ชัยปุระ หรือ Jaipur เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดในรัฐราชสถาน รัฐที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือกับเดลี เมืองหลวงของอินเดียไม่ไกลนัก ชัยปุระอุดมไปด้วยสิ่งก่อสร้างที่สวยงามและสร้างขึ้นด้วยสีชมพูอ่อน ทำให้เมืองนี้ได้รับสมญานามว่า มหานครสีชมพู (Pink City)
ในโพสนี้ ผมจะแนะนำให้ทุกคนได้ทราบถึงความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับตัวเมืองเสียก่อนเพื่อที่ได้เข้าใจความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยวได้ดีขึ้น หลังจากนั้นผมถึงจะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเป็นลำดับต่อไปครับ

แนะนำเมืองชัยปุระ (Jaipur)
ชัยปุระ (Jaipur) ถือว่าเป็นเมืองใหม่มากในอินเดีย ตัวเมืองสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1727 ทำให้ชัยปุระยังมีอายุไม่ครบ 300 ปีดีนัก ถ้าเทียบกับหลายเมืองโดยรอบที่มีอายุ 2,000 ปีขึ้นไปแล้ว คุณอาจจะเปรียบว่าชัยปุระเป็นเด็กน้อยเลยก็ได้ครับ
ตัวเมืองถูกสร้างขึ้นเพราะมหาราชาชัยสิงห์ที่ 2 แห่งอเมอร์ต้องการสร้างเมืองใหม่เพื่อให้รับกับประชากรที่เพิ่มขึ้น และการขาดแคลนน้ำที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
การก่อสร้างเริ่มต้นขึ้นโดยอ้างอิงจากคัมภีร์วัสดุศาสตร์และศิลปศาสตร์เก่าแก่ของอินเดียทุกประการ ทำให้สุดท้ายแล้วชัยปุระถูกแบ่งเป็นเก้าส่วน สองส่วนถูกใช้เป็นวังของมหาราชาและสถานที่ราชการ ส่วนอีกเจ็ดส่วนเป็นของประชาชนทั่วไป ทุกส่วนมีถนนเชื่อมต่อกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย
หลังจากอินเดียตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ ชัยปุระยังคงรุ่งเรืองสืบต่อมา จนกระทั่งในปี ค.ศ.1876 รัฐบาลบริติชอินเดียได้ทาสีเมืองทั้งเมืองเป็นสีชมพูเพื่อต้อนรับเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (ต่อมาคือเอ็ดเวิร์ดที่ 7) เจ้าชายแห่งเวลส์ที่เสด็จมาเยือนอินเดีย ทำให้นับตั้งแต่บัดนั้นชัยปุระได้รับสมญานามว่าเป็นเมืองสีชมพูครับ

เมื่ออินเดียได้รับอิสรภาพ ชัยปุระได้รับสถานะเป็นเมืองหลวงของรัฐราชสถาน และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ ในปี ค.ศ.2019 ชัยปุระก็ได้เป็นเมืองมรดกโลกขององค์กร UNESCO ด้วยครับ
อย่างไรก็ดีนอกจากเป็นเมืองสีชมพูแล้ว ชัยปุระยังเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความร้อนด้วย ในช่วงฤดูร้อน (เมษายน-กรกฎาคม) ชัยปุระอาจจะมีอุณหภูมิสูงถึง 48.5 องศาเซลเซียส ซึ่งถือว่าร้อนปรอทแตกเลยทีเดียว ถ้าเป็นไปได้คุณควรจะหลีกเลี่ยงการเดินทางไปชัยปุระในช่วงดังกล่าวครับ
นักท่องเที่ยวมักจะเรียกเดลี อัครา และชัยปุระว่า “Golden Triangle tourist circuit” เพราะว่ามีความสวยงามอลังการ ตั้งอยู่ใกล้กัน และสามารถไปเที่ยวได้ในทริปเดียวครับ
ถัดไปเรามาดูดีกว่าที่ชัยปุระมีอะไรน่าไปชมบ้าง
หมายเหตุ: 1 รูปี = 0.45 บาท (ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.2022) โดยคร่าวๆ แล้วคุณเอารูปีหารสองและลดไปนิดหน่อยจะได้เงินบาทครับ
1. City Palace
City Palace เป็นพระราชวังขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยมหาราชาชัยสิงห์ที่ 2 เมื่อครั้งที่สร้างเมืองชัยปุระ พระราชวังแห่งนี้จึงตั้งอยู่กลางเมืองเลยครับ และถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสูงใหญ่รอบด้าน

พระราชวังถูกสร้างขึ้นโดยใช้สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างราชบุตร (Rajput) และโมกุล (Mughal) ความประณีตของส่วนต่างๆ ทำให้เราเห็นว่าสถาปนิกให้ความสำคัญของรายละเอียดปลีกย่อยมาก
ด้วยเหตุนี้City Palace จึงเป็นพระราชวังที่งดงามไม่แพ้ที่ใดๆ ในอินเดีย แม้ว่าชัยปุระจะไม่เคยเป็นเมืองหลวงของอินเดียมาก่อนเลยก็ตาม (มหาราชาอยู่ใต้อำนาจของจักรพรรดิโมกุลอีกทีหนึ่ง)
เมื่อคุณเดินเข้าไปในพระราชวัง คุณจะเห็นประตูนกแก้ว (peacock gates) อันสวยงาม และห้องอันโอ่โถงสวยงามที่ตบแต่งด้วยโคมไฟคริสตัล รูปแกะสลัก และงานศิลปะอันหลากหลายอย่างเช่น Shobha Niwas, Sri Niwas, Sukh Niwas ซึ่งน่าตื่นตาตื่นใจมากเลยทีเดียว

อย่างไรก็ดีไฮไลท์ของพระราชวังอยู่ที่ Sarvato Bhadra หรือลานขนาดใหญ่ที่เคยใช้เป็นสถานที่ว่าราชการของมหาราชาแห่งชัยปุระ ใกล้กับลานแห่งนี้มีแจกันเงินไซส์ยักษ์นามว่า Gangajalis มันเป็นสิ่งของที่สร้างจากเงินแท้ๆที่ใหญ่ที่สุดในโลกครับ

นอกจากนี้บางส่วนของพระราชวังยังเป็นพิพิธภัณฑ์หลายแห่ง เช่น พระราชวังมหารานี พระราชวังเก่าที่เป็นที่ประทับของมหารานี แต่ปัจจุบันถูกใช้เป็นสถานที่จัดแสดงอาวุธต่างๆ ครับ
ราคาค่าเข้าชมพระราชวังแห่งนี้อยู่ที่ 700 รูปีต่อคน ถ้าคุณจะชมพิพิธภัณฑ์พิเศษด้วย ราคาจะอยู่ที่ 1,000 รูปีขึ้นไป แล้วแต่ว่าคุณต้องการจะชมอะไรบ้าง ถ้าอยากชมหลายแห่งก็จะเพิ่มเข้าไปครับ

ในช่วงเย็นพระราชวังแห่งนี้จะจัดแสดงแสงสีเสียง และคุณสามารถชมพระราชวังในเวลากลางคืนและรับประทานอาหารค่ำในพระราชวังได้ได้ ค่าเข้าจะอยู่ที่ 1,000 รูปีครับ
สำหรับในช่วงเทศกาลอย่างเช่นดิวาลี ชาวชัยปุระจะจัดงานขึ้นที่นี่ ดังนั้นถ้าคุณเข้าชมพิพิธภัณฑ์ คุณจะมีโอกาสเห็นพิธีกรรมต่างๆ ที่หาชมได้ยากด้วยครับ
พิเศษ! ปัจจุบันถ้าคุณต้องการพักในพระราชวังอันหรูหราแห่งนี้สามารถทำได้แล้วครับ เพราะสมาชิกพระราชวงศ์นำบางส่วนของพระราชวังให้เช่ารายวันใน Airbnb เรียบร้อยแล้ว ใครสนใจก็ตามไปจองได้เลยที่นี่ แค่คืนละ 248,000 บาทเท่านั้นเองครับ!
2. Hawa Mahal
Hawa Mahal หรือ Palace of the Winds (พระราชวังแห่งสายลม) เป็นสิ่งก่อสร้างอันโดดเด่นและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองชัยปุระและประเทศอินเดียเลยก็ว่าได้ ที่นี่เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนผู้มาเยือนชัยปุระต้องมาชมสักครั้งหนึ่งครับ
พระราชวังแห่งนี้อยู่ติดกับ City Palace อาจจะดูเหมือนว่าเป็นส่วนต่อขยายของ City Palace ด้วยซ้ำไป

ด้านหน้าของพระราชวังถูกสร้างขึ้นให้มีรูปลักษณ์เหมือนกับรังผึ้งห้าชั้น ซึ่งประกอบด้วยหน้าต่าง 953 บานด้วยกัน หน้าต่างเหล่านี้ช่วยให้ภายในพระราชวังมีลมโกรกสบายตลอดทั้งปี มหาราชาจึงมักเสด็จมาประทับที่นี่ในช่วงฤดูร้อนครับ
นอกจากนี้มันยังช่วยไม่ให้คนนอกมองเข้ามาด้านในได้ง่าย และเป็นที่ให้นางในฮาเร็มของมหาราชาจะแอบมองดูบรรยากาศด้านนอกจากหน้าต่างบานเล็กๆ เหล่านี้ได้ด้วยครับ
ส่วนบริเวณด้านในก็สวยงามไม่แพ้กัน ซึ่งคุณสามารถเข้าไปชมได้ครับ
ค่าเข้าชม: 50 รูปี
3. Amber Fort
Amber Fort หรือ Amber Palace เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่บนภูเขาหิน Aravalli ใกล้กับเมือง Amer เมืองหลวงเก่าของมหาราชาก่อนที่จะย้ายมายังเมืองชัยปุระ เนื่องจากตั้งอยู่ที่เมืองหลวงเก่า ทำให้พระราชวังแห่งนี้เก่ากว่าชัยปุระประมาณ 100 ปี ในปัจจุบันสถานที่แห่งนี้ห่างจากชัยปุระประมาณ 11 กิโลเมตร คุณสามารถนั่งรถมาชมได้ไม่ยากครับ
ตัวพระราชวังสร้างขึ้นจากหินทรายสีแดงและหินอ่อนสีขาว ทำให้คุณสัมผัสได้ถึงความอลังการเมื่อเดินเข้าใกล้ตัวพระราชวังครับ

ด้านหน้าของพระราชวังมีกำแพงสูงใหญ่ตั้งอยู่ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันผู้รุกรานจากภายนอก แต่เมื่อคุณย่างก้าวเข้าไปด้านใน คุณจะพบเห็นถึงความหรูหราแทนครับ ไม่ว่าจะเป็นฝาผนังที่ตบแต่งด้วยของมีค่ามากมาย และยังมีภาพเขียนอันวิจิตรให้คุณได้ชมด้วย
อาคารที่เป็นไฮไลท์ของพระราชวังแห่งนี้คือ Sheesh Mahal ตัวพระราชวังจะสว่างทั้งหลังทันทีที่มีแสงอาทิตย์ทอดผ่านเข้ามาครับ ทำให้ไม่มีจุดอับแสงเลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ด้านในยังถูกตบแต่งอย่างวิจิตร ซึ่งงดงามมากเลยทีเดียว

ค่าเข้าอยู่ที่ 500 รูปี และถ้าต้องการจะเข้าชมตอนกลางคืน คุณต้องเสียตั๋วแยกต่างหากอีกใบหนึ่งครับ
4. Jal Mahal
Jal Mahal หรือ Water Palace เป็นวังขนาดเล็กที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ Man Sagar ทะเลสาบใกล้กับเมืองชัยปุระ ตัววังถือว่าเป็นยอดมงกุฎของสถาปัตยกรรมราชบุตรเลยก็ว่าได้ ทั้งนี้ Jal Mahal สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษ 18 เพื่อใช้เป็นสถานที่ประทับเวลามหาราชาออกไปล่าสัตว์ครับ

ตัววังมีทั้งหมด 5 ชั้นด้วยกัน แต่เมื่อคุณอยู่นอกตัววัง คุณจะเห็นแค่ชั้นเดียว เพราะอีก 4 ชั้นอยู่ใต้น้ำครับ วิศวกรอินเดียสามารถใช้กำแพงหินสกัดไม่ให้น้ำไหลบ่าเข้ามาท่วมพระราชวังได้มานานเกือบ 300 ปีแล้ว น่าทึ่งหรือไม่ละครับ
น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ในปัจจุบันรัฐบาลอินเดียไม่อนุญาตให้คุณเข้าชมด้านในพระราชวังได้อีกแล้ว อย่างไรก็ดีก่อนที่คุณจะไป ผมแนะนำให้ตรวจสอบอีกครั้งหนึ่งจะได้ไม่พลาดโอกาสถ้ารัฐบาลเปิดให้เข้าชมครับ

4. Jaigarh Fort
Jaigarh Fort เป็นป้อมปราการที่สร้างขึ้นที่ขุนเขา Aravalli เพื่อใช้ป้องกันเมือง และเก็บรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ด้วย ในอดีตป้อมปราการแห่งนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในชัยปุระ เพราะมีความยาวถึง 3 กิโลเมตร และสร้างจากหินทรายสีแดงชั้นเยี่ยมครับ

ตลอดแนวกำแพงคุณจะเห็นป้อมและหอคอยเรียงรายกันไป รวมไปถึงโรงเสบียง คลังเก็บน้ำที่ใช้เลี้ยงเหล่าทหารในกรณีที่ถูกปิดล้อม แต่ที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคือ พิพิธภัณฑ์อาวุธครับ คุณจะได้เห็นว่าในอดีตกองทัพราชบุตรและโมกุลใช้อาวุธประเภทไหนบ้างในการสู้รบ
หนึ่งในอาวุธชั้นเยี่ยมที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่คือ ปืนใหญ่ชื่อ Jaivana ปืนใหญ่ติดล้อที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกครับ
เมื่อคุณขึ้นไปบนยอดของปราสาทแล้ว อย่าลืมลองไปรอบๆ คุณจะเห็นวิวอันสวยงามของขุนเขาโดยรอบ และทะเลสาบที่อยู่ใกล้เคียงด้วยครับ
ค่าเข้าชม 85 รูปี
5. Nahargarh Fort
Nahargarh Fort เป็นป้อมปราการเก่าแก่ที่มหาราชาชัยสิงห์ที่ 2 โปรดให้สร้างขึ้น ป้อมปราการแห่งนี้อยู่ห่างไม่ไกลจาก Jaigarh Fort นัก และมีหน้าที่ใกล้เคียงกัน นั่นคือป้องกันเมืองชัยปุระจากผู้รุกราน

อย่างไรก็ดีเชื้อพระวงศ์ชัยปุระในอดีตใช้ป้อมแห่งนี้เป็นสถานที่พักผ่อนด้วย เพราะที่นี่ตั้งอยู่บนเขาทำให้มีอากาศเย็นสบาย ภายในจึงมีพระราชวังย่อมๆ แต่ก็สวยงามอลังการ เพื่อให้มหาราชาและครอบครัวได้พักผ่อนครับ
ในปัจจุบันที่นี่เป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวเมืองชัยปุระ และเป็นจุดชมวิวเมืองชัยปุระที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งด้วย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืนครับ ชาวเมืองจึงมักจะเดินทางมาปิกนิกกันโดยทั่วไป
6. Jantar Mantar Observatory
Jantar Mantar Observatory เป็นหอดูดาวและสถานศึกษาดาราศาสตร์ของมหาราชา เนื่องจากมหาราชาชัยสิงห์โปรดปรานการศึกษาท้องฟ้าและดวงดาวมากจึงโปรดให้สร้างที่นี่ขึ้นในเมืองชัยปุระเพื่อศึกษาเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ปัจจุบันที่นี่ได้รับการยกย่องเป็นมรดกโลกขององค์กร UNESCO ด้วยครับ

เครื่องมือ 14 ชิ้นที่มหาราชาเคยใช้ดูดาวต่างมีขนาดใหญ่โต อย่างเช่น Samrat Yantra นาฬิกาแดดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีเครื่องมืออื่นๆที่ใช้คำนวณการเกิดสุริยปราคาและการเคลื่อนที่ของดวงดาวด้วยครับ
ค่าเข้า 200 รูปี
7. Albert Hall Museum
Albert Hall Museum เป็นสิ่งก่อสร้างสไตล์ Indo-Saracenic ที่สร้างเสร็จในปี ค.ศ.1887 เพื่อระลึกถึงการเสด็จของเจ้าชายเอ็ดเวิร์ด (เจ้าชายแห่งเวลส์ในเวลานั้น) แต่มหาราชาแห่งชัยปุระได้โปรดให้เปลี่ยนเมืองนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ในเวลาต่อมา

เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งของจัดแสดงของพิพิธภัณฑ์เพิ่มจำนวนมากขึ้นตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติของมหาราชา โบราณวัตถุที่พบเจอ หรือผลงานศิลปะของชาวอินเดียที่อาศัยอยู่ใกล้กับชัยปุระ ทำให้พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มีชื่อเสียงมากขึ้นในระดับประเทศ และเป็นสถานที่ที่คุณควรไปเยือนสักครั้งครับ
8. Galtaji
การเดินทางมายังอินเดียคงไม่ครบสมบูรณ์ ถ้าคุณยังไม่ได้ไปเยือนวัดฮินดู สำหรับวัดที่คุณควรจะไปเยือนคือวัด Galtaji หรืออีกชื่อหนึ่ง Galta Monkey Temple ซึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองชัยปุระประมาณ 10 กิโลเมตรครับ

วัดนี้เป็นสถานที่แสวงบุญของชาวฮินดูที่นับถือศรัทธาหนุมาน แม่ทัพเอกของรามในมหากาพย์รามายณะ (หรือรามเกียรติ์ที่ไทยนำมาดัดแปลง) ภายในวัดจะมีบ่อน้ำอยู่ ซึ่งชาวฮินดูเชื่อว่าบ่อนี้ไม่มีวันเหือดแห้ง เพราะเป็นบ่อที่เทพเจ้าได้มอบให้ไว้ครับ ชาวฮินดูมักจะนำมือจุ่มลงไปในบ่อเพื่อความเป็นสิริมงคลและชำระล้างบาป
บริเวณวัดแห่งนี้เต็มไปด้วยลิงจำนวนมาก ดังนั้นระหว่างที่อยู่ในวัดคุณต้องระมัดระวังด้วยครับ
9. Govind Dev Ji Temple
Govind Dev Ji Temple เป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างโดยอักบาร์มหาราช จักรพรรดิอันยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์โมกุล ตัววัดอุทิศให้กับพระวิษณุ ทำให้ในแต่ละปีวัดแห่งนี้รับศาสนิกและผู้แสวงบุญนิกายไวษณพจำนวนนับล้านคนเลยครับ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลต่างๆ ที่ผู้คนล้นหลามเลยทีเดียว

ตรงกลางของวัดมีรูปเคารพของพระกฤษณะ (ปางที่ 8 ของพระวิษณุ) ตั้งอยู่ ชาวอินเดียเชื่อว่ารูปเคารพองค์นี้ศักดิ์สิทธิ์มากเพราะว่ารูปลักษณ์เหมือนกับพระกฤษณะองค์จริงที่เคยอวตารลงมาบนพื้นโลกในมหากาพย์มหาภารตะ และตัวรูปเคารพนี้ยังถูกสร้างขึ้นโดยเชื้อสายของพระกฤษณะด้วยครับ
10. Birla Mandir
Birla Mandir เป็นวัดในชัยปุระที่สร้างขึ้นที่เขา Moti Dungari และอุทิศให้กับพระวิษณุ ตัววัดมีความโดดเด่นจากระยะไกลเพราะว่าสร้างขึ้นด้วยหินอ่อนสีขาวทั้งหมด ทำให้มันดูสว่างและสดใสอย่างมากเมื่อคุณเดินเข้าไปใกล้ครับ

ภายในวัดมีรูปเคารพของเทพเจ้าในศาสนาฮินดูอยู่หลายองค์ที่ทำจากหินอ่อนสีขาว อาทิเช่น พระวิษณุ พระลักษมีเป็นต้น นอกจากนี้ยังมีรูปแกะสลัก รูปปั้นทางศาสนาอื่นๆ ที่สวยงามตั้งอยู่ด้วยครับ น่าเสียดายที่รัฐบาลอินเดียไม่อนุญาตให้คุณถ่ายรูปด้านในครับ
11. Sisodia Rani Garden
Sisodia Rani Garden เป็นสวนสวยๆ ที่สร้างขึ้นโดยมหาราชาชัยสิงห์เพื่อมอบให้กับมหารานีของพระองค์ ภายในสวนประกอบด้วยน้ำพุ บ่อน้ำ และทางเดินที่โอบล้อมด้วยพืชสีเขียว นอกจากนี้ยังมีวังขนาดเล็กอันเป็นที่ประทับของมหารานีอยู่ด้วย

สวนที่นี่จัดว่างามไม่แพ้สวนใดในอินเดีย ดังนั้นถ้าคุณมีเวลา อย่าได้พลาดที่จะมาเยือนสวนแห่งนี้ครับ
ข้อควรทราบในการเที่ยวชัยปุระ
- ราคาค่าเข้าในโพสนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้รัฐบาลอินเดียเคยขึ้นค่าเข้ามาแล้วหลายเท่าครับ
- ในเมืองยังมีสถานที่อื่นๆ ที่น่าสนใจที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง อาทิเช่น Jhalana Leopard Safari (สวนเสือ), Elefantastic (สวนช้าง) หรือ Rambagh Palace (อดีตวังแต่ปัจจุบันเป็นโรงแรม)
- ชัยปุระ (Jaipur) ห่างจากเดลีเกือบ 300 กิโลเมตร คุณสามารถเดินทางมายังชัยปุระได้โดยรถยนต์หรือรถไฟครับ โดยจะใช้เวลา 4-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับว่ารถและรถไฟทำเวลาได้ดีขนาดไหน
- ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการไปเที่ยวชัยปุระคือช่วงฤดูหนาว หรือ ปลายเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนกุมภาพันธ์ เพราะว่าอากาศจะเย็นสบาย ไม่ร้อนครับ
- คุณสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บท่องเที่ยวราชสถาน และชัยปุระ
- ในการซื้อตั๋ว คุณควรซื้อตั๋วแบบ Composite เพราะจะได้รับส่วนลดในการเข้าสถานที่ทั้งหมด ใครเป็นนักเรียนนักศึกษาอย่าลืมนำบัตร ISIC ไปด้วยเพื่อใช้ลดราคาเพิ่มเติมครับ
ไปเที่ยวชัยปุระอย่างไรดี?
คุณสามารถเที่ยวชัยปุระเองได้อย่างไม่ยากนัก เนื่องจากการคมนาคมสะดวกสบายในระดับหนึ่ง โดยมีรถบัส รถไฟใต้ดิน แท็กซี่ สามล้อ และ Uber ให้บริการครับ เวลาที่เหมาะสมสำหรับการเที่ยวชัยปุระเองจะอยู่ที่ 3-4 วันครับ
ในการเดินทางมาชัยปุระสามารถเริ่มต้นด้วยการบินมาลงที่เดลีก่อน แล้วจึงเดินทางมายังชัยปุระ สายการบินจากกรุงเทพไปเดลีมีหลากหลายเลยครับ ไม่ว่าจะเป็น Low Cost อย่าง GoAir, SpiceJet, NokScoot หรือ Full Service อย่าง Air India และการบินไทย
[sc name=”travelthai” ][/sc]