เมื่อรถไฟที่ครอบครัวโรมานอฟโดยสารมากำลังเข้ามาในชานชาลาของสถานีเยกาเตรินเบิร์ก ได้มีเสียงโห่ร้องมากมายดังขึ้นจากผู้คนที่ชุมนุมอยู่ ณ ที่นั้น ทุกคนได้ทราบข่าวล่วงหน้าว่า อดีตซาร์นิโคลัสกำลังเดินทางมาที่นี่ พวกคนเหล่านี้จึงมารวมตัวกันเพื่อที่จะ “ล้างแค้น”
เสียงตะโกนว่า “เอาพวกดูดเลือดออกมา” ดังระงมไปทั่ว บางคนก็ตะโกนว่า “สุดท้ายพวกมันก็มาอยู่ในมือพวกเราจนได้”
บนชานชาลามีผู้นำระดับสูงของพวกบอลเชวิคอยู่ด้วย หนึ่งในนั้นคือ อเล็กซานเดอร์ เบโลบาโรดอฟ (Александр Белобородов) หัวหน้าคณะกรรมาธิการบริหารแห่งอูรัลโซเวียต ส่วนข้างกายเขาคือ ฟิลิปป โกโลเชคิน (Филипп Голощёкин) หัวหน้าของพวกเรดการ์ดในดินแดนอูรัล
ขอให้ท่านจำสองคนนี้ให้ดี ผมมีอะไรที่จะกล่าวถึงทั้งสองนี้อีกเยอะเลยทีเดียว
เมื่อขบวนรถไฟมาถึง
เมื่อขบวนรถไฟเข้าเทียบชานชาลา นิโคลัสและอเล็กซานดรได้สัมผัสถึงประชาชนที่โกรธแค้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เสียงด่าครอบครัวโรมานอฟดังไปทั่วชานชาลา ขนาดนายสถานียังร่วมวงด่าพวกโรมานอฟด้วยเช่นกัน เขาด่าว่า
ยาคอฟเลฟ! เอาพวกโรมานอฟลงมาจากรถได้แล้ว ให้ฉันได้ถุยน้ำลายใส่หน้าอันสกปรกของเขาเสียทีเถอะ
พวกทหารที่อยู่บนสถานีก็มีทีท่าไม่ต่างอะไรกับม็อบ พวกเขาชูปืนขึ้นสูงและโบกไปมา
สาเหตุที่พวกชาวเมืองเกลียดพวกโรมานอฟเช่นนี้ เพราะเมืองแห่งนี้เป็นเมืองอุตสาหกรรม ในระบอบซาร์พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อแลกกับค่าจ้างเพียงนิดเดียว และถูกกดขี่มากมายจากพวกชนชั้นสูงและเจ้าของที่ดิน ดังนั้นสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุดคือการแก้แค้น นิโคลัสผู้เป็นอดีตซาร์จึงไม่อาจหลบเลี่ยงไปได้
สถานการณ์ภายนอกดูเหมือนว่า ถ้าพวกโรมานอฟออกไปตอนนี้ พวกเขาจะโดนประชาทัณฑ์จนตายแน่
ยาคอฟเลฟเองเห็นท่าไม่ดี เขาสั่งให้ทหารในรถเตรียมปืนกลทันที ส่วนทหารคนอื่นก็ออกไปยืนนอกรถ และเตรียมปืนไว้ ถ้าใครเข้ามาในรถก็ยิงทิ้งเสียเลย
หากแต่ว่ายาคอฟเลฟเองก็ทราบว่า ทหารแค่นี้ไม่สามารถคุ้มกันพวกโรมานอฟได้แน่ๆ สุดท้ายพวกเขาต้องออกจากรถไฟไปอยู่ดี
ยาคอฟเลฟจึงลงไปเจรจากับเบโลบาโรดอฟ และโกโลเชคินว่าจะทำอย่างไรดีเป็นเวลานานถึงสามชั่วโมง ยาคอฟเลฟยืนกรานว่าคณะกรรมาธิการแห่งอูรัลต้องรับประกันความปลอดภัยให้กับนิโคลัสและครอบครัวได้ เพราะว่าสเวียตลอฟได้สั่งการให้ตัวยาคอฟเลฟดูแลความปลอดภัยของนิโคลัสให้ดี
ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้ เบโลบาโรดอฟและโกโลเชคินอนุญาตให้ยาคอฟเลฟนำรถไฟออกไปที่ชานชาลาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ชานเมือง ชานชาลาแห่งนี้มีผู้คนน้อยกว่าและห่างออกไปจากเมืองไม่ไกลนัก
เมื่อมาถึงชานชาลาแห่งใหม่แล้ว ยาคอฟเลฟสั่งให้ทหารตั้งแถวคอยคุ้มกันนิโคลัส อเล็กซานดรา และมาเรีย ที่กำลังออกมาจากรถ นิโคลัสและอเล็กซานดรามีสีหน้าเป็นกังวล แต่ก็ถือว่าดีขึ้นถ้าเปรียบกับสิ่งที่ได้พบเจอก่อนหน้านี้
สำหรับพวกเยกาเตรินเบิร์กแล้ว นิโคลัสก็มาอยู่ในมือพวกเขาเสียที เบโลบาโรดอฟลงนามรับครอบครัวโรมานอฟราวกับว่าทั้งสามเป็น “สัมภาระ” อย่างที่พวกเขาใช้เป็นรหัสลับ
ทั้งสามคนถูกนำตัวไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ถนนวอซนีเซนสกี้ บ้านหลังนี้ชื่อ บ้านอิปาตเยฟ (Дом Ипатьева) หรือ Ipatiev House นั่นเอง
บ้านสำหรับจุดประสงค์พิเศษ
ก่อนที่นิโคลัสมาถึงเยกาเตรินเบิร์ก เบโลบาโรดอฟและโกโลเชคินได้ไปตรวจสอบสถานที่ที่จะใช้คุมขังเขาและครอบครัว ตอนแรกทั้งสองคิดว่าคุกในเมืองน่าจะเหมาะสม แต่ดูไปดูมาแล้วไม่เหมาะ เพราะตัวเบโลบาโรดอฟไม่ค่อยถูกกับผู้บังคับบัญชาสถานที่ดังกล่าวเท่าไร และอีกอย่างคุกก็มีนักโทษคนอื่นด้วย ถ้าจะลงมือทำอะไรสกปรก มันจะไม่งามนัก ตัวเลือกนี้จึงตัดไป
ตัวเลือกต่อไปที่ทั้งสองพิจารณาก็คือ บ้านของผู้มีอันจะกินในเมือง เพราะว่าครอบครัวของนิโคลัสเป็นครอบครัวใหญ่ และต้องมีทหารคุ้มกันในบ้านอีก ดังนั้นบ้านเล็กๆ ไม่น่าจะเหมาะสม
บ้านแรกที่น่าสนใจสำหรับเบโลบาโรดอฟคือ บ้านของ ดร อาร์คิปอพ ปัญญาชนผู้หนึ่งที่สนับสนุนพวกบอลเชวิค แต่ทำไปทำมา เบโลบาโรดอฟตัดสินใจไม่เลือกบ้านหลังนี้อย่างไม่ทราบสาเหตุ
เบโลบาโรตอฟหันไปเลือกบ้านอีกหลังหนึ่งแทน บ้านแห่งนี้เป็นบ้านของวิศวกรขุดเจาะคนหนึ่งชื่อ นิโคไลย์ อิปาตเยฟ ชายเจ้าของบ้านเป็นผู้ที่มีฐานะร่ำรวย ดังนั้นบ้านของเขาจึงอยู่ในเป้าหมายที่พวกบอลเชวิคจะยึดอยู่แล้ว เบโลบาโรดอฟเข้าไปดูในบ้านและพบว่าบ้านหลังนี้เหมาะสมที่จะใช้เป็นที่คุมขังหลายประการ อาทิเช่น
- ตัวบ้านดูหรูหราและสะดวกสบาย ดังนั้นนิโคลัสและครอบครัวไม่น่าจะบ่นมากนัก
- การรักษาความปลอดภัยทำได้ง่าย มีจุดให้ตั้งป้อมหลายแห่ง
- อยู่ใจกลางเมือง การหลบหนีทำได้ยาก
- มีห้องใต้ดิน
ดังนั้นบ้านหลังนี้จึงเป็นบ้านในฝันของเบโลบาโรดอฟที่จะใช้ขังครอบครัวซาร์ เสียอยู่อย่างเดียวคือ บ้านหลังนี้อยู่ใกล้กับสถานทูตอังกฤษที่อยู่ที่ถนนเดียวกันมาก แต่เบโลบาโรดอฟคิดว่าพวกอังกฤษไม่น่าจะเข้ามายุ่งเกี่ยว เขาจึงตัดสินใจเลือกบ้านหลังนี้ในที่สุด
อิปาตเยฟและครอบครัวถูกสั่งให้ออกไปจากบ้านดังกล่าวทันทีในเวลา 48 ชั่วโมง โดยห้ามถามให้มากความ แต่คณะกรรมาธิการอูรัลยืนกรานว่าจะไม่มีสิ่งใดเสียหาย อิปาตเยฟจึงรีบเก็บข้าวของและออกไปอยู่ที่อื่นทันที อิปาตเยฟไม่รู้เลยว่าชื่อของเขาจะข้องเกี่ยวกับการสังหารอดีตราชวงศ์ไปตลอดกาล
เมื่ออิปาตเยฟและครอบครัวออกไปแล้ว พวกบอลเชวิคก็ได้ก่อรั้วสองชั้นรอบบ้าน และจัดวางการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
พวกบอลเชวิคเรียกมันว่า บ้านสำหรับจุดประสงค์พิเศษ หรือ The House of Special Purpose
ชื่อ “อิปาตเยฟ” แห่งนี้ ฟังดูแปลกไม่น้อย สำหรับครอบครัวโรมานอฟ เพราะมันคือคำเดียวกับชื่อของวิหาร “อิปาตเยฟ” สถานที่ซึ่งซาร์ไมเคิลที่ 1 (มิคาอิลที่ 1) ใช้หลบซ่อนตัวจากทหารชาวโปลก่อนที่จะได้ครองบัลลังก์รัสเซียและสถาปนาราชวงศ์โรมานอฟเมื่อสามร้อยกว่าปีก่อน
ดูเหมือนว่า พระเจ้าลิขิตให้ราชวงศ์โรมานอฟเกิดขึ้นและจบสิ้นลงที่ “อิปาตเยฟ”
ช่างเป็นความบังเอิญในหน้าประวัติศาสตร์ที่น่าเหลือเชื่อไม่น้อย
มาถึงบ้านแห่งโชคชะตา
นิโคลัส อเล็กซานดรา และมาเรียเดินทางมาถึงบ้านอิปาตเยฟ ทั้งสามก็ได้เห็นบ้านที่มีการล้อมรั้วอย่างแน่นหนา และมีทหารรักษาการณ์มากมาย
ที่หน้าบ้านโกโลเชคินรอพวกเขาอยู่แล้ว โกโลเชคินพูดขึ้นว่า
นายนิโคลัส โรมานอฟ คุณเข้าไปได้แล้ว
หลังจากนั้นนิโคลัส อเล็กซานดรา และมาเรียก็เดินเข้าไปในบ้าน สิ่งแรกที่ทั้งสามพบก็คือ พวกบอลเชวิคจำนวนหนึ่งรออยู่แล้ว พวกเขาขออนุญาตค้นทุกสิ่งที่ทั้งสามนำมาจากทาบอสค์
การขออนุญาคค้นทำให้นิโคลัสและอเล็กซานดราโกรธไม่น้อย โดยเฉพาะนิโคลัส เขาพูดขึ้นมาว่า
ปีศาจคงจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น จนถึงทุกวันนี้พวกเราได้รับการปฏิบัติอย่างดี และพบพานกับผู้คนที่ใช้ได้มาโดยตลอด แล้วตอนนี้ล่ะ??
อัฟดีฟ ผู้ช่วยของยาคอฟเลฟที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ดูแลครอบครัวซาร์หมาดๆ บอกนิโคลัสว่า ที่นี่ไม่ใช่ซาร์โคเย ซีโล ถ้านิโคลัสก่อเรื่อง เขาจะแยกนิโคลัสออกจากครอบครัวคนอื่น
แต่นิโคลัสยังไม่ยอมเงียบ อัฟดีฟจึงบอกเขาต่อไปว่าถ้านิโคลัสยังระงับอารมณ์ไม่ได้ เขาจะส่งนิโคลัสออกไปข้างนอก เพื่อเอาตัวไปใช้แรงงาน ท้ายที่สุดนิโคลัสจำต้องกล้ำกลืนความโกรธลงไปในใจ
ความหยาบกระด้างของพวกบอลเชวิคทำให้นิโคลัสและอเล็กซานดราตระหนักว่า การได้รับความเคารพอย่างที่เคยได้ที่ทาบอสค์ไม่มีอีกแล้ว และการขัดขืนใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์ด้วย หลังจากนั้นนิโคลัสและอเล็กซานดราจึงไม่คิดจะมีปัญหาอะไรกับพวกบอลเชวิคอีก
พวกบอลเชวิคริบเงินทุกรูเบิลที่ทุกคนมีอยู่ โดยให้ทำบัญชีไว้เท่านั้นว่าทุกคนมีเงินกี่รูเบิลที่ “ฝาก” เอาไว้กับพวกเขา นอกจากนี้ข้าวของที่ดูมีราคาเช่นกล้องถ่ายรูปยังถูกยึดเช่นเดียวกัน ทำให้เราไม่มีรูปของครอบครัวซาร์ในช่วงเวลาสุดท้ายนี้เลย
การถูกริบเงินและทรัพย์สินเป็นเรื่องเฉยๆ สำหรับนิโคลัส สิ่งหนึ่งที่สะเทือนใจนิโคลัสยิ่งกว่าคือ การพรากตัวข้าราชบริพารที่เขารักและไว้ใจไปจากเขา ผู้ที่ถูกแยกออกไปคือ โดลโกรูคอฟ สาเหตุคือพวกบอลเชวิคได้ค้นตัวเขาและพบสิ่งที่น่าสงสัย อาทิเช่น แผนที่เมืองเยกาเตรินเบิร์กที่แสดงถึงเส้นทางทางน้ำทั้งหมด พวกบอลเชวิคจึงนำตัวโดลโกรูคอฟไปขังไว้ที่คุกของเมือง
ชีวิตระหว่างรอคอยลูกๆที่เหลือ
นิโคลัส อเล็กซานดรา และมาเรีย เข้าพักในห้องเดียวกัน ระหว่างที่รอโอลกา ทาเทียน่า อนาสตาเซียและอเล็กเซย์มาจากทาบอสค์ เพราะห้องที่เหลือต้องให้นายแพทย์บอทกิน และข้าราชบริพารอีกสองคนอาศัยอยู่
เมื่อจัดวางข้าวของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ชีวิตอันน่าเบื่อของทั้งสามก็เริ่มต้นอีกครั้ง แต่เมื่อลูกๆ ที่เหลือยังไม่มา อเล็กซานดราและมาเรียใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเขียนจดหมายไปหาครอบครัวที่เหลือที่ทาบอสค์ ส่วนนิโคลัสใช้เวลาไปกับการอ่านคัมภีร์ไบเบิลเช่นเดิม
ในเดือนพฤษภาคม จดหมายฉบับหนึ่งของมาเรียก็มาถึงครอบครัวที่เหลืออยู่ที่ทาบอสค์ มาเรียเขียนบรรยายบรรยากาศที่บ้านอิปาตเยฟให้พี่น้องของเธอทราบอย่างละเอียด และบอกว่าเธอคิดถึงชีวิตที่เงียบสงบและสงบสุขที่ทาบอสค์อย่างมาก ที่บ้านหลังใหม่นี้มีแต่อะไรที่ไม่เป็นใจเกิดขึ้นตลอดเวลา เธอเฝ้ารอการมาของพี่น้องของเธอที่จะมาสมทบที่เยกาเตรินเบิร์กอยู่แทบจะทุกลมหายใจ
อาหารที่ครอบครัวโรมานอฟได้รับไม่ใช่อาหารที่ทำในบ้านเหมือนกับที่ทาบอสค์อีกต่อไป แต่เป็นอาหารที่พวกบอลเชวิคนำมาให้จากโรงอาหารรวมในเมือง ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่าคุณภาพของมันย่อมย่ำแย่ แต่ครอบครัวโรมานอฟชินชากับสิ่งเหล่านี้เสียแล้ว จึงไม่มีใครบ่นอะไร ทุกคนต่างรอวันที่ครอบครัวจะกลับมาอยู่พร้อมหน้าอีกครั้งหนึ่งเท่านั้น
ช่วงเดือนพฤษภาคม สเวียตลอฟมีคำสั่งให้ครอบครัวโรมานอฟที่เหลือเดินทางจากทาบอสค์ไปสมทบที่เยกาเตรินเบิร์ก ระหว่างทางจะมีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?
อ่านตั้งแต่ตอนแรกและติดตามตอนต่อไปได้ที่ วันสุดท้ายของราชวงศ์โรมานอฟ หรือติดตามตอนที่ 18 ได้ที่นี่
หนังสืออ้างอิงอยู่ ที่นี่