ประวัติศาสตร์เมื่อจักรพรรดิไดอาคลีเชียนปราบปราม "ชาวคริสต์" ครั้งใหญ่

เมื่อจักรพรรดิไดอาคลีเชียนปราบปราม “ชาวคริสต์” ครั้งใหญ่

ในศตวรรษที่ 3 ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาใหม่ที่มีศาสนิกเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในเวลาเพียง 50 ปี ระหว่างช่วงปี ค.ศ.250-300 ชาวคริสต์ในจักรวรรดิโรมันเพิ่มจาก 1.1 ล้านคนเป็น 6 ล้านคน ทำให้ศาสนิกศาสนาโรมันเดิมรู้สึกตื่นตระหนก เช่นเดียวกับพวกชนชั้นปกครองโรมันที่รู้สึกว่าไม่ได้การเสียแล้ว พวกเขาจึงเริ่มเรียกร้องให้จักรพรรดิโรมันปราบปรามชาวคริสต์

ทั้งนี้การปราบปรามชาวคริสต์เคยขึ้นมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้ บางครั้งชาวคริสต์ถูกใส่ความว่าเป็นผู้กระทำความผิดเพื่อที่จะหาเหตุปราบปรามก็มีมาแล้ว เช่นเหตุการณ์ไฟไหม้ใหญ่กรุงโรม เนโร จักรพรรดิโรมันก็ใส่ความว่าชาวคริสต์เป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง

แต่ไม่มีการปราบปรามครั้งใดที่ส่งผลรุนแรงมากเท่ากับครั้งนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้จะมีชื่อในหน้าประวัติศาสตร์ว่า Diocletianic Persecution หรือ Great Persecution

ชาวคริสต์สวดมนต์เป็นครั้งสุดท้าย

ไดอาคลีเชียน

ไดอาคลีเชียน (Diocletian) ได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิโรมัน (Augustus) ในปี ค.ศ.284 ไดอาคลีเชียนเป็นคนที่เคร่งในศาสนาโรมัน (นับถือเทพเจ้าอย่างจูปิเตอร์ หรือ เฮอร์คิวลิส) ดังนั้นไดอาคลีเชียนจึงปรารถนาให้ความเชื่อดั้งเดิมของโรมันถูกรักษาไว้ตลอดไป

นอกจากนี้ในเวลานั้นจักรวรรดิโรมันกำลังแตกแยกอย่างหนักในทางการเมือง ทำให้ไดอาคลีเชียนต้องการฟื้นฟูความเข้มแข็งของจักรวรรดิกลับมา หนึ่งในวิธีการของเขาคือการฟื้นฟูขนบธรรมเนียมโรมันเก่าแก่ในสมัยที่ยังรุ่งเรือง ประชาชนโรมันจะได้มองว่าเขากำลังจะนำจักรวรรดิกลับไปสู่ยุคทองอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้ไดอาคลีเชียนย่อมมองศาสนาคริสต์ในทางลบ เพราะเป็นศาสนาใหม่ที่กำลังมีศาสนิกมากขึ้นตามลำดับ และเริ่มชักนำให้ชาวโรมันละทิ้งศาสนาโรมันและเปลี่ยนเป็นชาวคริสต์มากขึ้นเรื่อยๆ

ความไม่พอใจชาวคริสต์ของไดอาคลีเชียนได้เปลี่ยนเป็นความโกรธ เพราะเหตุการณ์เรื่องหนึ่งในปี ค.ศ.299

ไดอาคลีเชียน By G.dallorto – Own work, Attribution,

โกรธเคืองชาวคริสต์

ในปี ค.ศ.299 ไดอาคลีเชียนได้ไปร่วมพิธีกรรมทางศาสนาโรมันตามปกติ ในพิธีกรรมนักบวชได้บูชายัญสัตว์ และได้ตรวจสอบไส้พุงของมันเพื่อพยากรณ์อนาคตตามธรรมเนียมโรมัน

ชาวคริสต์ส่วนหนึ่งก็ได้มามุงดูพิธีด้วย แม้ว่าจะไม่มีศรัทธาหรือเชื่อถือใดๆ ในพิธีกรรมนี้เลยก็ตาม เพราะพวกเขาถือว่าการบูชายัญสัตว์เป็นการกระทำของพวกพ่อมดหมอผี ในระหว่างพิธี ชาวคริสต์ได้ทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนบนตัวของพวกเขา ราวกับว่าภาวนาต่อพระเจ้าให้สัตว์ที่ถูกบูชายัญ

หลังจากใช้เวลาตรวจสอบไปมาอยู่นาน นักบวชกลับไม่สาเหตุหาคำพยากรณ์ใดๆ ออกมาจากไส้พุงของสัตว์ที่ถูกบูชายัญได้ ด้วยความเกรงกลัวไดอาคลีเชียน นักบวชจึงป้ายความผิดให้ชาวคริสต์ว่าเขาไม่สามารถหาคำพยากรณ์ใดๆ จากตัวสัตว์ได้ เพราะการทำสัญลักษณ์ไม้กางเขนของชาวคริสต์ได้ปิดกั้นพลังของเขา

ไดอาคลีเชียนที่ได้ฟังเช่นนั้นจึงโกรธอย่างมาก เขาจึงบังคับให้ผู้คนที่อยู่ทุกคนที่นั่นทำพิธีเซ่นสรวงตามธรรมเนียมให้กับตัวเขา ถ้าใครไม่ทำจะถูกลากไปประหารชีวิตทันที

ความโกรธของไดอาคลีเชียนลามไปถึงทหารในกองทัพ เขาสั่งว่าใครก็ตามที่ปฏิเสธที่จะเซ่นสรวงให้กับรูปของเขาจะถูกไล่ออก โดยที่ไม่ได้รับเงินบำนาญเลยแม้แต่น้อย

เริ่มต้นปราบปราม

ในปี ค.ศ.301 ไดอาคลีเชียนได้รับเอกสารจากกงสุลในแอฟริกาว่า ชาวคริสต์นิกาย Manichae ซึ่งเป็นนิกายนอกรีตกำลังเผยแพร่ความเชื่ออย่างหนักหน่วง ในเอกสารกล่าวว่า

ความกลัวของพวกเราคือเมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะพยายามทำให้ทั้งจักรวรรดิแปดเปี้อนไปด้วยพิษของงูร้าย

ไดอาคลีเชียนจึงสั่งให้กงสุลในแอฟริกาปราบปรามชาวคริสต์นิกายดังกล่าวทันที ชาวคริสต์นิกาย Manichae จำนวนมากจึงถูกเผาทั้งเป็น ส่วนบางคนถูกส่งไปทำงานหนักในเหมืองเกลือ

ปีต่อมา ไดอาคลีเชียนได้รับทราบคำแนะนำจาก แกเลริอุส (Galerius) ผู้ดำรงตำแหน่งเป็นรองจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมัน (Caesar) ว่าการปราบปรามชาวคริสต์ทั่วทั้งอาณาจักรเป็นสิ่งที่จำเป็นและต้องทำโดยทันที

แกเลริอุส By Shinjirod – Own work, CC BY 3.0,

สาเหตุที่แกเลริอุสเสนอเช่นนี้เพราะแม่ของเขาเกลียดชังชาวคริสต์มาก จากการที่ชาวคริสต์ปฏิเสธที่จะกินอาหารที่ใช้เซ่นสรวงเทพเจ้าของชาวโรมัน และหลบเลี่ยงไม่มาร่วมพิธีเซ่นสรวงของเธอด้วย ตัวแกเลริอุสเองยังกลัวว่าชาวคริสต์จะทำลายจักรวรรดิโรมัน ทั้งสองแม่ลูกจึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับชาวคริสต์โดยเปิดเผย

ในช่วงแรก ไดอาคลีเชียนยังไม่ปรารถนาจะใช้ความรุนแรงปราบปรามชาวคริสต์เท่าใดนัก เพราะเกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายทั่วทั้งจักรวรรดิ เขาคิดว่าการไล่ออกชาวคริสต์จากราชสำนักและกองทัพโรมันน่าจะเพียงพอแล้ว ดังนั้นไดอาคลีเชียนจึงยังไม่ได้อนุมัติให้ลงมือปราบปรามชาวคริสต์ตามข้อเสนอของแกเลริอุส

การรบเร้าของแกเลริอุสได้ทำให้โดอาคลีเชียนขอข้อเสนอแนะจากพวกเสนาบดีและที่ปรึกษา พวกคนเหล่านี้ล้วนแต่มาจากชนชั้นสูงโรมันที่เกลียดชังชาวคริสต์ พวกเขาล้วนแต่สนับสนุนในข้อเสนอของแกเลริอุส

ไดอาคลีเชียนเห็นคนรอบตัวล้วนแต่สนับสนุนให้ปราบปรามชาวคริสต์จึงเริ่มเอนเอียงไปทางทิศทางดังกล่าว แต่เขายังไม่มั่นใจเท่าใดนัก เขาจึงส่งคนไปขอคำทำนายจากวิหารของเทพเจ้าอพอลโลว่าถ้าปราบปรามชาวคริสต์แล้วเป็นอย่างไร

คำทำนายออกมาว่าให้ไดอาคลีเชียนลงมือได้เลย ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร พวกนักบวชที่วิหารล้วนแต่เป็นศาสนิกโรมันที่เห็นศาสนาคริสต์เป็นศัตรูตัวฉกาจอยู่แล้ว พวกเขาจึงแจ้งให้ไดอาคลีเชียนทราบถึงคำทำนายว่าเทพเจ้าให้ปราบปรามชาวคริสต์ได้

ในปี ค.ศ.303 ไดอาคลีเชียนจึงออกประกาศการปราบปรามชาวคริสต์ โดยเริ่มต้นหลังจากเทศกาลโรมันชื่อ “Terminalia” ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่าจักรวรรดิโรมันต้องการจะ “terminate” หรือหยุดศาสนาคริสต์

แกเลริอุสพยายามขอให้ไดอาคลีเชียนสั่งให้เผาชาวคริสต์ทุกคนทั้งเป็น แต่ไดอาคลีเชียนปฏิเสธเพราะไม่ต้องการให้เกิดการนองเลือด

กวาดล้างช่วงที่ 1

เจ้าหน้าที่โรมันเริ่มต้นด้วยการทำลายหนังสือทางศาสนาและโบสถ์ต่างๆ ของชาวคริสต์ ของมีค่าทั้งหมดในโบสถ์ทุกริบเป็นของหลวง ชาวคริสต์ทุกคนถูกสั่งไม่ให้ไปโบสถ์ด้วย และถูกปฏิเสธการได้รับการคุ้มครองโดยศาลโรมัน

นอกจากนี้อดีตทาสที่เปลี่ยนศาสนาเป็นชาวคริสต์ถูกบังคับให้กลับไปเป็นทาสอีกครั้ง ส่วนชนชั้นสูง สมาชิกสภาเซเนต และทหารในกองทัพที่เป็นชาวคริสต์จะถูกปลดออกจากตำแหน่งทันที และถูกริบสิทธิต่างๆ ในฐานะพลเมืองโรมันทั้งหมดด้วย

อย่างไรก็ตามชาวคริสต์บางคนกล้าหาญอย่างไม่น่าเชื่อ พวกเขาพยายามรักษาโบสถ์และคัมภีร์ไว้ยิ่งชีวิต แม้จะถูกทรมานแต่ก็ไม่ยอมบอกที่ซ่อนพระคัมภีร์ ส่วนบางคนต่อต้านการกดขี่อย่างอาจหาญ ชายผู้หนึ่งชื่อ Eutius บุกเข้าไปฉีกประกาศต่อต้านชาวคริสต์ของไดอาคลีเชียนที่ติดไว้ที่หน้าเมืองออกเป็นชิ้นๆ และประกาศก้องว่า

นี่เป็นความสำเร็จของพวกกอธและซาร์เมเชียนสินะ!

หมายเหตุ: พวกกอธและซาร์เมเชียนเป็นอนารยชนที่จะรุกรานจักรวรรดิโรมันในเวลาต่อมา พวกกอธถึงกับปล้นสะดมกรุงโรมในปี ค.ศ.410 ด้วย

หลังจาก Eutius พูดจบ เขาถูกลากตัวไปทรมานและเผาทั้งเป็นทันที

แม้ว่าไดอาคลีเชียนจะสั่งให้ปราบปรามชาวคริสต์โดยปราศจากการนองเลือด แต่การลงมือเป็นหน้าที่ของพวกผู้ว่าราชการในแต่ละจังหวัด ซึ่งคนเหล่านี้มีอคติกับชาวคริสต์มาอยู่แล้ว การปราบปรามจึงนองเลือดในที่สุด

แต่แล้วในปลายปี ค.ศ.303 แกเลริอุสแอบจุดไฟเผาวังของไดอาคลีเชียน แต่ใส่ความชาวคริสต์ว่าเป็นคนทำ ไดอาคลีเชียนจึงตบะแตก และสั่งให้ใช้ความรุนแรงในการปราบปรามชาวคริสต์

ปราบปรามช่วงที่สอง

การปราบปรามในช่วงที่สองที่กินเวลาหลายปีนี้จะรุนแรงกว่าช่วงแรกหลายเท่า และเป็นครั้งที่รุนแรงที่สุดในจักรวรรดิโรมันด้วย ยูเซเบียส (Eusebius) นักประวัติศาสตร์ชาวคริสต์เปรียบเปรยว่า

มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคำนวณว่าจำนวนมรณสักขีที่พลีชีพเพื่อพระเจ้ามีเท่าใดในทุกเมืองและจังหวัด

เมื่อคำสั่งของไดอาคลีเชียนออกมา เจ้าหน้าที่โรมันถูกสั่งให้รวบตัวชาวคริสต์ที่ดูแลโบสถ์ทั้งหมด ทุกคนถูกจับกุมโดยปราศจากหลักฐาน ข้อกล่าวหา หรือคำสารภาพใดๆ พวกเขาถูกประณามและนำไปประหารชีวิตพร้อมกับครอบครัวของเขา

ชาวคริสต์ทั่วไปถูกสั่งให้บูชายัญต่อเทพเจ้าโรมันและองค์จักรพรรดิ ผู้ใดที่ปฏิเสธจะถูกจับกุมเข้าคุกเพื่อทรมานและประหารชีวิต ผู้ที่ถูกจับกุมมีจำนวนมากมายจนคุกเต็มไปด้วยนักโทษเหล่านี้ หลายคนปฏิเสธที่จะทิ้งพระเจ้าของพวกเขา ทำให้ถูกทรมานด้วยวิธีต่างๆ อันโหดเหี้ยมจนสิ้นชีวิต

รัฐบาลโรมันถึงกับปล่อยตัวนักโทษคดีอื่นๆ ออกมาเพื่อที่จะจับกุมชาวคริสต์ การปล่อยนักโทษเหล่านี้ออกมาได้ก่อความวุ่นวายไปทั่วจักรวรรดิโรมัน โดยเฉพาะในบริเวณที่มีการปราบปรามอย่างรุนแรงอย่างในเอเชียไมเนอร์ หรือ กรีซ

การปราบปรามครั้งนี้ดำเนินไปถึงปี ค.ศ.313 จนกระทั่งคอนสแตนตินมหาราช จักรพรรดิโรมันพระองค์ใหม่ได้ประกาศบัญญัติแห่งมิลาน (Edict of Milan) ทำให้การปราบปรามชาวคริสต์จบลงเป็นการถาวร

ผลที่ตามมา

แม้ศาสนาคริสต์จะได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการปราบปรามที่ยาวนานนี้ แต่ความเชื่อและความศรัทธาของชาวคริสต์กลับยังไม่เปลี่ยนแปลง ชาวคริสต์จำนวนมากอพยพไปยังดินแดนที่มีการปราบปรามเบาบางเช่น กอล (ฝรั่งเศสในปัจจุบัน) และเผยแพร่ศาสนาของตนต่อไป ทำให้ศาสนาคริสต์รอดมาได้

นักประวัติศาสตร์เปรียบเทียบเหตุการณ์นี้ว่าเป็นจุดมืดมิดที่สุดของศาสนาคริสต์ หลังจากนี้ศาสนาคริสต์จะเปลี่ยนเป็นขาขึ้นราวกับดวงตะวันที่ขึ้นทอแสง เพราะว่าคอนสแตนตินมหาราช จักรพรรดิโรมันคนใหม่เป็นชาวคริสต์!

Sources:

  • Bennett, Tried by Fire
  • Lactantius, Divinae Institutiones
  • Eusebius, Historia Ecclesiastica

บทความการศึกษา

Victory Tale ไม่อนุญาตให้คัดลอกบทความไปโพสที่ใดทุกกรณี การฝ่าฝืนมีโทษทางกฎหมาย

error: Content is protected !!