การเรียนต่อปริญญาตรี (Undergraduate degree) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกามีความซับซ้อน และมีหลายขั้นตอนมาก เรียกได้ว่าไม่ง่ายเลยสำหรับใครสักคนจากประเทศไทยที่จะได้รับการตอบรับเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่อเมริกาได้สำเร็จ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Harvard, Stanford, MIT
สำหรับตัวผมเอง ผมขอเอ่ยปากว่าเป็นคนที่เรียนจบปริญญาตรีจากสหรัฐอเมริกา แต่ช่วงเวลานั้นผมบอกได้ว่าเป็นช่วงที่เครียดสุดๆ และเหนื่อยมากๆ พอผลออกมามันเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกเลยทีเดียว
ดังนั้นในโพสนี้ ผมจึงอยากปรารถนาที่จะแชร์ประสบการณ์ของตัวผมเองที่เกี่ยวกับขั้นตอนการสมัคร และให้เคล็ดลับดีๆ ที่ควรทราบครับ คนที่ได้อ่านจะได้ไม่ต้องเหนื่อยและเครียดแบบผม

เรามาดูรายละเอียดและเคล็ดลับของแต่ละขั้นตอนเลยดีกว่า
1. ทำเกรดให้ดี
“เกรด” เป็นปัจจัยที่สำคัญมากในการพิจารณาผู้สมัครแต่ละคน สำหรับนักเรียนอเมริกัน นักเรียนไทยที่เรียนที่ไฮสคูลอเมริกัน และนักเรียนโรงเรียนนานาชาติ (international schools) ในประเทศไทย เกรดที่ใช้จะเป็นเกรดของชั้น 9th-12th grade
ส่วนนักเรียนที่จบจากโรงเรียนไทยอย่างเตรียมอุดม มหิดล และโรงเรียนอื่นๆ จะใช้เกรด ม.4-ม.6 เป็นหลัก
สำหรับคนที่เรียนโรงเรียนนานาชาติและไฮสคูลอเมริกัน คุณมีสิทธิ์เลือกคลาสที่คุณจะเรียนได้ ดังนั้นคุณควรจะเลือกตัวที่ยากที่สุด และทำเกรดให้ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ถ้าโรงเรียนคุณมีสอนระดับ AP คุณควรจะลงเรียนตัวเหล่านี้ให้ได้มากที่สุด เพราะมันแสดงถึงความทะเยอทะยานและความเก่งของคุณเองถ้าคุณทำเกรดออกมาได้ดี

อย่างไรก็ดี คุณไม่ควรจะเลือกคลาสที่ยากเกินไป จนทำให้เกรดของคุณไม่ดี เช่นคุณลงคลาส AP Calculus BC ซึ่งจัดว่าเป็นตัวยาก แต่กลับได้ C ออกมา แบบนี้ผมบอกเลยว่าไม่คุ้ม
หรือพูดง่ายๆ
ได้ A ในคลาส AP Calculus AB ดูดีกว่าได้ C ใน AP Calculus BC
เกรดของคุณส่วนใหญ่ควรจะได้ A ทั้งหมด โดยเฉพาะถ้าคุณจะสมัครมหาวิทยาลัย Ivy League และมหาวิทยาลัยชั้นนำอื่นๆ อย่างไรก็ดีการได้ B หรือ B+ มา 2-3 ตัวไม่ได้ทำให้โลกของคุณพังทลายแต่อย่างใด
สำหรับนักเรียนที่จบจากโรงเรียนไทยที่เลือกวิชาไม่ได้ แน่นอนว่าคุณควรทำเกรดของคุณให้ใกล้ 4.00 มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะถ้าหวังมหาวิทยาลัยชั้นนำครับ
2. ทำกิจกรรมต่างๆ
การทำกิจกรรมนอกห้องเรียน (extracurricular activities) เป็นปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการพิจารณาผู้สมัครแต่ละคน ดังนั้นคุณควรจะทำกิจกรรมเหล่านี้ไปด้วยเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับโปรไฟล์ของคุณเอง
กิจกรรมเหล่านี้มีหลายรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่น
- กีฬาทุกรูปแบบ
- กิจกรรมเพื่อสังคม (community service)
- กิจกรรมที่แสดงความเป็นผู้นำ เช่น เป็นประธานชมรมเป็นต้น
- กิจกรรมที่แสดงถึงความคิดริเริ่ม เช่น เปิดธุรกิจเล็กๆ ตามไอเดียของตัวเอง
- การแข่งขันทางวิชาการ โดยเฉพาะโอลิมปิกวิชาการ (มหาวิทยาลัยที่อเมริกาอย่าง MIT ชอบเด็กโอลิมปิกมาก)
- กิจกรรมอะไรก็ได้ที่คุณคิดว่า คณะกรรมการมหาวิทยาลัยจะรู้สึกสนใจ
หลายคนอาจจะสงสัยว่ากิจกรรมกับเกรด ปัจจัยไหนมีความสำคัญกว่ากัน ผมมองว่าสำคัญมากทั้งคู่ ดังนั้นคุณไม่ควรให้ความสำคัญกับอย่างใดอย่างหนึ่งจนทำให้อีกอย่างหนึ่งดูแย่ เช่น ซ้อมเตะบอลจนเกรดตกต่ำ หรือ อ่านหนังสืออย่างเดียวไม่ทำกิจกรรมเลย
สำหรับคนที่เล่นกีฬาไม่เก่ง และการเรียนก็ไม่ได้เก่งขนาดจะไปแข่งโอลิมปิกวิชาการได้ ผมแนะนำทำกิจกรรมเพื่อสังคมให้เยอะๆ และถ้ามีโอกาสได้เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนก็โปรดสมัครตำแหน่งสำคัญๆ อย่างเช่น ประธาน เลขาธิการ หรือ หัวหน้าฝ่ายการเงินอะไรก็ว่าไปครับ
นอกจากนี้ถ้ามีโอกาสร่วมกิจกรรมใหญ่ๆ ขององค์กรสำคัญๆ อย่าลืมหาโอกาสไปร่วมด้วยครับ
3. สรรหามหาวิทยาลัยที่เหมาะสม
ประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีมหาวิทยาลัยจำนวนมหาศาล ดังนั้นคุณควรจะทำ research ว่ามหาวิทยาลัยไหนเหมาะที่สุดสำหรับคุณ
ปัจจัยหลักที่คุณควรจะพิจารณาทุกครั้ง เมื่อทำ college research คือ
- อันดับมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร
- คะแนนสอบ, ค่าเฉลี่ยเกรดของผู้ที่รับการตอบรับเข้าเรียน
- มหาวิทยาลัยตั้งอยู่ในเมืองหรือชนบท
- รูปแบบการเรียนเป็นแบบใด? (เช่นเป็น Liberal arts หรือไม่)
- สาขาที่คุณคิดจะ major ดีหรือไม่ดี
- คอร์สเรียนที่คุณจะต้องเผชิญมีอะไรบ้าง
- บรรยากาศและบริเวณโดยรอบมหาวิทยาลัยเป็นอย่างไร
- ค่าเรียนต่อเทอมเท่าไร และมีทุนการศึกษาหรือไม่
นอกจากนี้หลายคนยังมีปัจจัยส่วนตัวอื่นๆ อีก อย่าลืมโน้ตเอาไว้และนำมาพิจารณาด้วยครับ
ส่วนวิธีที่ทำ research มีดังต่อไปนี้
- ใช้เว็บไซต์ collegeboard หรือ USNews
- ไปงาน College Fair
- เปิดคู่มือรวมข้อมูลมหาวิทยาลัยระดับ ป. ตรี อาทิเช่น The Complete Book of Colleges ของ Princeton Review เป็นต้น
เมื่อทำ research เสร็จแล้ว คุณจะได้รายชื่อมหาวิทยาลัยมาจำนวนหนึ่งเพื่อใช้สมัคร มหาวิทยาลัยเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นมหาวิทยาลัยระดับท็อปอย่าง Harvard, Princeton, MIT, Columbia, Stanford ทั้งหมด แต่คุณควรจัดกลุ่มมหาวิทยาลัยที่เลือกมาได้เป็น 3 ระดับ และผสมระดับทั้ง 3 เข้าอยู่ในรายชื่อมหาวิทยาลัยที่จะสมัครของคุณ
ระดับทั้ง 3 ได้แก่
- ระดับ reach: มหาวิทยาลัยเหล่านี้เป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำ หรือเป็นมหาวิทยาลัยที่คุณอยากเข้ามากที่สุด เปอร์เซ็นต์การรับของมหาวิทยาลัยเหล่านี้จะต่ำ เพราะมีการแข่งขันสูง
- ระดับ safety: มหาวิทยาลัยที่คุณมีโอกาสติดสูง เพราะรับง่าย
- ระดับ match: อยู่ตรงกลางระหว่าง reach กับ safety ส่วนมากจะเป็นมหาวิทยาลัยชั้นดีที่การแข่งขันต่ำกว่ามหาวิทยาลัยระดับ reach
สาเหตุที่คุณควรจะเลือกมหาวิทยาลัยแบบนี้ เพราะไม่มีอะไรรับประกันได้ว่า มหาวิทยาลัยระดับ reach จะตอบรับคุณเข้าเรียน ดังนั้นคุณต้องยื่นมหาวิทยาลัยระดับรองลงมาด้วยเพื่อที่จะเป็นการสร้างความมั่นใจว่าจะมีที่เรียนแน่นอน
อย่างไรก็ดี สำหรับบางคน (และตัวผมเองด้วย) ค่อนข้างพึงพอใจกับมหาวิทยาลัยระดับ safety บางแห่งมากอยู่แล้ว ทำให้ผมตัดสินใจไม่สมัครมหาวิทยาลัยระดับ match เลย และสมัครเฉพาะ safety และ reach เท่านั้น
ประเด็นที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ควรทราบคือ ไม่ใช่ว่าระดับมหาวิทยาลัยของทุกคนจะเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่น มหาวิทยาลัย A อาจจะเป็น reach ของนาย ก แต่อาจจะเป็น safety ของนาย ข ก็ได้
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น?
สาเหตุคือ โปรไฟล์ เกรด และคะแนนสอบ SAT ของนาย ข อาจจะเหนือนาย ก มาก ทำให้วัดจากคุณสมบัติแล้ว มหาวิทยาลัย A น่าจะตอบรับนาย ข อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม คุณควรทราบไว้ด้วยว่า คุณอาจจะไม่ติดมหาวิทยาลัยที่คุณคิดว่าเป็น safety ได้เช่นกัน มันมีโอกาสจะเกิดขึ้นได้จริงๆ แม้ว่า profile ของคุณจะดีมากก็ตาม ผมเคยเห็นตัวอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วจากเพื่อนผมบางคน
จำนวนมหาวิทยาลัยที่คนทั่วไปสมัครจะอยู่ที่ 8-12 ที่ แต่ถ้าคุณจะสมัครมากกว่านั้นก็ได้ครับ
4. เตรียมสอบ SAT, TOEFL
สำหรับนักเรียนไทยแล้ว การจะสมัครมหาวิทยาลัยที่อเมริกาในระดับปริญญาตรีมักจะต้องส่งคะแนนสอบ 2 อย่างได้แก่
- SAT หรือ ACT
- TOEFL หรือ IELTS
SAT และ ACT เป็นการสอบกลางที่แม้แต่นักเรียนอเมริกันเองก็ต้องสอบ ส่วน TOEFL หรือ IELTS เป็นการสอบวัดทักษะภาษาอังกฤษ
อย่างไรก็ดีในช่วงหลังมีมหาวิทยาลัยจำนวนมากขึ้นที่อนุญาตให้ผู้สมัครไม่จำเป็นต้องส่งคะแนนเหล่านี้ให้กับมหาวิทยาลัยก็ได้ ในส่วนนี้ผมมองว่าถ้าคุณทำคะแนนได้ดี คุณควรจะส่ง แต่ถ้าทำคะแนนได้แย่มาก คุณอาจจะพิจารณาไม่ส่ง เพราะเป็นการชี้จุดอ่อนของคุณให้คณะกรรมการเห็นเปล่าๆ
แล้วคะแนนระดับไหนเรียกว่าดี?
สำหรับคะแนน SAT/ACT คะแนนที่ดีสำหรับมหาวิทยาลัยอเมริกันระดับท็อปควรจะอยู่ในระดับต่อไปนี้ (มหาวิทยาลัยอื่นๆ จะต่ำลงมาตามลำดับ)
- SAT Reading and Writing: มากกว่า 700 ขึ้นไป
- SAT Math: มากกว่า 700 ขึ้นไป (สำหรับเด็กไทยอาจจะควรมากกว่า 750 ขึ้นไป)
- SAT Subject Tests: มากกว่า 750 ขึ้นไป
- ACT: มากกว่า 33 ขึ้นไป
อย่างไรก็ดี คะแนน SAT/ACT ที่ต่ำกว่านี้เล็กน้อยไม่ได้ตัดสิทธิ์คุณในการสมัครมหาวิทยาลัยดังๆ แต่อย่างใด เพราะฉะนั้นอย่ากังวลมากเกินไป ถ้าคุณได้คะแนน Reading and Writing 660 หรือ 680 คะแนน
ถ้าคุณสอบคะแนน SAT/ACT ไม่ดี โปรดหาคอร์สเรียน SAT ดีๆ แล้วสอบใหม่จนกว่าจะดี จนกระทั่งสอบไม่ได้แล้วนั่นแหละครับถึงจะเลิก
สำหรับคะแนน TOEFL หรือ IELTS แล้วนั้น มหาวิทยาลัยชั้นนำหลายแห่งจะตั้งข้อบังคับเอาไว้ว่าต้องการให้ผู้สมัครได้คะแนนอย่างน้อยเท่าไร ซึ่ง TOEFL จะอยู่ที่อย่างน้อย 100 คะแนน
ดังนั้นถ้าคุณได้คะแนน TOEFL ต่ำกว่า 100 คะแนน (โดยเฉพาะในกรณีที่น้อยกว่ามากๆ) คุณยังมีสิทธิ์ที่จะสมัครมหาวิทยาลัยดังกล่าวอยู่ แต่ต้องทำใจไว้เลยว่ามีโอกาสสูงมากที่คุณจะถูก reject
หลังจากที่คุณสอบเสร็จแล้ว คุณจะต้องส่งคะแนนทั้งหมดผ่านเว็บให้กับมหาวิทยาลัยด้วยนะครับ ไม่ว่าสอบเสร็จแล้วปล่อยเลยตามเลย คะแนนมันไปถึงมหาวิทยาลัยเองไม่ได้นะครับ
5. ขอ Recommendation
ในการสมัครมหาวิทยาลัยทุกแห่งในสหรัฐอเมริกา คุณต้องเตรียม Recommendation 2 ฉบับ วิธีการได้มาซึ่ง Recommendation นั้นไม่ยากเลย นั่นคือ
- เลือกครูที่สอนคุณในวิชาที่คุณทำได้ดี สนิทสนมกับคุณ และคุณคิดว่าเขาน่าจะเขียน recommendation ดีๆ ให้กับคุณได้ วิชาที่คุณควรจะขอควรจะเป็นวิชาหลักอย่างเช่น English, Math หรืออะไรก็ได้ที่ตรงกับ major ที่คุณวางแผนจะเรียนในมหาวิทยาลัย
- บอกครูว่า คุณกำลังจะสมัครมหาวิทยาลัยในปีนี้ และคุณขอให้เขาเป็นผู้เขียน recommendation ให้
- ครูจะส่ง recommendation ไปให้ทางมหาวิทยาลัยเอง โดยที่คุณไม่ต้องทำอะไรต่อแล้ว และคุณจะไม่มีโอกาสเห็น recommendation ด้วย
โปรดระวัง! หลังจากที่คุณส่งใบสมัครไปแล้ว (ตามข้อ 6) คุณต้องตรวจสอบในระบบของมหาวิทยาลัยด้วยทุกครั้งว่าเอกสารจากครูของคุณมาถึงครบถ้วนแล้วหรือยัง
ครูบางคนอาจจะลืมส่งเอกสาร หรือมีความผิดพลาดระหว่างการส่ง ทำให้มหาวิทยาลัยยังไม่ได้รับ recommendation ของคุณ ผมเกือบจะไม่ติดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งเพราะสาเหตุนี้แล้ว เพราะฉะนั้นตรวจสอบให้ดีครับ
6. เขียน college essay และส่ง application ทั้งหมด
สำหรับการกรอกใบสมัครมหาวิทยาลัยอเมริกันหลายแห่งจะทำผ่านเว็บไซต์ common app ซึ่งจะทำให้คุณสมัครมหาวิทยาลัยหลายแห่งในได้คราวเดียว โดยไม่ต้องสร้าง account ที่หลายเว็บไซต์

อย่างไรก็ตามหลายมหาวิทยาลัยไม่ได้ใช้ common app ดังนั้นคุณต้องตรวจสอบให้ดีจากเว็บมหาวิทยาลัยว่าการสมัครทำอย่างไรครับ
ขั้นตอนแรกคือ คุณจะต้องกรอกประวัติของคุณลงไปตามจริง ซึ่งส่วนนี้ไม่มีอะไรซับซ้อน
ส่วนที่ซับซ้อนคือ ขั้นตอนที่ 2 หรือสิ่งที่เรียกว่า college essay ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญอีกปัจจัยหนึ่งในการคัดเลือกผู้สมัครเข้ามหาวิทยาลัย
ในขั้นตอนนี้คุณจะต้องเขียน essay ตามที่มหาวิทยาลัยจัดมาให้ บางมหาวิทยาลัยให้เขียนเยอะมาก ส่วนบางที่แทบจะไม่ให้เขียนอะไรเลย
เคล็ดลับในการเขียน essay มีดังต่อไปนี้
- ถ้าเขียนได้แย่มาก ผมแนะนำให้ลงเรียนคอร์สเรียนเขียนภาษาอังกฤษออนไลน์ก่อน
- เขียนตอบให้ตรงคำถาม
- เน้นที่ตัวเรา เพราะคณะกรรมการต้องการรู้ความเป็นตัวเรา
- ใช้คำที่สั้น ชัดเจน อ่านง่ายที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ไม่สั้นหรือยาวจนเกินไป เขียนให้อยู่ในกรอบที่โจทย์ให้มา
- ศึกษาปรัชญาของมหาวิทยาลัยให้ดี และพยายามเขียนโดยอย่าให้ขัดกับปรัชญามหาวิทยาลัย
- ตรวจสอบ grammar ด้วย Grammarly หรือ Hemingway editor ก่อนส่งด้วย
สำหรับคนที่ไม่ไหวจริงๆ คุณสามารถใช้บริการของสถาบันที่ปรึกษาได้ สถาบันเหล่านี้จะช่วยเหลือคุณในการสมัครทุกรูปแบบในการสมัครมหาวิทยาลัยที่อเมริกาเลยครับ แต่ข้อเสียก็คือราคาสูงถึงสูงมาก (250,000-1,000,000 บาท หรือมากกว่า)
ทั้งนี้ช่วงเวลาในการสมัครจะมีอยู่ 2 ช่วงได้แก่รอบ Early และ Regular
รอบ Early จะมี deadline อยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน แม้ว่าคุณจะต้องเตรียมตัวเร็วมาก แต่คุณจะมีโอกาสติดมากกว่ารอบ Regular มาก เพราะฉะนั้นคุณควรจะสมัครรอบ Early อย่างแน่นอนครับ สำหรับมหาวิทยาลัยที่เป็น reach และเป็นมหาวิทยาลัยในฝันที่คุณอยากเข้าจริงๆ ผมแนะนำให้สมัครช่วงนี้ไปเลยครับ
รอบ Regular จะมี deadline อยู่ที่ปลายเดือนธันวาคม หรือ 1 มกราคมของปีใหม่ รอบนี้จะเป็นรอบหลัก และรอบสุดท้าย
หลังจากส่งใบสมัครไปแล้ว คุณควรตรวจสอบเว็บไซต์ของมหาวิทยาลัยอยู่เป็นระยะๆ ว่าได้รับเอกสารทั้งหมดแล้วหรือยัง ถ้าได้ครบทั้งหมดแล้วก็ถือว่าทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วครับ
ยกเว้นแต่ว่าคุณจะได้รับการขอสัมภาษณ์
7. สัมภาษณ์
การสัมภาษณ์ (Interview) จะเป็นการที่มหาวิทยาลัยที่คุณสมัครให้ศิษย์เก่าไปสัมภาษณ์ผู้สมัครแต่ละคน ตัวผมเคยเป็นทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้เคยถูกสัมภาษณ์มาแล้วจึงขอเล่าประสบการณ์ดังนี้
ผู้สมัครแต่ละคนจะมีโอกาสได้รับการขอสัมภาษณ์จากศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยที่สมัคร ซึ่งศิษย์เก่าสามารถเลือกได้ว่าจะสัมภาษณ์ใครจากประวัติของผู้สมัครที่ปรากฏอยู่ในเว็บ
ถ้าคุณถูกเลือก อีเมล์จากมหาวิทยาลัยจะถูกส่งตรงไปหาคุณ คุณควรจะตอบรับการสัมภาษณ์ทุกครั้งถ้าไม่มีสาเหตุที่สำคัญจริงๆ การปฏิเสธการสัมภาษณ์อาจทำให้ดูเหมือนว่าคุณไม่สนใจมหาวิทยาลัยนั้นแล้วก็เป็นได้
ก่อนที่คุณจะไปสัมภาษณ์ คุณควรจะใช้เวลาประมาณ 2-3 วันในการซ้อม พยายามซ้อมกับผู้อื่นหรือกับกระจกก็ได้ คุณจะได้เห็นว่าตัวเองพูดเป็นอย่างไร นอกจากนี้โปรดอย่าพยายามท่อง เพราะผู้สัมภาษณ์จะดูออกในบัดดล
ระหว่างการสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ คุณควรปฏิบัติตามนี้
- พูดช้าๆ ชัดๆ ไม่ต้องเร็ว ใช้ความสุภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- คิดก่อนพูดให้ดี พยายามหลีกเลี่ยงประเด็นที่ไม่ควรกล่าวถึง
- พูดให้ตัวเองดูดี แต่อย่าอวยตัวเองมากเกินไปจนทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกรำคาญ (ผมเคยไปสัมภาษณ์แล้ว รำคาญผู้สมัครบางคนจริงๆ)
- ตอบคำถามด้วยความสัตย์จริง แต่ถ้ามันจะทำให้คุณดูแย่ คุณควรพูดให้ตัวเองดูแย่น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
- ไม่ควรอวดรู้ เพราะผู้สัมภาษณ์อาจจะรู้มากกว่าคุณ และทำให้คุณหน้าแตกได้ และเขาจะทราบว่าคุณรู้ไม่จริงด้วย
หลังจากการสัมภาษณ์ คุณควรส่งอีเมล์ไปขอบคุณผู้สัมภาษณ์ทันทีตามธรรมเนียม
สำหรับผู้สัมภาษณ์แล้ว เขาจะต้องเขียนรีวิวตัวคุณให้คณะกรรมการได้อ่าน นอกจากนี้ภายในรีวิวจะมีถามว่า คุณเหมาะสมหรือไม่กับมหาวิทยาลัยแห่งนั้น แน่นอนว่าถ้าเขาแนะนำว่าคุณเหมาะสม คุณยิ่งมีโอกาสที่จะติดมหาวิทยาลัยดังกล่าว
อย่างไรก็ดี ด้วยความที่มีศิษย์เก่าน้อยกว่าจำนวนผู้สมัครทำให้ผู้สมัครส่วนใหญ่จะไม่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ ถ้าคุณถูกเรียกไปสัมภาษณ์ นั่นอาจจะเพราะคุณมีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดผู้สัมภาษณ์ให้เลือกคุณก็ได้ครับ (ผมเคยเลือกผู้สมัครคนหนึ่ง เพราะเขาเขียนว่าสนใจจะเรียนสาขาประวัติศาสตร์)
แต่ถ้าคุณไม่ถูกเรียกไปสัมภาษณ์ หรือ สัมภาษณ์ได้แย่ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีทางติดมหาวิทยาลัยดังกล่าว สมัยตอนที่ผมเป็นผู้สมัคร ผมเคยสัมภาษณ์กับมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งได้แย่มาก แต่สุดท้ายก็ติดมหาวิทยาลัยนั้นอยู่ดี
8. ประกาศผล
การประกาศผลรอบ Early จะประกาศในช่วงเดือนธันวาคม ส่วนรอบ Regular จะประกาศในช่วงปลายเดือนมีนาคม และไม่เกินวันที่ 1 เมษายน
การประกาศส่วนมากจะเป็นแบบออนไลน์ คุณสามารถเข้าไปดูผลในเว็บของมหาวิทยาลัยได้ หรือไม่ก็ดูในอีเใ
ประกาศผลจะมีสามแบบได้แก่
- Accepted (คุณติด)
- Wait-listed (คุณเป็นตัวสำรอง)
- Rejected (คุณไม่ติด)
ถ้า Accepted ส่วนใหญ่แล้วคำแรกในจดหมายจะเป็นคำว่า “Congratulations!” แต่ถ้าเป็นคำอื่น นั่นแปลว่าคุณโดน rejected หรือไม่ก็ wait-listed
สำหรับ Rejected นั่นไม่มีปัญหาอะไร ปัญหาอยู่ที่ Wait-listed
ถ้าคุณได้ Wait-listed ขึ้นมาจริงๆ คุณต้องแจ้งเจตจำนงกับมหาวิทยาลัยไปว่าคุณต้องการจะอยู่ในรายชื่อตัวสำรองต่อไป แต่ผมขอแนะนำเลยว่า โอกาสถูกเรียกจาก wait-listed มีน้อยมาก บางมหาวิทยาลัยไม่เรียกเลยสักคนเดียว
ดังนั้นถ้าได้ wait-listed ผมขอให้คุณมองว่ามันเหมือนกับโดน rejected ไปแล้ว และสนใจกับมหาวิทยาลัยที่ตอบรับคุณเข้าเรียนดีกว่า
หลังจากขั้นตอนประกาศผลเสร็จสิ้นไปแล้ว คุณก็ต้องเลือกมหาวิทยาลัยที่คุณติดมา 1 ที่ และตอบรับการเข้าเรียน เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เรียนปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยที่อเมริกาสมใจแล้วครับ