสียงดังกล่าวก็ยังลอดออกมาได้อยู่ดี เขาจึงสั่งให้คนเข้าไปบอกยูรอฟสกี้ให้ใช้ดาบปลายปืนสังหารครอบครัวโรมานอฟ นี่น่าจะเป็นสาเหตุที่เยอร์มาคอฟพยายามใช้ดาบปลายปืนแทงสี่สาวโรมานอฟอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ไม่เป็นผล สุดท้ายยูรอฟสกี้จำต้องใช้ปืนพกยิงสังหารพวกเธอทุกคน
เสียงปืนที่ดังลอดออกมาไปเข้าหูสถานทูตอังกฤษที่ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น โกโลเชคินรีบไปที่สำนักงานโทรเลข เมื่อได้ทราบว่าเซอร์โทมัส เปรสตัน ทูตอังกฤษประจำเยกาเตรินเบิร์กกำลังจะส่งโทรเลขไปแจ้งรัฐบาลอังกฤษว่า
ซาร์นิโคลัสที่ 2 ถูกยิงเมื่อคืนนี้
โกโลเชคินขัดขวางการส่งโทรเลขเอาไว้ได้ เขาเอาโทรเลขของเปรสตันมาขีดฆ่าและเขียนไปว่า
ซาร์นิโคลัส จอมเพชฌฆาตถูกยิงเมื่อคืนนี้ – ชะตากรรมที่เขาสมควรได้รับมันเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อกองทัพเช็กกำลังเข้ามาใกล้ โกโลเชคินและพรรคพวกจึงหลบหนีออกจากเยกาเตรินเบิร์ก พวกเขาออกจากเมืองไม่ถึงสัปดาห์หลังจากการสังหารครอบครัวโรมานอฟ
การสังหารหมู่โกโลเชคิน
โกโลเชคินทำงานในรัฐบาลบอลเชวิคต่อไป ต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นประธานสภาจังหวัดซามารา (Samara) ในปี ค.ศ.1922 โกโลเชคินปฏิบัติงานใช้ได้ในเมืองแห่งนี้ เขาดำเนินนโยบาย NEP (New Economic Policy) ของเลนินเป็นอย่างดี เขาจัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน พัฒนาเศรษฐกิจระดับชนบท และให้การศึกษากับประชาชน
ต่อมาในปี ค.ศ.1925 โกโลเชคินได้เลื่อนเป็นผู้ว่าราชการเขตคาซัคสถานทั้งหมด เขาปกครองดินแดนเหล่านี้ราวกับว่าเป็นจอมเผด็จการ
เมื่อสตาลินออกนโยบายนารวมทั่วทั้งสหภาพโซเวียต โกโลเชคินก็ปฏิบัติตามคำสั่งอย่างดี เขาริบที่ดินของประชาชนทั้งหมดเข้าเป็นของรัฐ รวมไปถึงสัตว์เลี้ยงต่างๆ ด้วย รวมทั้งหมดแล้วฟาร์มมากกกว่าหนึ่งหมื่นแห่งถูกริบ เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงอีกเกือบหลายล้านตัว (บ้างว่าหลายสิบล้านตัว)
นอกจากนี้เขายังได้สั่งให้ประชาชนทุกคนเข้าไปอยู่ในนารวม ไม่ว่าจะเป็นชาวคาซัคหรือชาวรัสเซีย ถ้าใครไม่ยอมไป โกโลเชคินก็จะสั่งให้ทหารใช้ความรุนแรงได้ทันที
หลังจากเข้าไปในระดมนารวมได้ไม่นาน ปัญหาก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ การริบสัตว์มาจำนวนมากในเวลาเดียวกัน ทำให้โกโลเชคินไม่สามารถหาอาหารมาให้พวกมันได้ เพราะเจ้าของเองก็ถูกส่งไปทำงานในระบบนารวม
โกโลเชคินจึงตัดสินใจให้สังหารสัตว์เหล่านั้น! สัตว์เหล่านี้ถูกสังหารไปถึง 90% ของทั้งหมด!
การสังหารสัตว์สร้างปัญหาอย่างมาก เพราะชาวคาซัคทั่วไปใช้พวกมันเป็นพ่อพันธุ์แม่พันธุ์ และใช้เป็นอาหารในการดำรงชีพด้วย เมื่อระบบนารวมไม่สามารถให้ผลผลิตตามที่ต้องการได้ ทุกคนจึงไม่มีอะไรกินและเริ่มหิวโหยตามลำดับ ไม่ต่างอะไรกับภาวะขาดอาหารที่ปรากฏในจีนหรืออินเดีย
ผลที่ตามมาคือ ชาวคาซัคสิ้นชีวิตไปประมาณสองล้านคน ตัวเลขของรัฐบาลโซเวียตแสดงให้เห็นว่าชาวคาซัคลดลงจาก 3.6 ล้านคน เหลือเพียง 2.2 ล้านคนภายในเวลา 12 ปีเท่านั้น ตัวเลขจริงอาจจะมากกว่านี้ด้วยซ้ำไป
ตลอดเวลา 8 ปี ที่อยู่ที่คาซัค โกโลเชคินไม่เคยสนใจเลยว่าพวกชาวบ้านอาศัยอยู่กันอย่างไร ทำให้ชาวคาซัคเกลียดชังเขามาก ชาวคาซัคเรื่องภาวะขาดอาหารที่เกิดขึ้นช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งที่คาซัคว่า
การสังหารหมู่โกโลเชคิน
กระแสความไม่พอใจทำให้โกโลเชคินถูกปลดออกจากตำแหน่งในปี ค.ศ.1933 แต่ได้รับคำสั่งให้ไปรับตำแหน่งใหม่ในฐานะผู้ตรวจการแห่งสหภาพโซเวียต
หมดอำนาจและมอดม้วย
ในฐานะผู้ตรวจการ โกโลเชคินมีส่วนสำคัญในเหตุการณ์ Great Purge ของสตาลิน เขาร่วมมือกับนิโคไลย์ เยชอฟ ผู้บังคับบัญชาตำรวจลับ ในการจับกุม “ัศัตรูทางการเมือง” ของสตาลินทั้งที่เป็นศัตรูจริงๆ และศัตรูในจินตนาการ
นักประวัติศาสตร์โซเวียตบันทึกไว้ว่า โกโลเชคินโหดเหี้ยม หยิ่งผยอง และไม่เคยคำนึงถึงชีวิตมนุษย์ใดๆ ผู้คนจำนวนมากจึงต้องสิ้นชีวิตเพราะเขา
แต่สุดท้ายกรรมก็ตามทันชายผู้นี้จนได้
ในปี ค.ศ.1939 เยชอฟถูกสตาลินปลดออกจากตำแหน่งและจับกุมตัว เยชอฟถูกทรมานและรับสารภาพทุกสิ่ง เขาบอกผู้สอบสวนว่า เขาและโกโลเชคินเคยเป็นคู่รักร่วมเพศกันช่วงที่โกโลเชคินเป็นผู้ว่าราชการดินแดนคาซัคในปี ค.ศ.1925
สำหรับสตาลินแล้ว เมื่อเขาไม่ไว้ใจเยชอฟ เขาย่อมไม่ไว้ใจโกโลเชคินที่เป็นเพื่อนสนิทหรือคู่รักของเยชอฟด้วย โกโลเชคินเองก็เป็นพวกบอลเชวิคเก่าแก่ที่มีอิทธิพลสูงในพรรค โกโลเชคินจึงเข้าข่ายที่จะโดนกำจัดเต็มๆ
โกโลเชคินถูกจับกุมทันที เมื่อเขาต้องเผชิญหน้ากับสตาลิน อำนาจที่โกโลเชคินมีอยู่ไม่อาจจะทำอันใดได้ โกโลเชคินได้รับการกล่าวโทษในข้อหาหนัก 4 ข้อหา
- มีใจให้กับแนวคิดและพรรคพวกของทรอตสกี้
- เตรียมการก่อการร้าย
- ดำเนินนโยบายนารวมอย่างรุนแรงเกินไป
- เป็นสายลับให้กับพวกนาซีเยอรมัน
โกโลเชคินถูกสอบสวนอย่างหนัก แต่โชคของเขายังดี แต่เขายังไม่ถูกยิงเป้า ต่างจากเยชอฟที่ถูกยิงทิ้งไปหลังจากถูกสอบสวนได้ไม่ถึงปี
ระหว่างที่กองทัพเยอรมันบุกโซเวียต โกโลเชคินถูกนำตัวไปยังซามารา เมืองที่เขาเคยเป็นผู้ว่าราชการเมือง เขาจะไม่ได้ออกไปจากที่นี่อีกแล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน โกโลเชคินถูกขนานนามว่าเป็นนักโทษที่ “เป็นอันตรายอย่างมาก” และเป็นหนึ่งในนักโทษที่สตาลินมีคำสั่งโดยตรงให้ประหารชีวิตเสียด้วยการยิงเป้า ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ.1941
ศพของโกโลเชคินถูกนำไปโยนทิ้งโดยไม่มีหินปักที่ฝังศพใดๆ เช่นเดียวกับที่เขาสั่งให้ทำกับครอบครัวโรมานอฟ และชาวคาซัคจำนวนมาก กฎแห่งกรรมได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว